ASTVผู้จัดการรายวัน -“ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง”จ่อรุกธุรกิจเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งในอินโดนีเซียและเวียดนามเพิ่ม เล็งซื้อกิจการและขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมในพื้นที่เดิม คาดว่าเวียดนามจะมีความชัดเจนในปีหน้า ส่วนโรงงานในไทยอยู่ระหว่างการขยายกำลังผลิตคาดเสร็จสิ้นปีนี้ เผยปีนี้ยอดขายเอสซีจี แพคเกจจิ้งกว่า 6หมื่นล้านบาท คาดปี59โต 10%
นายธนวงศ์ อารีย์รัชชกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในเครือซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้ง (Flexible Packaging) เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการโตอย่างมีศักยภาพ โดยบริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายกำลังการผลิตเพิ่มในโรงงานเดิมที่เวียดนาม
หรืออาจจะซื้อกิจการ คาดว่าจะมีความชัดเจนในปีหน้า รวมทั้งอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการในประเทศอินโดนีเซีย แต่ทั้งนี้คงต้องคำนึงถึงปัจจัยการอ่อนค่าลงของรูเปียห์ด้วย
ส่วนในไทยเอง ทางพรีแพค ฯ ที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ 72% ก็มีการขยายกำลังการผลิตเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งเพิ่มเติมอีก 2,000 ตันต่อปีจากเดิม 1.4 หมื่นตัน/ปีที่โรงงานใหม่ในจังหวัดสมุทรสาคร คาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิต ได้ในไตรมาสที่4/2558 ทำให้บริษัทรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอีกปีละ 300-400
ล้านบาทจากปัจจุบันมียอดขายประมาณ 1.6 พันล้านบาท ใกล้เคียงโรงงานผลิตเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งในเวียดนาม
สำหรับแหล่งเงินที่ใช้ในการขยายธุรกิจนั้น บริษัทฯได้วางงบในการลงทุนเฉลี่ยปีละ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงบลงทุนประจำปีในการซ่อมบำรุงโรงงานต่างๆ รวมทั้งกันไว้เป็นงบสำหรับการซื้อกิจการ (M&A)ด้วย โดยปีนี้มีการซื้อกิจการโรงงานผลิตเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งที่เวียดนามใช้เงินลงทุน 1.5 พันล้านบาท
หากมีโครงการที่ดีก็พร้อมที่จะใส่เงินลงทุนเพิ่มเติม
ทั้งนี้ บรรจุภัณฑ์ในอาเซียนมีมูลค่าตลาดประมาณ 8 พันล้านบาท และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเวียดนามที่ตลาดบรรจุภัณฑ์มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 4-5%เทียบกับตลาดในไทยที่มีการโตเพียง 3% ส่วนอินโดนีเซียก็เป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทฯมีโรงงานผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์อยู่ในอินโดนีเซียแล้ว
จึงอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะซื้อกิจการบรรจุภัณฑ์เพิ่มเติมที่นั่นด้วย
สินค้าเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้ง ใช้บรรจุสินค้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลักเช่น ห่อผ้าอ้อมสำเร็จรูป หรือบรรจุภัณฑ์แบบเติม (Refill Packaging) เป็นต้น มีอัตราความต้องการใช้เติบโตสูงมากกว่าบรรจุภัณฑ์ชนิดอื่นๆ โดยใช้วัตถุดิบหลักในการผลิต คือ LLDPE , LDPE, และไนล่อน
ปัจจุบันบริษัทฯมีโรงงานผลิตเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งอยู่ 4 โรงงานใน 2ประเทศคือ ไทยและเวียดนาม คิดเป็นกำลังการผลิตรวมกว่า 520 ล้านตารางเมตรต่อปี โดยล่าสุด บริษัทฯได้มีการซื้อกิจการโรงงานBATICO ซึ่งเป็นผู้ผลิตเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งรายใหญ่หนึ่งในห้าของเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 80% มีกำลังการผลิตกว่า 230
ล้านตารางเมตร/ปี
นายธนวงศ์ กล่าวว่า เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ได้ปรับเปลี่ยนชื่อมาจากเอสซีจี เปเปอร์ ได้เพียง 5 เดือน ทั้งนี้เพื่อสะท้อนถึงกลยุทธ์ของธุรกิจที่จะมุ่งเน้นด้านบรรจุภัณฑ์เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการใหม่แก่ลูกค้าอย่างครบวงจร โดยรวมไปถึงการพัฒนาสินค้าเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งที่เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ได้ผลิตจากกระดาษ
เนื่องจากบริษัทเพิ่งรีแบรนดิ้งได้ไม่นาน ดังนั้นจึงยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายการโตที่ชัดเจน แต่คาดว่าปีนี้น่าจะมียอดขายกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับรายได้กลุ่มธุรกิจอื่นๆของเครือซิเมนต์ไทย และปีหน้าคาดว่าจะมียอดขายและกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี(EBITDA)โตเฉลี่ย 10%จากปีนี้
นายธนวงศ์ อารีย์รัชชกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในเครือซิเมนต์ไทย เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้ง (Flexible Packaging) เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการโตอย่างมีศักยภาพ โดยบริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายกำลังการผลิตเพิ่มในโรงงานเดิมที่เวียดนาม
หรืออาจจะซื้อกิจการ คาดว่าจะมีความชัดเจนในปีหน้า รวมทั้งอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการในประเทศอินโดนีเซีย แต่ทั้งนี้คงต้องคำนึงถึงปัจจัยการอ่อนค่าลงของรูเปียห์ด้วย
ส่วนในไทยเอง ทางพรีแพค ฯ ที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ 72% ก็มีการขยายกำลังการผลิตเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งเพิ่มเติมอีก 2,000 ตันต่อปีจากเดิม 1.4 หมื่นตัน/ปีที่โรงงานใหม่ในจังหวัดสมุทรสาคร คาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิต ได้ในไตรมาสที่4/2558 ทำให้บริษัทรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอีกปีละ 300-400
ล้านบาทจากปัจจุบันมียอดขายประมาณ 1.6 พันล้านบาท ใกล้เคียงโรงงานผลิตเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งในเวียดนาม
สำหรับแหล่งเงินที่ใช้ในการขยายธุรกิจนั้น บริษัทฯได้วางงบในการลงทุนเฉลี่ยปีละ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงบลงทุนประจำปีในการซ่อมบำรุงโรงงานต่างๆ รวมทั้งกันไว้เป็นงบสำหรับการซื้อกิจการ (M&A)ด้วย โดยปีนี้มีการซื้อกิจการโรงงานผลิตเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งที่เวียดนามใช้เงินลงทุน 1.5 พันล้านบาท
หากมีโครงการที่ดีก็พร้อมที่จะใส่เงินลงทุนเพิ่มเติม
ทั้งนี้ บรรจุภัณฑ์ในอาเซียนมีมูลค่าตลาดประมาณ 8 พันล้านบาท และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเวียดนามที่ตลาดบรรจุภัณฑ์มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 4-5%เทียบกับตลาดในไทยที่มีการโตเพียง 3% ส่วนอินโดนีเซียก็เป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทฯมีโรงงานผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์อยู่ในอินโดนีเซียแล้ว
จึงอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะซื้อกิจการบรรจุภัณฑ์เพิ่มเติมที่นั่นด้วย
สินค้าเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้ง ใช้บรรจุสินค้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลักเช่น ห่อผ้าอ้อมสำเร็จรูป หรือบรรจุภัณฑ์แบบเติม (Refill Packaging) เป็นต้น มีอัตราความต้องการใช้เติบโตสูงมากกว่าบรรจุภัณฑ์ชนิดอื่นๆ โดยใช้วัตถุดิบหลักในการผลิต คือ LLDPE , LDPE, และไนล่อน
ปัจจุบันบริษัทฯมีโรงงานผลิตเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งอยู่ 4 โรงงานใน 2ประเทศคือ ไทยและเวียดนาม คิดเป็นกำลังการผลิตรวมกว่า 520 ล้านตารางเมตรต่อปี โดยล่าสุด บริษัทฯได้มีการซื้อกิจการโรงงานBATICO ซึ่งเป็นผู้ผลิตเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งรายใหญ่หนึ่งในห้าของเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 80% มีกำลังการผลิตกว่า 230
ล้านตารางเมตร/ปี
นายธนวงศ์ กล่าวว่า เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ได้ปรับเปลี่ยนชื่อมาจากเอสซีจี เปเปอร์ ได้เพียง 5 เดือน ทั้งนี้เพื่อสะท้อนถึงกลยุทธ์ของธุรกิจที่จะมุ่งเน้นด้านบรรจุภัณฑ์เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการใหม่แก่ลูกค้าอย่างครบวงจร โดยรวมไปถึงการพัฒนาสินค้าเฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้งที่เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ได้ผลิตจากกระดาษ
เนื่องจากบริษัทเพิ่งรีแบรนดิ้งได้ไม่นาน ดังนั้นจึงยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายการโตที่ชัดเจน แต่คาดว่าปีนี้น่าจะมียอดขายกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับรายได้กลุ่มธุรกิจอื่นๆของเครือซิเมนต์ไทย และปีหน้าคาดว่าจะมียอดขายและกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี(EBITDA)โตเฉลี่ย 10%จากปีนี้