วานนี้ (18 ม.ค.) มีการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) วาระพิจารณาแผนการปฏิรูปของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) (ฉบับที่..) พ.ศ....
พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธาน กมธ. ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน ได้ชี้แจงว่า การเสนอร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว ทางกระทรวงไอซีที ได้เสนอมา เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล จึงจำเป็นต้องปรับปรุงองค์กรที่ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับดูแลกิจการด้านโทรคมนาคม วิทยุโทรทัศน์ เพื่อให้มีการทำงานที่เป็นเอกภาพ ไม่ซ้ำซ้อน เกิดความคล่องตัวในการใช้จ่ายงบประมาณ การออกใบอนุญาต ซึ่งมีการปรับปรุงรวมบอร์ดต่างๆ ให้เหลือเพียง กสทช.เพียงบอร์ดเดียว รวมถึงการปรับลดกรรมการจาก 11 คน เหลือ 7 คน เนื่องจากเทคโนโลยีมีการปรับเข้าหากันมากขึ้น
จากนั้นประธานที่ประชุมได้เปิดให้สมาชิกอภิปราย โดยมีสมาชิกให้ความสนใจ ซักถาม และบางส่วนได้ท้วงติงร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว โดยนายคำนูณ สิทธิสมาน อภิปรายว่า ส่วนตัวไม่ขัดข้องหากจะยุบรวมบอร์ดกสทช. และลดจำนวนกรรมการ แต่เห็นว่า การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลการทำงานของกสทช. อาจขัดกับบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 เพราะจะไม่ทำให้กสทช. ไม่เป็นองค์กรอิสระโดยแท้จริง ขณะที่ระบบการสรรหารูปแบบใหม่ เสมือนเป็นการเจาะจงเลือกอดีตเจ้าหน้าที่และข้าราชการ มากกว่าจะเปิดช่องให้มีผู้แทนที่มาจากความหลากหลาย
นายเสรี สุวรรณภานนท์ อภิปรายว่า การจัดสรรคลื่นความถี่นั้นเป็นของรัฐ ซึ่งประชาชนไม่ควรที่จะจ่ายเงินในการใช้คลื่นความถี่ หรือจ่ายในราคาที่ถูกที่สุด และรายได้ทั้งหมดต้องเป็นรายได้ของแผ่นดิน ทั้งนี้ หากจะปฏิรูปประเทศ ก็ควรที่จะต้องทบทวนในเรื่องนี้ ถึงแม้จะเป็นองค์กรอิสระ แต่ก็ต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก และในการออกกฎหมายนั้น เพียงถ้อยคำไม่กี่คำ ก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ ซึ่งจะต้องทบทวนให้ละเอียดและชัดเจน
หลังการอภิปรายอย่างกว้างขวาง ปรากฏว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ด้วยคะแนน 128 ต่อ 11 และงดออกเสียง 17 และให้ส่งเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี ดำเนินการต่อไป
พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธาน กมธ. ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน ได้ชี้แจงว่า การเสนอร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว ทางกระทรวงไอซีที ได้เสนอมา เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล จึงจำเป็นต้องปรับปรุงองค์กรที่ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับดูแลกิจการด้านโทรคมนาคม วิทยุโทรทัศน์ เพื่อให้มีการทำงานที่เป็นเอกภาพ ไม่ซ้ำซ้อน เกิดความคล่องตัวในการใช้จ่ายงบประมาณ การออกใบอนุญาต ซึ่งมีการปรับปรุงรวมบอร์ดต่างๆ ให้เหลือเพียง กสทช.เพียงบอร์ดเดียว รวมถึงการปรับลดกรรมการจาก 11 คน เหลือ 7 คน เนื่องจากเทคโนโลยีมีการปรับเข้าหากันมากขึ้น
จากนั้นประธานที่ประชุมได้เปิดให้สมาชิกอภิปราย โดยมีสมาชิกให้ความสนใจ ซักถาม และบางส่วนได้ท้วงติงร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว โดยนายคำนูณ สิทธิสมาน อภิปรายว่า ส่วนตัวไม่ขัดข้องหากจะยุบรวมบอร์ดกสทช. และลดจำนวนกรรมการ แต่เห็นว่า การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลการทำงานของกสทช. อาจขัดกับบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 เพราะจะไม่ทำให้กสทช. ไม่เป็นองค์กรอิสระโดยแท้จริง ขณะที่ระบบการสรรหารูปแบบใหม่ เสมือนเป็นการเจาะจงเลือกอดีตเจ้าหน้าที่และข้าราชการ มากกว่าจะเปิดช่องให้มีผู้แทนที่มาจากความหลากหลาย
นายเสรี สุวรรณภานนท์ อภิปรายว่า การจัดสรรคลื่นความถี่นั้นเป็นของรัฐ ซึ่งประชาชนไม่ควรที่จะจ่ายเงินในการใช้คลื่นความถี่ หรือจ่ายในราคาที่ถูกที่สุด และรายได้ทั้งหมดต้องเป็นรายได้ของแผ่นดิน ทั้งนี้ หากจะปฏิรูปประเทศ ก็ควรที่จะต้องทบทวนในเรื่องนี้ ถึงแม้จะเป็นองค์กรอิสระ แต่ก็ต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก และในการออกกฎหมายนั้น เพียงถ้อยคำไม่กี่คำ ก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ ซึ่งจะต้องทบทวนให้ละเอียดและชัดเจน
หลังการอภิปรายอย่างกว้างขวาง ปรากฏว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ด้วยคะแนน 128 ต่อ 11 และงดออกเสียง 17 และให้ส่งเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี ดำเนินการต่อไป