ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“ผู้บังคับบัญชาต้องทำตัวเป็นปุ๋ย ไม่ใช่ยาฆ่าแมลง...ไปตรงไหนจะเจริญงอกงาม ไม่ใช่ไปที่ไหนที่นั่น...ตาย” ประโยคทองของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ถือว่าได้ใจลูกน้องพอสมควร และเท่าที่เคยสัมผัสกันมาอุปนิสัยใจคอของ“บิ๊กแป๊ะ”ก็ประมาณนี้ อาจจะดุดันหน่อย ชนิดที่โผงผาง ด่าเป็นด่า ชมเป็นชม จนลูกน้องหรือคนใก้ลชิดต่างรู้กันดีว่า ถ้าถูกเจ้านายคนนี้ฉะแรงๆ ถือว่านั่นคือคำตักเตือนด้วยความปรารถณาดี แต่ถ้าเงียบๆไม่พูดไม่ติ ไม่แสดงอาการใด นั่นคือสัญญาณอันตราย อาจถึงคราวซวยเอาง่ายๆ หากบกพร่องซ้ำๆ ซากๆ
วันนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ อยู่ในฐานะผู้นำองค์กร มีตำรวจใต้บังคับบัญชาเกือบ 3 แสนนาย เชื่อว่าตัวตนเป็นอย่างไรปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น “คำคมดงนักเลง”ประเภทนกต้องมีขน คนต้องมีพวก ไงเสียแวดวงตำรวจโดยเฉพาะยุคนี้น่าจะยังใช้ได้ดี ตัวท่าน ผบ.ตร.เองก็เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายครั้งว่า เพื่อนฝูงหรือใครที่ท่านคบหา หากใจมาเต็มร้อย ท่านก็คืนกลับร้อย ใครมาแค่ไหนคืนกลับไปแค่นั้น
แต่การเป็น "ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ" แม้การเล่นพวกพ้อง หรือความไว้เนื้อเชื่อใจคนใกล้ชิด จะเป็นของธรรมชาติในสังคมไทยแต่หากระบบอุปถัมภ์ยังนำหน้าความสามารถ หรือในเรื่องของธรรมาภิบาล ก็น่าเป็นห่วงว่าองค์กรตำรวจคงย่ำอยู่กับที่ ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะไม่ได้อะไร ปัญหาเก่าๆ ยังคงวนเวียนไม่ได้รับการแก้ไข และไม่มีการปฏิรุปตำรวจ !! ??
เมื่อหลายวันก่อนเกิดเหตุการณ์สิบเวรผู้ทำหน้าที่ควบคุมผู้ต้องขัง ใช้อาวุธปืนจ่อยิง ผกก.หัวหน้าสถานีตำรวจภูธร แห่งหนึ่งพร้อมกับนายตำรวจติดตาม ก่อนถูกวิสามัญฆาตกรรม เสียชีวิตรวม 3 ศพ เป็นข่าวสะท้านสะเทือนวงการสีกากี อีกครั้งหลังจากที่เหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นเนืองๆ แต่ห่างหายไปได้สักระยะแล้ว
มีคำถามจากสังคมมากมาย อะไรคือสาเหตุ....กรณี สภ.อ.ปลวกแดง จ.ระยอง มาจากดาบตำรวจมือปืน ซึ่งทำหน้าที่สิบเวร ควบคุมผู้ต้องขังกำลังถูกกล่าวหาข่มขืนหญิงชาวลาว และอยู่ระหว่างสอบสวนดำเนินการ
ถามต่อไปอย่างผู้ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางว่า ทำไมถึงตัดสินใจอย่างนั้น เพราะถ้าไม่ผิดจะต้องไปกลัวอะไร
คำตอบที่สมเหตุสมผล และสร้างความกระจ่างมีนายตำรวจที่เคยผ่านงาน“ผู้กำกับการ”มาก่อน ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า...ความคิดเห็นส่วนตัวของผม...ความเครียดมันทำให้คนคิดอะไรแบบที่ไม่เคยคิดได้...ทำไมไม่แปลกใจบ้างว่า ตำรวจที่เราทั้งรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง ต้องเอาปืนมายิงตัวตาย...คำตอบคือ มันเป็นความคิดเพียงชั่ววูบ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ระเบียบ วินัย หรือการเป็นเจ้านายลูกน้องมันคงไม่คิดถึงแล้วครับ คงคิดเพียงแต่ถ้าเขาถูกออกจากราชการ ภาระหนี้สินต่างๆ ที่ผ่อนอยู่จะเอาที่ไหนมาจ่าย ซึ่งมันเป็นความกดดันมากกว่าระเบียบวินัย หรือการสวมเครื่องแบบครับ !!
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ตำรวจควรมีมาตรการในการสืบสวนสอบสวนให้ปรากฏความผิดชัดเจนเสียก่อนว่า ตำรวจที่ถูกกล่าวหาผิดจริงหรือไม่ ก่อนสั่งให้ลูกน้องออกจากราชการ ควรคิดถึงอนาคตของเขาและครอบครัวบ้าง
ถ้ามันออกจากราชการไปแล้ว มันจะเอาอะไรกิน !!
ชีวิตเขา ลูกเมียจะอยู่กันอย่างไร !! ??
สมัยผมเป็น ผกก.ในนครบาล ผมเคยเอาลูกน้องออกจากราชการไป 1 นาย แต่มันมีเหตุผลเพียงพอ และเจ้าตัวเขาก็ยอมรับการเป็นหัวหน้าปกครองลูกน้องควรมี และใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ
และสมควรต้องฟังเหตุผล-ชั่งน้ำหนัก และควรรู้จักสถานการณ์ นิสัยของลูกน้องตัวเอง
โดยเฉพาะในแต่ละช่วงเวลาคับขันที่จะต้องแก้ปัญหาต่างๆ มันเป็นทั้งศาสตร์ และศิลป์ ครับ...
อุทาหรณ์ นาย-ลูกน้อง ก็ว่ากันไป โศกนาฏกรรม อุทาหรณณ์ ครั้งแล้วครั้งเล่า....ประวัติศาสตร์นับแต่ก่อตั้งกรมตำรวจ มาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มามีแต่ลูกน้องยิงนาย ไม่เคยมีนายยิงลูกน้อง..!?
สาเหตุเดิมๆ คือ กดขี่ ข่มเหง บีบคั้น รังแก เอาดีเข้าตัว โยนชั่วให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นหัวลูกน้อง จิกกระบาลด่า เพียงแค่ยศน้อยกว่า ไม่ให้เกียรติ ไม่คำนึงถึงอาวุโส...
ต่างจากนายยุคก่อนๆ ไม่ว่ามันจะผิดหรือถูกอย่างไร แต่มันเป็นลูกน้องกู ต้องช่วยมันไว้ก่อน...ต่างกับนายสมัยนี้ บางครั้งมองผลประโยชน์ เอาตัวรอด มากกว่าสิ่งอื่นใด
จนลืมไปว่า..ลูกน้องมันก็เป็นตำรวจ พกปืนเหมือนกัน จึงต้องสังเวยศพแล้ว ศพเล่า...ตราบใดที่นายยังเห็นแก่ตัว กดขี่ ข่มเหง ทำลายลูกน้อง...ในวันข้างหน้า นับจากนี้ไม่รู้ว่าใครจะเป็นรายต่อไป !?
แล้วเคยแปลกใจกันไหมว่า ทำไมทหารจึงไม่มีลูกน้องยิงนาย....ไม่ใช่เจ้านายทหารจะดีทกคนเสมอไปแต่...เพราะเมื่อทหารทำผิด ทหารจะถูกให้ออกจากราชการต่อเมื่อต้องได้รับคำพิพากษาคดีถึงที่สุด ตามคำสั่งศาล จึงจะถูกออกจากราชการ
สำหรับตำรวจตรงข้ามเลยครับ....!! ??
ยังไม่ทันขึ้นศาล เพื่อตัดกระแสสังคมอาจจะลุกลามถึงเจ้านาย หรือองค์กร ต้องถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว....นี่คือปัญหาหลัก
ต่อไปควรนำปรับมาใช้ให้เป็นระเบียบทางเดียวกัน เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ต้องใช้อาวุธเหมือนกัน และเพื่อสร้างมาตรฐานความทัดเทียมให้เกิดขึ้นแก่ข้าราชการไทยทุกคนในอนาคตต่อไป....
นี่คือความเห็นส่วนตัวของอดีต ผกก.นครบาล ท่านหนึ่ง คนนอกวงการสีกากีอย่างเรา ท่าน พอมองเห็นภาพกันแล้วใช่ไหม ปัญหาการกดขี่ ข่มเหง บีบคั้น เห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ เอาดีเข้าตัว โยนชั่วผู้ใต้บังคับบัญชานั้น ล้วนแต่เป็นชนวนแห่งความตาย หากประพฤติตนเยี่ยงนี้คงไม่พ้นเป็นปุ๋ยอย่างที่ท่านผบ.ตร.ว่าทั้งปุ๋ย และยาฆ่าแมลง ทางที่ดีแล้วไม่ต้องถึงขั้นนั้นก็ได้ เพราะลูกน้อง หรือผู้บังคับบัญชาที่มี ร้อยพ่อ พันแม่ อีกทั้งบริบทที่ซับซ้อนของตำรวจ จึงขอเสนอแนะว่า คนเป็นผู้บังคับบัญชาควรทำตัวเหมือนทำนบกั้นน้ำ
ยามใดน้ำเชี่ยว-ไหลแรง โดยเฉพาะรัฐบาลทหาร ที่ทราบมาว่าท่านต้องการความรวดเร็วทันใจ และให้ได้ดั่งใจนั้นผู้นำองค์กรตำรวจก็ต้องใช้ศาสตร์ใช้ศิลป์ประหนึ่งทำนบกั้นน้ำคือปกป้องลูกน้องตัวเอง พร้อมๆ กับยอมให้เอ่อล้นหากมันไม่ไหวจริงๆ
ลองหันไปดูยุคที่ผ่านมาผู้นำองค์กรแสดงความห่วงใยหามาตรการต่างๆ ป้องกันตำรวจฆ่าตัวตาย ถึงขนาดออกระเบียบลงโทษผู้บังคับบัญชา ขณะเดียวกันตัวเองก็ใช้วิชา อ.ตร. “เอาตัวรอด” ย้ายรายวัน 1 ปีในตำแหน่งต้องสังเวยไปนับพันๆ คน
สรุปว่าไม่ต้องสงสาร ไม่ต้องเมตตา แต่ให้คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ และให้ความเป็นธรรม คงไม่มีเจ้านายคนไหนถูกลูกน้องยิงตายแม้แต่รายเดียว