xs
xsm
sm
md
lg

ด้วยรัก และผูกพัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 น้องขวัญ เห่าเก่งจนแม่ต้องอพยพจากคอนโดมาอยู่บ้าน
"หมาต้องราคาตัวละเท่าไหร่ เจ้าของเค้าถึงจะพามารักษา"
 

คำถามของอดีตผู้จัดการธนาคาร (เพื่อนแม่) ทำให้หมอกลายเป็นหินประมาณ 5 วินาที ตามด้วยความรู้สึก "จี๊ด" ก่อนที่สติจะเข้ามากำกับได้ทันว่าผู้ถาม ซึ่งรู้จักกันนมานานนับ 10 ปี ไม่ได้มีเจตนาในแง่ร้าย เพียงแต่ถามด้วยความอยากรู้จริงๆ เป็นคำถามของ "นายแบงก์" ว่างั้นเถอะ 
  

เมื่อตั้งสติ และเรียบเรียงความคิดได้ จึงตอบไปว่า การรักษาไม่เคยถูกประเมิน ด้วยมูลค่า ซึ่งเป็นค่าตัวของหมา แต่ประเมินที่คุณค่าทางจิตใจ ความรัก และความผูกพันที่มีต่อกันเป็นหลัก ไม่งั้นหมอคงไม่ได้เจอหมาไทยๆ หน้าตาบ้านๆ ที่เจ้าของพามาหาหมอ โดยเฉพาะหมาหน้าตาน่าเกลียดสุดๆ (ที่ถูกตัวเงินตัวทองกัด) แต่เจ้าของแสนสวย คอยจูบจอมถนอมเกล้า!!
  

คำถามนี้ ทำให้ย้อนไปถึง ความทรงจำสุดสะเทือนใจ แม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว หมอก็ยังไม่เคยลืม เรื่องของ "บุญหลง"  หลายปีก่อน "บุญหลง" น้องหมาไทยลูกผสม ขาสั้น ตัวยาวอวบ น้ำหนัก 12 กิโลกรัม ถูกส่งตัวจากประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากตรวจพบก้อนเนื้อในช่องท้อง พ่อแม่ของบุญหลงเล่าว่า เก็บบุญหลงมาจากตลาดใกล้ๆบ้าน ตั้งแต่ฟันยังขึ้นไม่เต็มปาก (คาดว่าน่าจะอายุประมาณเดือนกว่าๆ) ด้วยความที่ครอบครัวไม่มีลูก จึงรักบุญหลงเหมือนลูกคนหนึ่ง นอนบนเตียงเดียวกัน ไปไหนไปกันตลอด 12 ปี

จากการเอ็กซเรย์ ยังไม่พบการกระจายของมะเร็งไปยังปอด แต่อุลตร้าซาวน์ พบก้อนเนื้อขนาดใหญ่ในช่องท้อง โดยยังไม่สามารถระบุได้ว่า ก้อนเนื้อนี้ติดอยู่กับอวัยวะใด ผลเลือดพบเม็ดเลือดแดงเกือบต่ำเม็ดเลือดขาวสูงเล็กน้อย ค่าการทำงานของตับ และไตสูงกว่าปกติเล็กน้อย แต่สภาพภายนอกของบุญหลงดูอ่อนแอมาก หลังจากประเมินสถานการณ์แล้ว จึงปรึกษากับเจ้าของถึงการเปิดผ่าช่องท้อง หากพบว่าก้อนเนื้ออยู่ในตำแหน่งที่สามารถเอาออกได้ เช่น ม้าม ก็จะทำการตัดออก แต่หากไม่อยู่ในตำแหน่งที่เอาออก ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากเย็บปิด ถือเป็นวิธีที่ค่อนข้างเสี่ยง เพราะจากอายุ และสภาพร่างกายของบุญหลง ทำให้ความเสี่ยงในการวางยาสลบ สูงกว่าปกติ แม้จะเป็นการวางยาสลบ ด้วยยาดมสลบ ซึ่งเป็นวิธีวางยาที่ปลอดภัยที่สุดก็ตาม อีกทั้งไม่รู้สถานการณ์ว่า เราจะได้อะไรจากการเปิดผ่าครั้งนี้หรือไม่ แต่เจ้าของก็ตัดสินใจที่จะเสี่ยง เพราะดีกว่าปล่อยให้เวลาผ่านไป พร้อมกับสถานการณ์ที่แย่ลงเรื่อยๆ

หลังจากได้ข้อสรุป จึงเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมอื่น ได้แก่ การเตรียมเลือดสำรอง หากต้องตัดม้าม เพราะการตัดม้ามเป็นการผ่าตัดที่เสียเลือดค่อนข้างมาก กว่าจะผ่านขั้นเตรียมความพร้อมได้ เราเสียเวลาไปอีก 2 วัน เมื่อเจอกันอีกครั้ง ผู้ปกครองของบุญหลงดูโทรมไปอย่างเห็นได้ชัด ขอบตาคล้ำ หน้าตาอมทุกข์ ก่อนขึ้นห้องผ่าตัด เจ้าของให้ความเชื่อใจ (แต่เพิ่มความกดดัน) กับหมอผ่าตัด ซึ่งเป็นหมอเจ้าของไข้ และหมอ (ซึ่งเป็นผู้ช่วยผ่าตัด) ว่า "พี่เชื่อว่าหมอจะต้องทำได้ และเค้าจะต้องหายดี" ซึ่งหมอก็ได้แต่ยิ้มแหยๆอย่างหวั่นใจ

หลังจากเปิดผ่า สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่เราคาดไว้มาก เพราะก้อนเนื้อนั้นอยู่ที่บริเวณกระเพาะอาหาร อีกทั้งกินบริเวณกว้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะตัดออก นอกจากนี้ยังพบก้อนเนื้อขนาดเล็กจำนวนมากกระจายอยู่ที่ผนังช่องท้อง และเยื่อบุลำไส้ แปลว่ามะเร็งได้กระจายไปแล้ว (ณ เวลานั้นการใช้เคมีบำบัดยังไม่เป็นที่แพร่หลาย และอัตราความสำเร็จในการรักษาค่อนข้างต่ำ) เราตัดสินใจเชิญเจ้าของขึ้นมาที่ห้องผ่าตัดเพื่อชี้แจงสถานการณ์ พร้อมทั้งตั้งคำถามใหม่ที่ทรมานใจที่สุดว่า เจ้าของต้องการให้บุญหลงจากไปอย่างสงบจากการเพิ่มขนาดยาสลบหรือไม่ เพราะอาจเป็นหนทางที่ทรมานน้อยกว่า เมื่อเทียบกับว่าบุญหลงจะฟื้นขึ้นมาเพื่อเผชิญกับความเจ็บปวด และทรมานจากโรคมะเร็ง ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ และต้องจากไปในที่สุด (การุณยฆาต หรือ Mercy Killing ยังเป็นที่ถกเถียงกัน เพราะสามารถมองได้หลายแง่มุม สำหรับความเชื่อส่วนตัว หมอยังไม่เคยทำและพยายามเลี่ยงที่จะทำ แต่ก็เข้าใจหลักการและเหตุผลของผู้ที่ตัดสินใจทำ)
 

เจ้าของตัดสินใจให้บุญหลงฟื้นขึ้นมาก่อน เนื่องจากเชื่อว่าบุญหลงยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะจากไป และเชื่อว่าตัวบุญหลงเองก็อยากจะฟื้นมาพบกันอีกครั้ง และจากไปตามเวลาที่สมควร
 

หลังจากนั้นหมอแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับผู้ปกครองของบุญหลงอีกเลย เนื่องจากแม่ของบุญหลงร้องไห้ตลอดเวลา พ่อปลอบทั้งๆที่ตัวเองก็น้ำตาปริ่มๆ.... เมื่อบุญหลงฟื้นตัวจนปลอดภัยดีแล้ว ทั้งครอบครัวก็กลับไปพักฟื้นและใช้เวลาที่เหลือร่วมกัน จากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ บุญหลงก็จากไป

พ่อแม่เครียดและซึมเศร้ามาก ถึงขั้นเปรยว่าอยากจะตายตามบุญหลงไปทั้งคู่ ทำให้คนใกล้ชิดและเพื่อนฝูงพากันเป็นห่วง ต้องผลัดกันโทรไปให้กำลังใจ และไปเยี่ยมกันอยู่นานกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
อุทาหรณ์จากครอบครัวบุญหลง เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้หมอ ต้องรีบถ่ายเทความรักจาก "น้องซัน ลูกรักของแม่" (ซึ่งแม่รักมากขนาดไม่ยอมให้ฉีดยากำจัดเห็บ แต่ให้ใช้ยาหยดหลังกำจัดเห็บร่วมกับการกินยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจแทน เพราะกลัวลูกรักจะเจ็บ) มายัง "ขวัญใจ" สมาชิกใหม่ ตัวเล็ก หน้ารก ปากเปราะ(จนต้องรีบย้ายออกจากคอนโดซึ่งอยู่มาเป็น 10 ปี กลับมาอยู่บ้านเดิมที่บางบัวทอง เพราะเกรงใจเพื่อนข้างห้อง) ซนเป็นลิง แต่มีดีที่ขี้อ้อน

ขวัญใจ อาจจะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ความรักและผูกพันระหว่างคนกับหมานั้น ไม่ได้อยู่ที่หน้าตา หรือราคาของหมาตัวนั้น แต่เป็นเรื่องของความรู้สึก และคุณค่าทางใจ....ได้แต่หวังว่าการมาของขวัญใจ จะช่วยสร้างสายใยของความรักและผูกพัน ไม่ให้แม่เครียดและซึมเศร้า จนอยากตายตาม ในวันที่ซันต้องจากไป
พี่ซันกับน้องขวัญของแม่ (พี่อ้วนกับยายลิงของหมอ)
สพ.ญ. ณหทัย ศรีสุวรรณธัช
ปรึกษาปัญหาหมาแมวได้ที่
kaew.nahathai@gmail.com



กำลังโหลดความคิดเห็น