**เพิ่งผ่านพ้นไปกันแบบที่เรียกว่าต้องเป่าปากโล่งอก สำหรับผลการตรวจสอบของสำนักงานความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรป (EASA)ประกาศผลสอบมาตรฐานการบินของไทยให้ "สอบผ่าน" ทำให้สายการบินของไทยสามารถบินเข้าน่านฟ้าของสหภาพยุโรปได้ตามปกติต่อไป
ทำให้ไม่ซ้ำรอยกรณีของกรมการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)ที่ยังปักธงแดงสายการบินของไทย หรือที่สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา(FAA)ลดระดับมาตรฐานการบินของไทยลงมา จนอยู่ในระดับพวกเกรดสองไปก่อนหน้านี้
ที่ต้องบอกว่าการที่สำนักงานความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรปให้ไทยสอบผ่านด้านการบินดังกล่าวได้สร้างผลบวกให้ไทยอย่างมากมาย อย่างน้อยก็ไม่สร้างผลกระทบทางด้านธุรกิจการบิน จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในระยะเฉพาะหน้า ที่ไทยกำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และสายการบินของไทยโดยเฉพาะการบินไทย ที่มีเส้นทางบินในยุโรปถึง 11 เมืองสำคัญอยู่ในเวลานี้ รวมไปถึงความมั่นใจของนักลงทุนอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา
อีกด้านหนึ่งก็ไม่อยากจะคิดว่า หากในวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา หากผลการประกาศของสำนักงานความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรปออกมาเป็นลบ มันจะเลวร้ายแค่ไหน เพราะมันจะกระทบต่อธุรกิจด้านการท่องเที่ยวของไทยที่กำลังเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวที่มีพลังในการดึงเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต หลังจากเครื่องยนต์ตัวอื่น เช่น การส่งออก การผลิตอื่นๆ ยังมีปัญหาทรุดหนักมาต่อเนื่อง และที่สำคัญหากผลออกมาเป็นลบ ก็ยังไม่อยากคิดในทางเลวร้ายถึงขั้นที่ว่า อาจถึงขั้นทำให้บริษัทการบินไทย สายการบินแห่งชาติ ที่กำลังอยู่ในภาวะขาดทุนบักโกรกอาจถึงขั้นจบสิ้นไปเลย ก็ได้ เพราะการบินไทย มีเส้นทางการบินในหลายเมืองหลักในยุโรปถึง 11 เมือง เอาเป็นว่า เมื่อสอบผ่านก็ต้องทำให้เราต้องโล่งอกไปพักหนึ่ง และเชื่อว่าคนในรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คงจะเป่าปากโล่งอกมากกว่าใคร เพราะอย่างที่บอกถ้าผลออกมาตรงกันข้าม มันก็เหมือนกับมรสุมที่รุมเร้าเข้ามาแบบไม่หยุดหย่อนจนโงหัวแทบไม่ขึ้นเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี มันก็ประมาทไม่ได้ เพราะความหมายก็คือเป็นการให้การรับรองแบบชั่วคราว เพราะจะต้องมีการตรวจมาตรฐานกันเป็นระยะในรอบ 6 เดือน และที่สำคัญเราต้องกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ตามมาตรฐานของกรมการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่ยังปักธงแดงให้เรามาพักใหญ่แล้ว แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการดำเนินการตามมาตรฐานสากลที่กำหนดเอาไว้เพียงแต่ว่ามันต้องใช้เวลาเท่านั้น ซึ่งเราจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด
นั่นก็ผ่านไปเปลาะ ได้หายใจหายคอกันบ้าง แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าเห็นจะเป็นปัญหาภายในที่เชื่อมโยงไปถึงต่างประเทศ และพันถึงรายได้ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต เอาเรื่องสดๆ ร้อนๆ ก่อนก็คือ การโผล่ออกมาเปิดโปง "ขบวนการค้ามนุษย์" ของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ที่ก่อนหน้าที่ได้เคยออกมาแสดงความคับข้องใจว่า ถูกกดดันข่มขู่สารพัดจากการทำคดีดังกล่าวหลังการมีการจับกุม ส่งฟ้อง "คนมีสี" ที่เป็นตัวการ รวมไปถึงการระบุว่าถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรม เหมือนกับถูกกลั่นแกล้งส่งไปตายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อถูกโยกย้ายลงไปที่นั่น ซึ่งเป็นพื้นที่อิทธิพลของคนมีสีมีอิทธิพลตัวการค้ามนุษย์ โดยได้ตัดสินใจลาออกจากราชการตำรวจ และเงียบไปพักใหญ่
จนกระทั่งกล่าสุด เขาได้โผล่มาให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศระหว่างทำเรื่องขอลี้ภัยในออสเตรเลีย เปิดโปงขบวนการค้ามนุษย์ที่ยืนยันตัวการสำคัญก็คือ คนมีสี ทั้งสีเขียวและสีกากี ร่วมมือกัน แน่นอนว่าจากข้อมูลและคำพูดของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ จริงเท็จแค่ไหนยังไม่อาจยืนยันได้เต็มร้อย เพราะต้องฟังข้อมูลทั้งสองด้าน รวมไปถึงต้องรอผลสรุปที่ชัดเจนออกมาก่อน แต่นาทีนี้ ถือว่าความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะผลกระทบทางลบต่อรัฐบาล รวมไปถึงผลลบต่อหน่วยงานทางราชการ ทั้งฝ่ายทหาร และตำรวจ ที่ถูกระบุว่ามีบุคคลเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งข้อมูลแบบนี้รับรองว่าต้องมีคนเชื่อถือ เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มีการเชื่อกันว่า ต้องมีข้าราชการ คนมีสี เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน และของผิดกฎหมายในภาคใต้ ซึ่งพูดอีกก็ถูกอีก เพียงแต่ว่าคนดีข้าราชการที่ดี ย่อมมีมากกว่าคนชั่วเท่านั้นเอง
แต่สำหรับกรณีการค้ามนุษย์ ถือว่าเป็น "ของร้อน" ขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เพราะไทยถูก "ขึ้นบัญชีดำ" โดยสหภาพยุโรปเหมือนกัน ซึ่งหากแก้ไขไม่เป็นที่น่าพอใจ มันก็อาจส่งผลเสียต่อสินค้าส่งออกของไทยจำนวนมหาศาล มีผลต่อเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันภาพลักษณ์ในสายตาต่างชาติ ก็ยิ่งติดลบ และที่ต้องจับตามองก็คือ จากเรื่องดังกล่าวยังมีผลกระทบไปถึงระบบการโยกย้ายภายในของวงการตำรวจขึ้นมาอีก และเป้าหมายที่ถูกจับจัองก็คือ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เพราะคนที่ออกมาพูดก็คือ คนในวงการเดียวกัน อีกทั้งยังกระทบไปถึงกองทัพอีกด้วย
**อีกเรื่องหนึ่งที่คงยังไม่จบง่ายๆ ก็คือ "ปมทุจริต" ในอุทยานราชภักดิ์ ที่ล่าสุดเริ่มขยายวงออกไปเป็นความไม่พอใจของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม กับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.อุดมเดช แสดงความไม่พอใจต่อคำพูดที่ว่า "มีการทุจริต" และบอกว่าหากผลสอบออกมาไม่พบการทุจริต ก็อาจทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ แน่นอนว่าการพูดแบบนี้อาจได้ใจชาวบ้าน เพราะเชื่อว่าเห็นแบบเดียวกัน แต่สำหรับ พล.อ.อุดมเดช เรื่องแบบนี้สำหรับเขา มันเป็นเรื่อง "อ่อนไหว"ไม่อยากได้ยิน
ขณะเดียวกันหากพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ก็ไม่ได้เอ่ยชื่อใครว่าทุจริต และในสายตาของชาวบ้านส่วนใหญ่ ก็เชื่อว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากล เพียงแต่ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับใหนที่มีการหักค่าหัวคิว มีการแอบอ้างหาผลประโยชน์ ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง แต่มันยังไม่น่าเชื่อถือ เพราะมีการตั้งฝ่ายทหารขึ้นมาสอบ ก็จะถูกมองว่า "สอบกันเอง" แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรอผลออกมาก่อน
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้เห็นร่องรอยความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นมาเพิ่มอีกหลังจากก่อนหน้านี้ก็มีปัญหาความขัดแย้งกันมาแล้วในระดับบุคคลในกองทัพ ตามที่ปรากฏก่อนหน้านี้ ระหว่างตัวละครสำคัญคือ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร กับ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก คนปัจจุบัน จนที่ผ่านมาถึงกับได้ยินคำพูดของ "พี่ใหญ่" คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ที่รีบปรามว่า "หมูใจเย็นๆ " มาแล้ว
ดังนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเวลานี้ เหมือนกับ"เรือแป๊ะ" หรือรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มเจอคลื่นลมแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งภายนอกและภายใน แต่ที่ดูแล้วน่าเป็นห่วงที่สุดก็คืออย่างหลังนี่แหละน่ากลัวกว่า โดยเฉพาะต้องไม่เกิดเรื่องอื้อฉาวซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก หรือต้องหยุดกระแส "ปมราชภักดิ์" ให้ได้อย่างหมดจดที่สุด และที่สำคัญที่น่ากลัวกว่าก็คือต้องหยุด "ปมร้าว" ภายในไม่ให้ลุกลามออกไปให้ได้
**ไม่เช่นนั้น ต่อให้เรือมั่นคงแข็งแรงแค่ไหนมันก็ล่มลงได้ไม่ยาก !!
ทำให้ไม่ซ้ำรอยกรณีของกรมการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)ที่ยังปักธงแดงสายการบินของไทย หรือที่สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา(FAA)ลดระดับมาตรฐานการบินของไทยลงมา จนอยู่ในระดับพวกเกรดสองไปก่อนหน้านี้
ที่ต้องบอกว่าการที่สำนักงานความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรปให้ไทยสอบผ่านด้านการบินดังกล่าวได้สร้างผลบวกให้ไทยอย่างมากมาย อย่างน้อยก็ไม่สร้างผลกระทบทางด้านธุรกิจการบิน จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในระยะเฉพาะหน้า ที่ไทยกำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และสายการบินของไทยโดยเฉพาะการบินไทย ที่มีเส้นทางบินในยุโรปถึง 11 เมืองสำคัญอยู่ในเวลานี้ รวมไปถึงความมั่นใจของนักลงทุนอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา
อีกด้านหนึ่งก็ไม่อยากจะคิดว่า หากในวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา หากผลการประกาศของสำนักงานความปลอดภัยด้านการบินแห่งสหภาพยุโรปออกมาเป็นลบ มันจะเลวร้ายแค่ไหน เพราะมันจะกระทบต่อธุรกิจด้านการท่องเที่ยวของไทยที่กำลังเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวที่มีพลังในการดึงเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต หลังจากเครื่องยนต์ตัวอื่น เช่น การส่งออก การผลิตอื่นๆ ยังมีปัญหาทรุดหนักมาต่อเนื่อง และที่สำคัญหากผลออกมาเป็นลบ ก็ยังไม่อยากคิดในทางเลวร้ายถึงขั้นที่ว่า อาจถึงขั้นทำให้บริษัทการบินไทย สายการบินแห่งชาติ ที่กำลังอยู่ในภาวะขาดทุนบักโกรกอาจถึงขั้นจบสิ้นไปเลย ก็ได้ เพราะการบินไทย มีเส้นทางการบินในหลายเมืองหลักในยุโรปถึง 11 เมือง เอาเป็นว่า เมื่อสอบผ่านก็ต้องทำให้เราต้องโล่งอกไปพักหนึ่ง และเชื่อว่าคนในรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คงจะเป่าปากโล่งอกมากกว่าใคร เพราะอย่างที่บอกถ้าผลออกมาตรงกันข้าม มันก็เหมือนกับมรสุมที่รุมเร้าเข้ามาแบบไม่หยุดหย่อนจนโงหัวแทบไม่ขึ้นเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี มันก็ประมาทไม่ได้ เพราะความหมายก็คือเป็นการให้การรับรองแบบชั่วคราว เพราะจะต้องมีการตรวจมาตรฐานกันเป็นระยะในรอบ 6 เดือน และที่สำคัญเราต้องกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ตามมาตรฐานของกรมการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่ยังปักธงแดงให้เรามาพักใหญ่แล้ว แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการดำเนินการตามมาตรฐานสากลที่กำหนดเอาไว้เพียงแต่ว่ามันต้องใช้เวลาเท่านั้น ซึ่งเราจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด
นั่นก็ผ่านไปเปลาะ ได้หายใจหายคอกันบ้าง แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าเห็นจะเป็นปัญหาภายในที่เชื่อมโยงไปถึงต่างประเทศ และพันถึงรายได้ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต เอาเรื่องสดๆ ร้อนๆ ก่อนก็คือ การโผล่ออกมาเปิดโปง "ขบวนการค้ามนุษย์" ของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ที่ก่อนหน้าที่ได้เคยออกมาแสดงความคับข้องใจว่า ถูกกดดันข่มขู่สารพัดจากการทำคดีดังกล่าวหลังการมีการจับกุม ส่งฟ้อง "คนมีสี" ที่เป็นตัวการ รวมไปถึงการระบุว่าถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรม เหมือนกับถูกกลั่นแกล้งส่งไปตายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อถูกโยกย้ายลงไปที่นั่น ซึ่งเป็นพื้นที่อิทธิพลของคนมีสีมีอิทธิพลตัวการค้ามนุษย์ โดยได้ตัดสินใจลาออกจากราชการตำรวจ และเงียบไปพักใหญ่
จนกระทั่งกล่าสุด เขาได้โผล่มาให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศระหว่างทำเรื่องขอลี้ภัยในออสเตรเลีย เปิดโปงขบวนการค้ามนุษย์ที่ยืนยันตัวการสำคัญก็คือ คนมีสี ทั้งสีเขียวและสีกากี ร่วมมือกัน แน่นอนว่าจากข้อมูลและคำพูดของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ จริงเท็จแค่ไหนยังไม่อาจยืนยันได้เต็มร้อย เพราะต้องฟังข้อมูลทั้งสองด้าน รวมไปถึงต้องรอผลสรุปที่ชัดเจนออกมาก่อน แต่นาทีนี้ ถือว่าความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะผลกระทบทางลบต่อรัฐบาล รวมไปถึงผลลบต่อหน่วยงานทางราชการ ทั้งฝ่ายทหาร และตำรวจ ที่ถูกระบุว่ามีบุคคลเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งข้อมูลแบบนี้รับรองว่าต้องมีคนเชื่อถือ เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มีการเชื่อกันว่า ต้องมีข้าราชการ คนมีสี เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน และของผิดกฎหมายในภาคใต้ ซึ่งพูดอีกก็ถูกอีก เพียงแต่ว่าคนดีข้าราชการที่ดี ย่อมมีมากกว่าคนชั่วเท่านั้นเอง
แต่สำหรับกรณีการค้ามนุษย์ ถือว่าเป็น "ของร้อน" ขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เพราะไทยถูก "ขึ้นบัญชีดำ" โดยสหภาพยุโรปเหมือนกัน ซึ่งหากแก้ไขไม่เป็นที่น่าพอใจ มันก็อาจส่งผลเสียต่อสินค้าส่งออกของไทยจำนวนมหาศาล มีผลต่อเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันภาพลักษณ์ในสายตาต่างชาติ ก็ยิ่งติดลบ และที่ต้องจับตามองก็คือ จากเรื่องดังกล่าวยังมีผลกระทบไปถึงระบบการโยกย้ายภายในของวงการตำรวจขึ้นมาอีก และเป้าหมายที่ถูกจับจัองก็คือ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เพราะคนที่ออกมาพูดก็คือ คนในวงการเดียวกัน อีกทั้งยังกระทบไปถึงกองทัพอีกด้วย
**อีกเรื่องหนึ่งที่คงยังไม่จบง่ายๆ ก็คือ "ปมทุจริต" ในอุทยานราชภักดิ์ ที่ล่าสุดเริ่มขยายวงออกไปเป็นความไม่พอใจของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม กับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.อุดมเดช แสดงความไม่พอใจต่อคำพูดที่ว่า "มีการทุจริต" และบอกว่าหากผลสอบออกมาไม่พบการทุจริต ก็อาจทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ แน่นอนว่าการพูดแบบนี้อาจได้ใจชาวบ้าน เพราะเชื่อว่าเห็นแบบเดียวกัน แต่สำหรับ พล.อ.อุดมเดช เรื่องแบบนี้สำหรับเขา มันเป็นเรื่อง "อ่อนไหว"ไม่อยากได้ยิน
ขณะเดียวกันหากพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ก็ไม่ได้เอ่ยชื่อใครว่าทุจริต และในสายตาของชาวบ้านส่วนใหญ่ ก็เชื่อว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากล เพียงแต่ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับใหนที่มีการหักค่าหัวคิว มีการแอบอ้างหาผลประโยชน์ ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง แต่มันยังไม่น่าเชื่อถือ เพราะมีการตั้งฝ่ายทหารขึ้นมาสอบ ก็จะถูกมองว่า "สอบกันเอง" แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรอผลออกมาก่อน
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้เห็นร่องรอยความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นมาเพิ่มอีกหลังจากก่อนหน้านี้ก็มีปัญหาความขัดแย้งกันมาแล้วในระดับบุคคลในกองทัพ ตามที่ปรากฏก่อนหน้านี้ ระหว่างตัวละครสำคัญคือ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร กับ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก คนปัจจุบัน จนที่ผ่านมาถึงกับได้ยินคำพูดของ "พี่ใหญ่" คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ที่รีบปรามว่า "หมูใจเย็นๆ " มาแล้ว
ดังนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเวลานี้ เหมือนกับ"เรือแป๊ะ" หรือรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มเจอคลื่นลมแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งภายนอกและภายใน แต่ที่ดูแล้วน่าเป็นห่วงที่สุดก็คืออย่างหลังนี่แหละน่ากลัวกว่า โดยเฉพาะต้องไม่เกิดเรื่องอื้อฉาวซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก หรือต้องหยุดกระแส "ปมราชภักดิ์" ให้ได้อย่างหมดจดที่สุด และที่สำคัญที่น่ากลัวกว่าก็คือต้องหยุด "ปมร้าว" ภายในไม่ให้ลุกลามออกไปให้ได้
**ไม่เช่นนั้น ต่อให้เรือมั่นคงแข็งแรงแค่ไหนมันก็ล่มลงได้ไม่ยาก !!