ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุสะเทือนขวัญที่ “บาดลึก” ลงไปใน “หัวใจ” ของผู้คนถึง 3 เหตุการณ์ด้วยกัน
เหตุการณ์แรก เป็นเหตุการณ์ที่ต้องบอกว่า “โหด เหี้ยมและอำมหิตผิดมนุษย์มนา” เป็นที่สุด นั่นคือ เหตุการณ์ที่จังหวัดพัทลุง เมื่อวัยรุ่นวัยโจ๋อายุไม่ถึง 20 ปีวางแผนฆ่า “นายภาสกร คงสวัสดิ์” และรุมโทรมแฟนที่กำลังท้อง 3 เดือนต่อหน้าต่อตาอย่างเลือดเย็นด้วยเหตุเพียงแค่ไม่พอใจที่ “ฝ่ายชาย” ซึ่งมีภรรยาอยู่แล้วไปกิ๊กๆ กั๊กๆ กับญาติของตนเอง จากนั้นก็ทำร้ายและโยนผู้หญิงที่พากันรุมโทรมลงเหวลึกเพื่ออำพรางคดี กระทั่งทำให้สังคมเรียกร้องให้ลงโทษหนักด้วยการ “ประหารชีวิต” ให้ตายตกตามกันสถานเดียว
เหตุการณ์ที่สองเป็นคดีฆ่าหั่นศพ “ชายนิรนาม” ตัดศีรษะ ตัดแขนตัดขาทั้งสองข้าง ก่อนที่นำไปโยนทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนที่จะมีประชาชนพบชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ ลอยกระจัดกระจายข้ามจังหวัด ทั้ง กทม. ปทุมธานีและนนทบุรี
และเหตุการณ์ที่สามเป็นเหตุการณ์ที่บาดลึกเข้าไปในอารมณ์ไม่แพ้กันเมื่อ “ร.ต.อ.ทวี หมื่นรักษ์” พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ใช้อาวุธปืนยิงตัวตายต่อหน้าภรรยาและบุตร เนื่องจากความเครียดที่ต้องรับผิดชอบคดียึดรถ 204 คัน บนลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเมื่อปลายปี 2558 ซึ่งสะท้อนความฟอนเฟะในสังคมตำรวจได้เป็นอย่างดี
แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในประเทศไทยได้
“แก๊งปืนควาย” เมืองพัทลุง พูดเลย “พวกมันไม่ใช่คน”
สำหรับคดีแรกนั้นที่เกิดขึ้นที่พัทลุงนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2559 เมื่อแม่ของ “นายภาสกร คงสวัสดิ์” อายุ 19 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตได้เข้าแจ้งความว่า ลูกชายหายตัวไป พร้อมให้การว่า ก่อนหายตัวไปมีเพื่อนวัยรุ่นในหมู่บ้านเดียวกันนัดให้ออกไปพบ และต่อมาเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2559 พนักงานสอบสวน สภ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง ได้รับแจ้งว่า พบศพชายถูกฆ่าฝังดินกลางป่า เชิงเขาบรรทัด ห่างจากถนนสายเขาคราม-บ้านกงหรา ประมาณ 7 กิโลเมตร
ทั้งนี้ หลังจากการตรวจสอบพบว่า ศพชายคนดังกล่าวก็คือนายภาสกรซึ่งอยู่ในสภาพมีผ้าผูกปิดตา และเมื่อแกะผ้าออกพบว่า ใบหน้ามีบาดแผลฉกรรจ์ ถูกทุบด้วยของแข็ง รวมทั้งลำตัวด้วย นอกจากนี้ยังมีบาดแผลที่เกิดจากการถูกยิง
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้รับแจ้งอีกว่า ยังมีผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 1 รายเป็นหญิงคือ “น.ส.เจ”(นามสมมติ) อายุ 19 ปี ซึ่งเป็นแฟนของนายภาสกรถูกทุบตีด้วยของแข็งที่ใบหน้าและยังถูกคนร้ายใช้มีดแทงตามร่างกาย 4 แผล
น.ส.เจที่รอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ได้ให้การกับเจ้าหน้าตำรวจว่า เมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา มีกลุ่มคนร้ายเป็นวัยรุ่นในพื้นที่บ้านเขาคราม หมู่ 4 ต.บ้านนา อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง ได้โทรศัพท์เรียกเธอกับผู้ตายไปหาที่บ้านเขาคราม หลังจากนั้นก็ใช้อาวุธขู่บังคับนำตัวนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์แล้วพาเข้าไปในป่าสวนยาง เมื่อไปถึงกลางป่าลึกแล้วข่มขู่บังคับเธอกับแฟนหนุ่มให้เดินเท้าเข้าไปในป่าอีกประมาณ 2 กิโลเมตร
จากนั้นกลุ่มวัยรุ่นส่วนหนึ่งได้ช่วยกันขุดหลุม ส่วนที่เหลือได้ “รุมข่มขืน” เธอทั้งๆ ที่กำลัง “ตั้งครรภ์ 3 เดือน” ต่อหน้าแฟนหนุ่ม เมื่อขุดหลุมเสร็จก็ใช้ผ้าผูกปิดตาแฟนแล้วพาไปนั่งที่บริเวณปากหลุมก่อนใช้ปืนยิง จากนั้นก็ผลักให้ตกลงไปในหลุมก่อนช่วยกันกลบดินฝัง
หลังจากนั้น กลุ่มคนร้ายได้นำ น.ส.เจนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ลงจากเขาแล้วพาไปขึ้นรถกระบะขับไปที่เขาพับผ้าซึ่งเป็นที่เปลี่ยว แล้วใช้ไม้และก้อนหินทุบตี พร้อมกับใช้มีดแทงที่ลำตัวอีก 4 แผล จน น.ส.เจหมดสติด้วยความเจ็บปวด ก่อนกลุ่มคนร้ายจะช่วยกันจับร่างโยนทิ้งก้นเหว โดยหมดสติไป 1 คืน เมื่อฟื้นขึ้นมาจึงพยายามคลานขึ้นจากเหวลึกมานอนขอความช่วยเหลือบนถนนและรอดตายราวปาฏิหาริย์ โดยขณะนี้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศูนย์ตรัง
สะเทือนใจและสะเทือนอารมณ์เป็นอย่างยิ่งเนื่องเพราะผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมที่โหดเหี้ยมมาก
หนักไปกว่านั้นก็คือ นายนพพร ทองเอียด หรือ “คิว” หัวหน้าแก๊งปืนควาย 1 ในผู้ต้องหา ไม่มีท่าทีหวั่นเกรงกฎหมายบ้านเมืองแต่อย่างใด แถมยังตอบคำถามโต้ตอบสื่อมวลชนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มปะปนด้วยเสียงหัวเราะอย่างครึกครื้น กระทั่งกระแสสังคมอดรนทนไม่ได้ พากันออกมาแสดงความคิดเห็นในโลกสังคมออนไลน์โดยเรียกร้องให้ “ประหารชีวิต” แก๊งๆ นี้สถานเดียว
ทั้งนี้ ชนวนเหตุของความแค้นครั้งนี้ นายคิวได้เล่าให้ฟังว่า นายภาสกรเป็นเพื่อนรักที่เที่ยวด้วยกันและกินนอนด้วยกัน แต่ตอนหลังเกิดความแค้นขึ้นเมื่อนายภาสกรได้ทิ้ง “น.ส.เขียว(นามสมมติ)” ซึ่งเป็น “ญาติผู้น้อง” ของตนเองแล้วไปคบหากับ “น.ส.เจ” เหยื่อสาวที่พวกตนรุมโทรม และเคยเป็นแฟนของตนเองมาก่อน จึงเกิดความแค้นเป็นทวีคูณ
นายคิวยอมรับว่าได้ลงมือฆ่านายภาสกรและข่มขืนแฟนสาวของนายภาสกรจริง แต่ไม่ข่มขืนต่อหน้าผู้ตายตามที่เป็นข่าว โดยก่อนที่จะลงมือได้ตั้งวงดื่ม “น้ำใบกระท่อม” ยาเสพติดยอดนิยมของกลุ่มวัยรุ่นภาคใต้
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความเห็นถึงคดีสะเทือนขวัญดังกล่าวว่า ขณะนี้กระแสสังคมกำลังเร่งเร้าให้เกิดการลงโทษอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะคดีประเภทข่มขืนหรือข่มขืนแล้วฆ่า ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับฝ่ายยุติธรรมของไทยว่าจะขีดเส้นทางไปทางไหน แต่การปรับบทลงโทษนั้นเป็นการจมอยู่กับปลายสุดของปัญหาหรือไม่ กำลังมองข้ามเส้นทางสู่การเป็นอสูรร้ายหรือไม่
ทั้งนี้ งานวิจัยและบทความมากมายทางด้านอาชญาวิทยา ระบุตรงกันว่า อสูรร้ายไม่ได้ถูกสร้างขึ้นใน 1 วัน แต่ถูกสร้างขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยนานนับปี คดีเล็กๆ ที่เคยก่อขึ้นถูกละเลยและพัฒนากลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ ทุกๆ คดีมักมีสัญญาณนำมาก่อน เป็นสัญญาณที่ล่องหนในสายตาของคนในสังคม และเมื่อนำฆาตกรคดีสะเทือนขวัญทั้งหลายมาสัมภาษณ์ เกือบทั้งหมดจะเคยผ่านชะตาชีวิตอันโหดร้ายมาแล้วทั้งนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจถ่ายทอดบาดแผลของตัวเองไปให้ผู้บริสุทธิ์ ควรกลับมาถามตัวเองว่า ชุมชนแบบไหน สังคมแบบไหน ที่ผลิตฆาตกร 4 คนให้มารวมตัวอยู่ในที่เดียวกัน
“เราพลาดเรื่องราวอะไรไปก่อนหน้านี้หรือไม่ คนในชุมชน เคยรับรู้ปัญหาหรือไม่ แก้ไขอย่างไร ครูที่โรงเรียน เคยเห็นพฤติกรรมผิดปกติหรือไม่ จัดการอย่างไร ตำรวจ เคยได้รับแจ้งคดีเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ ติดตามต่อเนื่องอย่างไร แพทย์ เคยได้ตรวจและสงสัยเรื่องยาเสพติดหรือไม่ ส่งต่อไปยังใคร สังคมสงเคราะห์ เคยได้มีบทบาทหรือไม่ เพราะอะไร หรือ คนกลุ่มนี้ เขาแค่ Invisible (ไร้ตัวตน)”นพ.วรตม์ให้แง่คิด
ฆ่าหั่นศพทิ้งเจ้าพระยา เหี้ยมโหดเกินที่จะบรรยาย
กล่าวสำหรับคดีฆ่าหั่นศพชายนิรนามนั้น เมื่อมีการพบชิ้นส่วนมนุษย์ “ส่วนแขนขวา” ติดกอสวะริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณอู่ต่อเรือ หลังวัดคฤหบดี ซอยจรัญสนิทวงศ์ 42 สภาพมีสกอตเทปพันข้อมือและรอยถูกของมีคมหลายแห่งคล้ายผ่านการถูกทรมานก่อนถูกหั่นศพโยนทิ้งน้ำ
จากนั้นก็ได้เจอชิ้นส่วนตามมาอีกหลายชิ้น ได้แก่ ท่อนขาขวา 1 ข้างลอยมาติดกอสวะท่าน้ำวัดตำหนักใต้ ถนนนนทบุรี 1 ต.ท่าทราย พบชิ้นส่วนหัวมนุษย์ลอยมาติดกอสวะหน้าบ้านของชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ กับวัดเชิงเลน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรีโดยศีรษะที่พบถูกคลุมด้วยถุงดำพันทับด้วยสกอตเทปใส สภาพถูกตัดลำคอด้วยของมีคม และตามมาด้วยชิ้นส่วนช่วงลำตัวซึ่งถูกตัดแขนและขาออกทั้งสองข้าง และไม่มีศีรษะ ลอยอืดในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณกลางแม่น้ำตรงข้ามวัดโพธิ์ทองบน เขต ติดต่อระหว่างท้องที่ จ.นนทบุรีและ จ.ปทุมธานี และล่าสุดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพบชิ้นส่วนขาขวาถูกตัดตั้งแต่เหนือข้อเท้าลงไปลอยมาติดอยู่บริเวณท่าเรือใต้สะพานพระราม 5 อ.เมือง จ.นนทบุรี และพบเท้าซ้ายที่ถูกตัดถึงช่วงหน้าแข้งลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวันเกริน ต.บางกะดี อ.เมือง จ.ปทุมธานี
มีรายงานเบื้องต้นว่า ชิ้นส่วนมนุษย์ที่ถูกพบนั้นน่าจะถูกตัดด้วยเครื่องมือเฉพาะที่มีความคมมาก ไม่ใช่การสับหรือเฉือนออกเนื่องจากผิวและกระดูกยังคงเรียบ ไม่มีการแตกหักแต่ประการใด
แน่นอน พฤติกรรมการฆ่าและตัดชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ย่อมมีชนวนเหตุอันชวนให้สงสัยยิ่งว่า ทำไมถึงได้เหี้ยมโหดถึงเพียงนั้น
ทั้งนี้ ในช่วงแรกที่ยังไม่มีความชัดเจน คำถามที่สังคมอยากรู้ก็คือ ผู้ที่เสียชีวิตเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ แต่ในที่สุดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ออกมายืนว่า ศพชายนิรนามที่ถูกฆ่าหั่นอวัยวะเป็น “ชาวสเปน” โดยสันนิษฐานว่า เป็นฝีมือของ “แก๊งต่างชาติ” ที่จับไปอุ้มฆ่า
ผู้กองยิงตัวตายต่อหน้าเมียลูก “ตำรวจชั้นผู้ใหญ่” ใครคือผู้กดดัน?
ส่วนคดี ร.ต.อ.ทวีก่อเหตุยิงตัวเองเสียชีวิตคาแฟลตต่อหน้าภรรยาและลูกนั้น ได้ทำให้เกิดคำถามตามมามากมาย เพราะเป็นการกระทำอัตวินิบาตกรรมที่มีเงื่อนงำชวนให้ค้นหาความจริงว่า เป็นเพราะอะไร มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมี “ศิษย์หลวงปู่พุทธะอิสระ” คือ “นายสิระ เจนจาคะ” อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน กต.ตร.สน.ทุ่งสองห้องออกมาเปิดเผยถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นพร้อมกับอดีตประธาน กต.ตร.สน.ทุ่งสองห้องที่ชื่อ “นายสุเวช จิตมหาวงศ์” อัยการอาวุโส
ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้า ร.ต.อ.ทวี จะกระทำอัตวินิบาตกรรมนั้นมีตำรวจสายสอบสวนของ สน.ทุ่งสองห้อง ทั้งในระดับสัญญาบัตรและชั้นประทวนลงรายชื่อรวม 28 นายไม่ประสงค์จะทำงานกับ พ.ต.อ.เติมเผ่า สิริภูบาล ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง อีกต่อไป คาดว่าน่าจะเกิดกับปัญหาการปกครองหรืออย่างใดอย่างหนึ่งที่ยังไม่มีความชัดเจน
ขณะที่ภายหลังจากเสียชีวิต บรรดาญาติของ ร.ต.อ.ทวีแอนตี้ไม่รับพวงหรีดของ ผกก.สน.ทุ่งสองห้องและประกาศห้ามมางานศพโดยเด็ดขาดอีกต่างหาก
น.ส.รุ่งภัทร ทองเกื้อ ภรรยาของ ร.ต.อ.ทวี ให้ข้อมูลว่า สามีเป็นคนรักครอบครัว ไม่เคยทะเลาะกัน โดยยืนยันว่าสาเหตุมาจากความเครียดในการปฏิบัติหน้าที่ ถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิด่าทอและมอบหมายให้ทำคดียึดรถยนต์ 204 คัน ทั้งที่มิใช่คดีของสามี ที่สำคัญการทำคดีบางครั้งสามีทำไม่ได้เพราะต้องทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูกจึงถูกผู้บังคับบัญชาดุด่าอย่างเสียหาย ซึ่งสามีเล่ารายละเอียดให้ฟังอย่างต่อเนื่อง และตนเองพยายามพูดปลอบใจและพาไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพื่อให้สบายใจขึ้น แต่ก็มาเกิดเหตุเสียก่อน
ด้าน พ.ต.อ.เติมเผ่าออกมาให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาโดยยืนยันว่า ปมหลักคงไม่ได้มาจากการเรื่องการทำคดียึดรถ 204 คันที่มีการกล่าวหาไปตนเองไปเร่งรัดคดี เพราะก่อนเกิดเหตุไม่ได้พบหรือพูดคุยกับ ร.ต.อ.ทวีมา 5วันแล้ว หากจะกล่าวหาไปเร่งรัดคดีจนเป็นเหตุให้ ร.ต.อ.ทวีเสียชีวิต คงไม่ใช่ และเพิ่งทราบจากฝ่ายสืบสวนว่าก่อนเกิดเหตุ 1 วัน พนักงานสอบสวนที่ทำคดีฉ้อโกงเงิน 2 ล้านบาทคนเก่าจะโอนคดีมาให้ ร.ต.อ.ทวีดำเนินการต่อ และในคืนนั้นมีการพูดคุจกันจนถึงเวลา 02.00 น. ประกอบกับก่อนเกิดเหตุ ร.ต.อ.ทวีทะเลากับภรรยาด้วย
ท่ามกลางข้อครหาต่างๆ นานา พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทน ผบช.น.ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และสะเทือนไปถึง “บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วย เพราะมีข้อมูลว่ามี “ตำรวจชั้นผู้ใหญ่” กดดันการทำคดีเพื่อให้ปล่อยรถคืนให้กับผู้รับจำนำรถ ซึ่งบิ๊กแป๊ะยอมรับว่าขณะนี้ทราบตัวนายตำรวจคนดังกล่าวแล้ว แต่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ คดียึดรถยนต์ 204 คันนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 ในข้อหากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.รับจำนำ โดยตำรวจจากศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล(ศปจร.น.) ยึดได้ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านหลักสี่ มูลค่าราว 60 ล้านบาท โดยมีนายเศรษฐวิทย์ ธนาสารพูนผล อายุ 19 ปีและนายมนัส ธนาสารพูนผล อายุ 19 ปี ลูกชายและหลานชายของ “นายเลิศสุวัฒน์ ธนาสารพูนผล” หรือ “เฮียเม้ง” เจ้าของเต็นท์รถ “เฮียเม้งรถบ้าน” เป็นคนทำสัญญาเช่าพื้นที่จอดรถกับห้างสรรพสินค้าเอาไว้
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหารับจำนำโดยไม่ได้รับอนุญาตแก่นายเศรษฐวิทย์และนายมนัส เพราะเป็นผู้ทำสัญญาเช่าที่จอดรถ และอยู่ระหว่างการขยายผลว่านายเลิศสุวัฒน์หรือเฮียเม้งและหุ้นส่วนธุรกิจอีกคนมีความผิดร่วมด้วยหรือไม่
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นอยู่ตรงที่รถยนต์ส่วนใหญ่ที่ยึดได้เป็นรถที่รับจำนำมาจากบ่อนบริเวณชายแดนแม่สอด จ.ตาก แต่ก็มีบางคันเป็นรถที่นำมาจำนำและไม่ได้มาไถ่ถอนคืน
กล่าวสำหรับต้นเหตุที่ทำให้เกิดคดีนี้เป็นผลมาจากการที่ผู้ให้บริการรถเช่าแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ถูกลูกค้าเช่ารถแล้วไม่ส่งคืน เมื่อตรวจสอบสัญญาณจีพีเอสจึงพบว่า ถูกนำไปจอดไว้ที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าดังกล่าว จึงเข้าแจ้งความ สน.ทุ่งสองห้อง ก่อนที่จะรายงานไปยัง บช.น.ทำการขยายผล และทราบว่า มีรถจำนำจากบ่อนแม่สอดมาจอดที่ลานจอดรถแห่งนี้จำนวนมาก จึงนำกำลังตำรวจ ศปจร.น.ยึดเอาไว้
และนั่นจึงนำไปสู่ความขัดแย้งเมื่อพบว่าในรถทั้งหมดที่ถูกยึดจำนวน 204 คันนั้น มี 182 คันเป็นรถที่ยังติดไฟแนนซ์ และบริษัทลีสซิ่งได้ขอใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อขอรับรถยนต์ของกลางคืน ขณะที่ “ผู้รับจำนำ” ก็อ้างว่า ได้จ่ายเงินให้กับผู้ครอบครองที่ยังคงติดค้างค่างวดรถ กระทั่งนำไปสู่การที่บริษัทลิสซิ่งเข้าแจ้งความดำเนินคดีว่า เป็นการรับจำนำโดยมิชอบ พร้อมทั้งหลบเลี่ยงข้อกฎหมายด้วยการอ้างว่าเป็นการฝากจอดรถ ทว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับแจ้งความในข้อหายักยอกทรัพย์
ในจำนวนนี้บริษัทลิสซิ่งที่มีรถมากที่สุดก็คือ “ธนชาติ” จำนวน 70 กว่าคัน รองลงมาคือ “โตโยต้า” จำนวน 20 กว่าคัน
ต่อมาบริษัทลิสซิ่งได้มีการร้องเรียนไปยัง “ตำรวจชั้นผู้ใหญ่” และมีการสั่งการให้ สน.ทุ่งสองห้อง ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่รับแจ้งความจากทางบริษัท พร้อมทั้งตามมาด้วยการตั้งพนักงานสอบสวนที่มี ร.ต.อ.ทวี หมื่นรักษ์รวมอยู่ด้วยเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2559 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ ร.ต.อ.ทวีตัดสินใจฆ่าตัวตายต่อหน้าภรรยาและบุตร ทว่า จะเป็นชนวนเหตุหรือไม่นั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัดและคณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนในประเด็นดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกันความสนใจของคดีนี้ยังอยู่ที่ตัวผู้กำกับ สน.ทุ่งสองห้องคือ พ.ต.อ.เติมเผ่า เพราะจากการตรวจสอบประวัติพบว่า เป็นน้องชายของอดีตนายทหารใหญ่ ซึ่งเป็นคนสนิทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และมีความสนิทสนมกับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.อีกด้วย
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา และจำเป็นอย่างยิ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นแม่ทัพใหญ่จะต้องเคลียร์ให้กระจ่างแจ้งในทุกประเด็นอันเป็นต้นเหตุของการฆ่าตัวตายของ ร.ต.อ.ทวีแบบสะเทือนอารมณ์ของคนทั้งประเทศ