xs
xsm
sm
md
lg

ขันน็อตขรก.เกียร์ว่าง "บิ๊กตู่"เก้าอี้เริ่มร้อน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แม้จะมีกระบองวิเศษอย่าง มาตรา 44 แต่ปัญหาข้าราชการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เป็นเรื่องที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. แก้ไม่ตก สะสมมาตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศใหม่กระทั่งปัจจุบัน
ล่าสุดต้องสั่งการเร่งด่วนให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)ไปจัดทำข้อเสนอใหม่เพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกระดับ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากที่ผ่านมาใบประเมินเหมือนเป็นแค่กระดาษใบเดียว ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอิทธิฤทธิ์พอให้ข้าราชการเกรงกลัว
ต่อให้ที่ผ่านมาจะมีการโยกย้ายข้าราชการฝักใฝ่การเมืองไปไม่ใช่น้อย แต่ไม่สามารถปัดกวาดให้หมดได้ เพราะขุมเครือข่ายที่ฝ่ายการเมืองวางเอาไว้แทรกซึมไปทั่วทุกส่วนราชการ ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกข้าราชการตัวเล็กตัวน้อย การจะล้างบางเช็ดถูให้เกลี้ยงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งคสช.ไม่มีปัญญาอยู่ลากยาวได้นานขนาดนั้นแน่ การแก้ปัญหาตอนนี้เหมือนโยนก้อนหินลงจอกแหน รัฐบาลจากการเลือกตั้งมาก็กลับสู่สภาพเดิม
**ปัจจุบันมีข้าราชการจำนวนไม่น้อย ทำงานแบบรอเวลาไม่คุ้มค่าภาษีประชาชนที่ต้องเสียให้ปีๆ หนึ่งไม่รู้กี่บาทกี่สตางค์ เพียงรอเวลาให้นายตัวเองที่เป็นฝ่ายการเมืองกลับมาค่อยสยายปีกกันใหม่ ถือคติทนๆ เอาอีกไม่กี่เดือน รัฐบาลทหารก็ต้องเก็บข้าวเก็บของลาโรงกันไป ไปออกหน้าออกตามาก ถึงเวลาเปลี่ยนรัฐบาล ทหารที่ว่ามีกระบองก็ไม่สามารถคุ้มกะลาหัวได้ตลอดรอดฝั่ง สู้ถนอมเนื้อถนอมตัวดีกว่า
ทุกวันนี้ข้าราชการส่วนใหญ่ที่ออกมาประเจิดประเจ้อ เสนอหน้าว่าอยู่ฝั่ง คสช. ต่างก็เป็นพวกใกล้เกษียณอายุราชการ ต้องไปก่อนคสช. หรือไม่ก็ไปพร้อมกับคสช. ต่อให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งเข้ามา ก็ไม่มีผลกับตัวเอง เพราะป่านนั้นคงเกษียณอายุราชการกลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานกันหมดแล้ว หรือไม่ก็เป็นพวกแสดงตัวว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพรรคการเมืองบางพรรคมานมนาน ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดในยุคนักเลือกตั้งอยู่แล้ว เลยไม่มีอะไรจะต้องเหนียมอายในยุคนี้
อีกจุดคือ เรื่องการบริหารงานแบบทหารกับราชการมันเหมือนเส้นขนานกัน สายพลเรือนส่วนใหญ่ไม่ชอบการบริหารงานแบบทหาร ที่เป็นลักษณะเผด็จการ ที่เป็นประเภทต้องได้ดั่งใจทุกอย่าง สั่งอย่างไรต้องได้อย่างนั้น เวลาต้องเป๊ะ แบบไม่มีผ่อนปรนหรือมาเหยาะแหยะ ดีไม่ดีจะโดนจิกหัวด่า ซึ่งพลเรือนที่ติดสบายจะไม่แฮปปี้กับการบริหารงานสไตล์นี้เลย ยิ่งเป็นยุคนี้งานแต่ละหน่วยงานจะเพิ่มขึ้นมากกว่ายุครัฐบาลปกติหลายเท่า ตามนิสัยติดสบายของข้าราชการไทย เวลาเจองานแบบนี้ส่วนใหญ่ก็จะต่อต้าน มันไม่เหมือนรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ไม่ต้องขยันอะไรมาก ประจบประแจงพอ สอพลอเก่ง ก็ได้ดี
**ขณะเดียวกัน การโยกย้ายข้าราชการที่ผ่านมาก็มีปัญหา บางคนที่ทหารหยิบเข้ามาไม่ได้รับการยอมรับจากในองค์กรนั้นๆ เพราะข้ามฟากมาได้ดิบได้ดี แต่ความรู้เท่าหางอึ่ง บางคนก็โตเร็ว ข้ามหน้าข้ามตา ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานมากพอ แต่เพราะสนิทสนมสนองงานของฝ่ายบริหารได้ ทำให้บางองค์กรแอบก่อหวอด ทำตัวเกียร์ว่าง ไม่ขับเคลื่อนงานตามที่ควรจะเป็น
บางคนก็ไม่กล้าลงมือทำอะไรเอง เพราะกลัวข้ามหน้าข้ามตาทหาร ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์รอฟังคำสั่งอย่างเดียว คิดไอเดียอะไรเองไม่เป็น ไม่สั่งก็ไม่ทำ หรือหลายครั้งหลายคราเวลาฝ่ายพลเรือนเสนออะไรไป ด้วยอีโก้ของทหารแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยฟังพลเรือนสักเท่าไหร่เหมือนกัน มันเลยเป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมา ต่างฝ่ายต่างไม่เชื่อถือยอมรับในฝีมือกัน
ขณะที่การทำงานของรัฐบาลตอนนี้ก็เริ่มดรอปๆ ลงไปเยอะ ข้าราชการขาดความกระตือรือร้นในงานที่ทำ งานเริ่มนิ่งๆ มาสักระยะ ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากข้างบนไม่มีแอ็กชั่นอะไรแปลกใหม่ นโยบายของ“บิ๊กตู่”เป็นของเดิมตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาบริหารประเทศจนถึงวันนี้ การมอบหมายหรือการสั่งงานทุกการ ประชุมส่วนใหญ่เป็นอะไรที่วนเวียน ซ้ำไปซ้ำมา พูดมาแล้วไม่รู้กี่เวที เป็นไปในลักษณะของการย้ำคิดย้ำทำเสียมากกว่า มันเลยทำให้ข้าราชการและผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่เกิดความตื่นตัว
**อีกทั้ง“บิ๊กตู่”เองก็มีข้อเสียอยู่อย่างโดยที่อาจไม่รู้ตัว นั่นคือ ชอบพูดมากกว่าฟัง ข้าราชการต่างๆไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดหรือเสนออะไรได้เต็มที่ หรือบางครั้งพูดไม่จบ ก็โดนตัดบท ซึ่งบางครั้งต้องยอมปรับเปลี่ยน แบบใจเขาใจเรา ให้การทำงานดูไม่ใช่เป็นหัวหน้าสั่งๆ แต่เพียงอย่างเดียว
ครั้งก่อนรัฐบาลพยายามจะแก้ไขปัญหาข้าราชการเกียร์ว่าง ด้วยการงัดมาตรการทางวินัยมาเล่นงาน โดยใช้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ที่มี “บิ๊กต๊อก”พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เป็นประธาน มากำราบ ฟาดพวกข้าราชการที่มีชนักปักหลังเข้ากรุ หวังกระตุกให้พวกเช้าชามเย็นชามเกิดอาการผวา ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ไม่อยากต้องนั่งตบยุง
ผลคือใช้ได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะข้าราชการอีกหลายคนที่ไม่มีมลทิน รัฐบาลก็เข้าไปแตะต้องอะไรคนเหล่านี้ไม่ได้ ต่อให้เกียร์ว่างอย่างไรรัฐบาลก็ไล่บี้เขาไม่ได้ ซึ่งหากดูจากข้อสั่งการเที่ยวนี้ที่นายกฯ สั่งการให้สำนักงาน ก.พ.และสำนักงานก.พ.ร. ลงไปทำใบประเมินข้าราชการใหม่ น่าจะพุ่งเป้าไปที่พวกเช้าชามเย็นชามโดยตรง เพราะผลการทำงานจะมีผลต่อการเลื่อนขึ้น หรือการแต่งตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีต่อๆไป ใครเดินเตร่ไปเตร่มา รอเวลารัฐบาลนี้พ้นๆไป มีสิทธิ์โดนบอนไซ ไม่เติบโต
เช่นเดียวกับพวกที่มาเซ็นชื่อ แต่งอมืองอเท้า รอนาฬิกากลับบ้าน ทำงานไปวันๆ พวกนี้มีสิทธิ์โดนวินัยเช่นกัน งานนี้ทำให้หลายคนได้หนาวๆ ร้อนๆ ขณะเดียวกัน จากเดิมการประเมินจะดูผลการปฏิบัติงาน และประสิทธิภาพในการทำงานเท่านั้น แต่หนนี้ “บิ๊กตู่”ก็สั่งให้แง่ของความเร็วเข้าไปด้วย นั่นสะท้อนให้เห็นเลยว่า เวลาขณะนี้บีบมาทุกขณะ ในขณะที่งานเดินไปอย่างเชื่องช้า จึงต้องขันน็อตแบบที่ต้องใช้พระเดชนำบ้าง
รัฐบาลนั้นขาดข้าราชการไม่ได้ งานหลายอย่างทำโดยข้าราชการการเมืองอย่างเดียวไม่มีวันสำเร็จ แน่นอนหากปล่อยให้เฉื่อยไปแบบที่เป็นอยู่ งานหลายอย่างไม่มีวันสำเร็จแน่
**การออกมาตีปี๊บหนนี้มันจึงแสดงให้เห็นอีกอย่างเลยว่า “บิ๊กตู่” เองก็รู้สึกว่า ไฟมันเริ่มลนก้นแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น