วานนี้ (22ธ.ค.) นายธนิศร์ ศรีประเทศ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานกกต. แถลงว่า ที่ประชุมกกต.มีมติให้เรียกค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้ง ส.ว.ระนอง จำนวน 5,424,297.54 บาท จากกรณี เมื่อวันที่ 6 ส.ค.58 ศาลฎีกามีคำพิพากษายืน ตามมติกกต.ที่เสนอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายศักดา ศรีวิริยะไพบูลย์ ส.ว.ระนอง มีกำหนด 5 ปี นับแต่วันมีคำสั่ง เนื่องจากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายศักดาได้มอบหมายให้บุคคลที่รู้จักและไว้ใจไปแจกจ่ายปฏิทินให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปในพื้นที่รับผิดชอบ และได้กำชับให้ทำการแจกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 พ.ย. 56 ซึ่งอยู่นอกกรอบเวลา 90วัน ก่อนวันครบวาระการดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการจงใจกระทำการเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้าม ประกอบกับการแจกปฏิทินที่มีตราสัญลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ กับภาพถ่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระนอง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นการอ้างหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า พรรคการเมืองดังกล่าวสนับสนุนตนเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิลงคะแนนให้เลือกตั้งตนเอง ซึ่งการกระทำดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้การเลือกตั้ง ส.ว.ระนอง เมื่อวันที่ 30 มี.ค.57 ไม่ได้เป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม และได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของกกต. จึงมีมติให้ดำเนินคดีแพ่งฟ้องเรียกค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้ง ส.ว.ระนอง จากนายศักดา ตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะขอความอนุเคราะห์พนักงานอัยการ เพื่อพิจารณาฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมกกต.ยังได้มีการพิจารณาผลการตรวจสอบการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายในการเลือก ส.ว.30 มี.ค.57 ของผู้สมัครส.ว.จำนวน 443 ราย โดยในจำนวนดังกล่าว ที่ประชุมมีมติสั่งยุติเรื่องกรณีที่ผู้สมัคร ส.ว.จำนวน 336 ราย และสมุห์บัญชีเลือกตั้งจำนวน 336 ราย ได้จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายในการเลือกตั้งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ประกาศกกต. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกวุมิสภา พ.ศ. 2551 กำหนด และสั่งยุติเรื่องกรณีผู้สมัครส.ว.จำนวน 97 รายและสมุห์บัญชี จำนวน 44 ราย จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายในการ เลือกตั้งไม่เป็นไปตามประกาศฯที่ กกต.กำหนด แต่มีการชี้แจงแสดงเหตุผลที่ กกต.เห็นว่าสามารถรับฟังได้ แต่มี ผู้สมัครส.ว.จำนวน10 ราย ที่ กกต.มีมติให้ดำเนินคดีตามมาตรา 52 ประกอบมาตรา 143 แห่ง พ.ร.ป.การเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 5 ปี รวมทั้งดำเนินคดีแก่สมุห์บัญชีเลือกตั้ง 63 ราย ตามมาตรา 51 ประกอบมาตรา 142 แห่ง พ.ร.ป. การเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 5 ปี และห้ามเป็นสมุห์บัญชีเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่าย ในการเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาไม่เป็นไปตามประกาศฯ กกต.กำหนด
นอกจากนี้ ที่ประชุมกกต.ยังได้มีการพิจารณาผลการตรวจสอบการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายในการเลือก ส.ว.30 มี.ค.57 ของผู้สมัครส.ว.จำนวน 443 ราย โดยในจำนวนดังกล่าว ที่ประชุมมีมติสั่งยุติเรื่องกรณีที่ผู้สมัคร ส.ว.จำนวน 336 ราย และสมุห์บัญชีเลือกตั้งจำนวน 336 ราย ได้จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายในการเลือกตั้งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ประกาศกกต. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกวุมิสภา พ.ศ. 2551 กำหนด และสั่งยุติเรื่องกรณีผู้สมัครส.ว.จำนวน 97 รายและสมุห์บัญชี จำนวน 44 ราย จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายในการ เลือกตั้งไม่เป็นไปตามประกาศฯที่ กกต.กำหนด แต่มีการชี้แจงแสดงเหตุผลที่ กกต.เห็นว่าสามารถรับฟังได้ แต่มี ผู้สมัครส.ว.จำนวน10 ราย ที่ กกต.มีมติให้ดำเนินคดีตามมาตรา 52 ประกอบมาตรา 143 แห่ง พ.ร.ป.การเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 5 ปี รวมทั้งดำเนินคดีแก่สมุห์บัญชีเลือกตั้ง 63 ราย ตามมาตรา 51 ประกอบมาตรา 142 แห่ง พ.ร.ป. การเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 5 ปี และห้ามเป็นสมุห์บัญชีเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่าย ในการเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาไม่เป็นไปตามประกาศฯ กกต.กำหนด