นายธนิศร์ ศรีประเทศ ผู้ทรงวุฒิ กกต. แถลงว่า สำนักงานกฎหมายและคดีของสำนักงานกกต. ได้ไปแจ้งความที่ สน.ทุ่งสองห้อง เมื่อวันที่ 1ก.พ. ที่ผ่านมา เพื่อกล่าวโทษ นายภุชงค์ นุตราวงศ์ อดีตเลขาธิการกกต. ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากกรณีการให้สัมภาษณ์ของ นายภุชงค์ หลังจากที่กกต. มีมติเลิกจ้าง ขณะเดียวกัน กกต. ยังมีมติไม่รับพิจารณาคำยื่นอุทธรณ์มติเลิกจ้างของนายภุชงค์ ซึ่งขอไม่ระบุเหตุผล เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมาย
นอกจากนี้ กกต.ยังมีมติเห็นชอบร่างประกาศ กกต.เรื่องการรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต.โดยกำหนดคุณสมบัติผู้สมัครต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อายุไม่ต่ำกว่า 45 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ นับถึงวันปิดรับสมัคร ทั้งนี้ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกจะต้องมีประสบการณ์และความสำเร็จด้านการบริหารอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการของหน่วยราชการ หรือหน่วยงานตามองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าประเภทบริหารตั้งแต่ระดับต้น หรือระดับรองอธิบดี รองผู้ว่าราชการ ส่วนองค์กรอิสระ ต้องเป็นระดับรองเลขาธิการ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบช้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 โดยต้องดำรงตำแหน่งไม่น้อยกว่า 2 ปี และต้องมีผลงานสำเร็จด้านการบริหาร ขณะที่เอกชนต้องเป็นผู้บริหารไม่ต่ำกว่าระดับรองผู้บริหาร ต้องมีรายได้ของผลประกอบการ มีหลักฐานแสดงต่อกรมสรรพากรไม่น้อยกว่า 2000 ล้านบาทต่อปี
ลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้จัดตั้งพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง ที่ปรึกษา เจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่อื่นๆในพรรคการเมืองในระยะเวลา 5 ปี ก่อนดำรงตำแหน่ง ซึ่งจะเปิดรับสมัครวันที่ 8 ก.พ.-7มี.ค.
นายธนิศร์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา ประธานกกต.ได้มอบหมายให้ นายบุณยเกียรติ รักชาติเจริญ รองเลขาธิการ กกต.ไปชี้แจงต่อวิปสนช. ถึงข้อจำกัดของร่างประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติ ซึ่งมีการหยิบยกเรื่องเกณฑ์การออกเสียงประชามติขึ้นมาสอบถาม โดยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ได้ท้วงติงและเสนอให้ กกต.ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งตัวแทนของ กกต.ได้ชี้แจงว่ายังไม่เห็นช่องทางในการส่งตีความ และต้องรอการหารือร่วมกันระหว่างรัฐบาล กกต. สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก่อน
นอกจากนี้ กกต.ยังมีมติเห็นชอบร่างประกาศ กกต.เรื่องการรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต.โดยกำหนดคุณสมบัติผู้สมัครต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อายุไม่ต่ำกว่า 45 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ นับถึงวันปิดรับสมัคร ทั้งนี้ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกจะต้องมีประสบการณ์และความสำเร็จด้านการบริหารอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการของหน่วยราชการ หรือหน่วยงานตามองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าประเภทบริหารตั้งแต่ระดับต้น หรือระดับรองอธิบดี รองผู้ว่าราชการ ส่วนองค์กรอิสระ ต้องเป็นระดับรองเลขาธิการ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบช้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 โดยต้องดำรงตำแหน่งไม่น้อยกว่า 2 ปี และต้องมีผลงานสำเร็จด้านการบริหาร ขณะที่เอกชนต้องเป็นผู้บริหารไม่ต่ำกว่าระดับรองผู้บริหาร ต้องมีรายได้ของผลประกอบการ มีหลักฐานแสดงต่อกรมสรรพากรไม่น้อยกว่า 2000 ล้านบาทต่อปี
ลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้จัดตั้งพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง ที่ปรึกษา เจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่อื่นๆในพรรคการเมืองในระยะเวลา 5 ปี ก่อนดำรงตำแหน่ง ซึ่งจะเปิดรับสมัครวันที่ 8 ก.พ.-7มี.ค.
นายธนิศร์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา ประธานกกต.ได้มอบหมายให้ นายบุณยเกียรติ รักชาติเจริญ รองเลขาธิการ กกต.ไปชี้แจงต่อวิปสนช. ถึงข้อจำกัดของร่างประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติ ซึ่งมีการหยิบยกเรื่องเกณฑ์การออกเสียงประชามติขึ้นมาสอบถาม โดยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ได้ท้วงติงและเสนอให้ กกต.ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งตัวแทนของ กกต.ได้ชี้แจงว่ายังไม่เห็นช่องทางในการส่งตีความ และต้องรอการหารือร่วมกันระหว่างรัฐบาล กกต. สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก่อน