เมื่อเวลา 13.30 น. วานนี้ (25 ม.ค.) ที่ห้องแพลนนารี่ ฮอลล์ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคสช. กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2559" โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า วันนี้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีปัจจัยหลายอย่างในการเปลี่ยนแปลง ทั้งปัจจัยภายใน ภายนอก สถานการณ์ความขัดแย้งต่างๆ ทำให้การเจริญเติบโตของประเทศลดลง ล่าช้าโดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งรายได้หลักของประเทศส่วนใหญ่มาจากการค้า การลงทุน ภาษี แต่ในส่วนของประเทศไทย แม้ความเข้มแข็งไม่เพียงพอขีดความสามารถในการแข่งขันน้อยแต่ก็สามารถประคับประคองสถานการณ์มาได้แต่ก็มีคนพยายามบิดเบือนว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตนเข้ามาบริหารประเทศ แต่ยืนยันว่า การที่เข้ามาตั้งใจจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แก้ไขปัญหาทุกอย่างของประเทศ
" ผมได้วางแผนงานเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ได้วางพื้นฐานโรดแมปของคสช. วันนี้มาดูในเรื่องของการปฏิรูป ซึ่งอยู่ในระยะที่ 2 ของโรดแมป และขั้นตอนที่ 3 ก็ส่งต่อรัฐบาลหน้า วันนี้ตอนนี้เราอยู่ในช่วงระยะที่ 2 เหลือเวลาอยู่อีก 1 ปี 6 เดือน ซึ่งผมไม่เคยบิดเบี้ยว แต่มีปัญหาเลือกตั้ง ซึ่งไม่ใช่ของผมเพียงคนเดียวทุกอย่างโยนมาให้ผมรับผิดชอบทั้งหมด โดยทุกคนจะไม่ร่วมมือไม่ได้ เพราะประเทศนี้ไม่ใช่ของผมแต่เป็นของคนไทยทุกคน ดังนั้นจะต้องช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรให้ความขัดแย้งลดลง และไม่เกิดขึ้นอีก ถ้าเราทำวันนี้ล้มเหลว วันข้างหน้าจะล้มเหลวยิ่งกว่านี้ เราก็จะการเป็นรัฐที่ล้มเหลว วันข้างหน้าก็คงต้องต่างคนต่างอยู่อย่างอิสระเสรีถ้าจะเอาอย่างนี้ก็ว่ากันไป แต่ผมยังยืนยันว่าจะทำงานแบบนี้ด้วยความร่วมมือของทุกคน ผมจะทำตัวเป็นแก้วน้ำที่เต็มแล้วสำหรับคนบางประเภท แต่สำหรับเรื่องที่ไม่เคยรู้ ผมก็จะเป็นแก้วน้ำครึ่งแก้ว ผมเป็นคนแบบนี้จะรับฟังในสิ่งที่ผมควรจะฟัง สิ่งที่ไม่อยากฟังผมก็ค่อนข้างหงุดหงิด เพราะมันไม่เกิดประโยชน์กับผม และประเทศเลย มีแต่จะสร้างความขัดแย้งไปเรื่อยๆ จึงขอร้องให้ช่วยกัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คนในประเทศต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งต้องดูที่โครงสร้างรายได้ประเทศ และวันนี้หลายประเทศถอนโรงงานกลับ เป็นโรงงานที่ล้าสมัย แต่เราพยายามดึงเขากลับมาใหม่ จึงมีมาตราการต่างๆ ทั้งเรื่องการให้เช่าที่ดินต่างๆ แต่กลายเป็นว่า รัฐบาลมุ่งเอื้อประโยชน์คนรวย
นายกฯ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลจะแก้ไข พ.ร.บ. การใช้งบประมาณใหม่ โดยรัฐบาลหน้า จะต้องประชุมก่อนเพื่อจัดทำงบประมาณ โดยงบประมาณปกติ ต้องลดลง และต้องพูดถึงงบประมาณตามแผนการปฏิรูป หรืองบประมาณเร่งด่วนของรัฐบาลด้วย โดยทุกกระทรวงต้องหารือร่วมกัน ให้มีคณะกรรมการขึ้นมาชุดเดียว เพื่อความสอดคล้อง ส่วนโครงการใดที่ไม่สำคัญ หรือไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนก็ให้ตัดออกไปก่อน ส่วนนักการเมืองตนไม่ยุ่งด้วย ขอแค่ให้นึกถึงประเทศ วันนี้ที่หลายประเทศมีความมั่นคง เพราะว่ามียุทธศาสตร์ในการพัฒนา แต่ทุกอย่างของไทยกลับเป็นนโยบายของพรรคการเมืองเป็นส่วนใหญ่ เป็นนโยบายสวยหรูบ้างก็ทำ บ้างก็ไม่ได้ทำ และไม่มีใครคอยจับต้องว่านโยบายเหล่านั้น พรรคการเมืองได้ทำหรือไม่ ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกันคิดว่า จะทำอย่างไรให้พรรคการเมืองทำตามนโยบาย ตนไม่ได้ต้องการสืบทอดอำนาจ แต่วันนี้สืบเพราะใคร ถ้าไม่สืบเพราะประชาชน เพื่อให้ประเทศแข็งแรง
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วง 1 ปี 6 เดือนที่เหลือ อะไรที่ทำกันได้ ทำเลย ถ้าเอามาสิบปัญหา สิบเรื่อง มันตีกันทั้งสิบปัญหา ต่อไป ถ้าไม่เสร็จ ก็ใส่ไปในรัฐบาลหน้า ตนไม่ต้องการอำนาจ ผลประโยชน์สักอย่าง ต้องช่วยกัน บริษัทใหญ่ๆ ต้องเกื้อหนุนสงสารคนจน เกษตรกร ในเรื่องต้นทุนการผลิต เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยแพง ค่าเช่านา ถ้าฝนแล้ง น้ำท่วม เกษตรกร ก็ต้องเสียค่าเช่า ถ้าไม่เสียก็ไปให้คนอื่นเช่า เราจะเอาเปรียบไม่ได้ รวยไม่รู้จะรวยอย่างไรแล้ว ตนกำลังแก้ปัญหาเรื่องสัญญาเช่าที่ต่างๆ และพ.ร.บ.ทวงหนี้ เรื่องนายทุน ผลประโยชน์ต่างๆ ตนคิดทุกวัน คิดเรื่องแม่น้ำ 5 สาย มันทำไมยุ่งจริงๆ ประเทศไทย ไม่คิดว่าจะมีปัญหามากขนาดนี้ มาทำเองถึงรู้ เพราะต่างคนต่างความคิด และหวังดีทั้งหมดแต่หวังดีไม่เจอกัน ต้องแสวงหาทางออกร่วมกันให้ได้โดยสันติ เราก็ให้เวลาเปลี่ยนผ่าน เพียงแต่ต้องยอมรับในการเปลี่ยนบ้าง ไม่ใช่ต้องเปลี่ยนแปลงเฉพาะสภาอุตสาหกรรมต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงให้คนอื่นคล้อยตามให้ได้ ถึงจะเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ตนคงไม่ใช่ผู้นำแบบนั้น ตนเป็นเพียงผู้นำชั่วคราว มาปลดล็อกประเทศเท่านั้นเอง คนรุ่นเก่ากำลังทำให้คนรุ่นใหม่ เอาใหม่เถอะลูกหลาน จะได้มีอนาคต
" ผมได้วางแผนงานเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ได้วางพื้นฐานโรดแมปของคสช. วันนี้มาดูในเรื่องของการปฏิรูป ซึ่งอยู่ในระยะที่ 2 ของโรดแมป และขั้นตอนที่ 3 ก็ส่งต่อรัฐบาลหน้า วันนี้ตอนนี้เราอยู่ในช่วงระยะที่ 2 เหลือเวลาอยู่อีก 1 ปี 6 เดือน ซึ่งผมไม่เคยบิดเบี้ยว แต่มีปัญหาเลือกตั้ง ซึ่งไม่ใช่ของผมเพียงคนเดียวทุกอย่างโยนมาให้ผมรับผิดชอบทั้งหมด โดยทุกคนจะไม่ร่วมมือไม่ได้ เพราะประเทศนี้ไม่ใช่ของผมแต่เป็นของคนไทยทุกคน ดังนั้นจะต้องช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรให้ความขัดแย้งลดลง และไม่เกิดขึ้นอีก ถ้าเราทำวันนี้ล้มเหลว วันข้างหน้าจะล้มเหลวยิ่งกว่านี้ เราก็จะการเป็นรัฐที่ล้มเหลว วันข้างหน้าก็คงต้องต่างคนต่างอยู่อย่างอิสระเสรีถ้าจะเอาอย่างนี้ก็ว่ากันไป แต่ผมยังยืนยันว่าจะทำงานแบบนี้ด้วยความร่วมมือของทุกคน ผมจะทำตัวเป็นแก้วน้ำที่เต็มแล้วสำหรับคนบางประเภท แต่สำหรับเรื่องที่ไม่เคยรู้ ผมก็จะเป็นแก้วน้ำครึ่งแก้ว ผมเป็นคนแบบนี้จะรับฟังในสิ่งที่ผมควรจะฟัง สิ่งที่ไม่อยากฟังผมก็ค่อนข้างหงุดหงิด เพราะมันไม่เกิดประโยชน์กับผม และประเทศเลย มีแต่จะสร้างความขัดแย้งไปเรื่อยๆ จึงขอร้องให้ช่วยกัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คนในประเทศต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งต้องดูที่โครงสร้างรายได้ประเทศ และวันนี้หลายประเทศถอนโรงงานกลับ เป็นโรงงานที่ล้าสมัย แต่เราพยายามดึงเขากลับมาใหม่ จึงมีมาตราการต่างๆ ทั้งเรื่องการให้เช่าที่ดินต่างๆ แต่กลายเป็นว่า รัฐบาลมุ่งเอื้อประโยชน์คนรวย
นายกฯ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลจะแก้ไข พ.ร.บ. การใช้งบประมาณใหม่ โดยรัฐบาลหน้า จะต้องประชุมก่อนเพื่อจัดทำงบประมาณ โดยงบประมาณปกติ ต้องลดลง และต้องพูดถึงงบประมาณตามแผนการปฏิรูป หรืองบประมาณเร่งด่วนของรัฐบาลด้วย โดยทุกกระทรวงต้องหารือร่วมกัน ให้มีคณะกรรมการขึ้นมาชุดเดียว เพื่อความสอดคล้อง ส่วนโครงการใดที่ไม่สำคัญ หรือไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนก็ให้ตัดออกไปก่อน ส่วนนักการเมืองตนไม่ยุ่งด้วย ขอแค่ให้นึกถึงประเทศ วันนี้ที่หลายประเทศมีความมั่นคง เพราะว่ามียุทธศาสตร์ในการพัฒนา แต่ทุกอย่างของไทยกลับเป็นนโยบายของพรรคการเมืองเป็นส่วนใหญ่ เป็นนโยบายสวยหรูบ้างก็ทำ บ้างก็ไม่ได้ทำ และไม่มีใครคอยจับต้องว่านโยบายเหล่านั้น พรรคการเมืองได้ทำหรือไม่ ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกันคิดว่า จะทำอย่างไรให้พรรคการเมืองทำตามนโยบาย ตนไม่ได้ต้องการสืบทอดอำนาจ แต่วันนี้สืบเพราะใคร ถ้าไม่สืบเพราะประชาชน เพื่อให้ประเทศแข็งแรง
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วง 1 ปี 6 เดือนที่เหลือ อะไรที่ทำกันได้ ทำเลย ถ้าเอามาสิบปัญหา สิบเรื่อง มันตีกันทั้งสิบปัญหา ต่อไป ถ้าไม่เสร็จ ก็ใส่ไปในรัฐบาลหน้า ตนไม่ต้องการอำนาจ ผลประโยชน์สักอย่าง ต้องช่วยกัน บริษัทใหญ่ๆ ต้องเกื้อหนุนสงสารคนจน เกษตรกร ในเรื่องต้นทุนการผลิต เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยแพง ค่าเช่านา ถ้าฝนแล้ง น้ำท่วม เกษตรกร ก็ต้องเสียค่าเช่า ถ้าไม่เสียก็ไปให้คนอื่นเช่า เราจะเอาเปรียบไม่ได้ รวยไม่รู้จะรวยอย่างไรแล้ว ตนกำลังแก้ปัญหาเรื่องสัญญาเช่าที่ต่างๆ และพ.ร.บ.ทวงหนี้ เรื่องนายทุน ผลประโยชน์ต่างๆ ตนคิดทุกวัน คิดเรื่องแม่น้ำ 5 สาย มันทำไมยุ่งจริงๆ ประเทศไทย ไม่คิดว่าจะมีปัญหามากขนาดนี้ มาทำเองถึงรู้ เพราะต่างคนต่างความคิด และหวังดีทั้งหมดแต่หวังดีไม่เจอกัน ต้องแสวงหาทางออกร่วมกันให้ได้โดยสันติ เราก็ให้เวลาเปลี่ยนผ่าน เพียงแต่ต้องยอมรับในการเปลี่ยนบ้าง ไม่ใช่ต้องเปลี่ยนแปลงเฉพาะสภาอุตสาหกรรมต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงให้คนอื่นคล้อยตามให้ได้ ถึงจะเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ตนคงไม่ใช่ผู้นำแบบนั้น ตนเป็นเพียงผู้นำชั่วคราว มาปลดล็อกประเทศเท่านั้นเอง คนรุ่นเก่ากำลังทำให้คนรุ่นใหม่ เอาใหม่เถอะลูกหลาน จะได้มีอนาคต