ASTVผู้จัดการรายวัน-กก.ขนส่งทางบกกลาง อนุมัติรถบขส.-รถร่วมฯ ลดค่าโดยสารจากเพดานขั้นต่ำลงไม่เกิน 20% จากเดิมที่กำหนดอัตราตายตัวต่อกม. ส่วนเพดานขั้นสูงยังคุมไว้เหมือนเดิม เพื่อให้มีความความคล่องตัวในการทำราคาโปรโมชั่นแข่ง”โลว์คอสต์” ขณะที่บริการ คุณภาพ ความปลอดภัยต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ตั้งเป้า 6เดือนประเมินผลแย้มอาจปรับลดขั้นต่ำให้อีกเพื่อประโยชน์กับประชาชน
นายดรุณ ฉายแสง รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านขนส่ง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง วานนี้ (28 ต.ค.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้ปรับลดเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นต่ำรถโดยสารประจำทาง บขส.และรถร่วมฯ เส้นทางเดินรถระหว่างกรุงเทพฯ กับจังหวัดต่าง ๆ (หมวด 2)
และเส้นทางระหว่างจังหวัด (ไม่ผ่านกรุงเทพฯ) และอำเภอ (หมวด 3) ลงจากเพดานขั้นต่ำเดิมไม่เกิน 20% ส่วนเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นสูงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้อัตราค่าโดยสาร มีความยืดหยุ่นที่ผู้ประกอบการ สามารถนำไปจัดทำโปรโมชั่นลดราคาหรือการตลาดเพื่อจูงใจได้คล่องตัวมากขึ้น เช่น
กำหนดราคาพิเศษในบางช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารน้อยเพื่อจูงใจ เป็นต้น ทั้งนี้จะมีการติดตามและประเมินผลภายใน 6 เดือน โดยกรมขนส่งฯจะพิจารณาในเรื่องคุณภาพการบริการต้องไม่ลดลง ความปลอดภัย และการปรับตัวของผู้ประกอบการ จากนั้นจะพิจารณาอีกครั้งว่าควรจะมีการปรับลดเพดานขั้นต่ำลงอีกหรือไม่
“อัตราค่าโดยสารเดิมกำหนดเป็นอัตราตายตัวต่อกิโลเมตรในแต่ละเส้นทางซึ่งไม่มีความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจที่มีการแข่งขันกันมากขึ้น มตินี้ คือให้ลดเพดานราคาขั้นต่ำได้ไม่เกิน 20% จากเดิม ส่วนจะลดหรือไม่ลด อยู่ที่ผู้ประกอบการจะไปทำการตลาด ขอให้เข้าใจว่าอัตราค่าโดยสารไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ขั้นสูงก็เหมือนเดิมซึ่งห้ามเก็บเกิน แต่ขั้นต่ำเปิดทางไว้เพื่อให้ใช้เป็นกลไกในการบริหารจัดการหาลูกค้าเพิ่ม ดังนั้นผู้ประกอบการอาจจะเลือกแข่งขันราคา คือลดค่าโดยสารลง หรืออาจจะเลือกแข่งขันที่คุณภาพโดยไม่ลดราคาก็ได้”
นายดรุณกล่าวว่า การให้ผู้ประกอบการสามารถลดราคาจากเพดานขั้นต่ำลงไปได้อีก 20% จะทำให้มีการตื่นตัวในการแข่งขันกับโลว์คอสต์ฯมากขึ้นและถือเป็นการปรับตัวเพื่อเข้าสู่ AEC ด้วย ส่วนการให้ลดจากเพดานขั้นต่ำไม่เกิน 20% เท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าหากไม่คุมราคาขั้นต่ำไว้ จะเป็นปัญหาและกระทบต่อผู้โดยสารได้
เนื่องจากรถบขส.ไม่เหมือนโลว์คอสต์ฯ ที่คุมเฉพาะเพดานขั้นสูง ส่วนขั้นต่ำไม่คุม จึงมีราคาที่ถูกมากๆ ได้แต่แค่1-2 ที่นั่งต่อเที่ยวเท่านั้น ผู้โดยสารไม่ได้รับประโยชน์จริงๆ นอกจากนี้จะไม่ทำให้ผู้ประกอบการรถโดยสารรายใหญ่ลดราคาต่ำมากเกินไปจนทำให้รายเล็กจะอยู่ไม่ได้
จึงกำหนดเงื่อนไขที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถต่อสู้กันได้ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้ ไม่สุดโต่งเหมือนโลว์คอสต์
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า หลังจากนี้ผู้ประกอบการรถหมวด 2,3 ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 400-500 เส้นทาง สามารถนำใบอนุญาตเดิมที่กำหนดอัตราค่าโดยสารแบบตายตัว มายื่นขอแก้ไขให้เป็นตามมติคณะกรรมการขนส่งกลางฯ ได้ทันที และถือว่ามีผลบังคับใช้ สามารถไปจัดทำโปรโมชั่นราคาเพื่อให้มีผู้โดยสารเพิ่มได้ทันที
ยกตัวอย่างค่าโดยสารเส้นทางกรุงเทพ-ภูเก็ต ราคาปัจจุบันรถมาตรฐาน 1 อยู่ที่ 703 บาท กรณีผู้ประกอบการทำโปรโมชั่นลดจากเพดานขั้นต่ำเต็มที่ 20% ราคาจะอยู่ที่ 562 บาท ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่า ผู้ประกอบการจะไม่ลดราคาลงก็ได้ หรือลดกี่เปอร์เซ็นต์ก็ได้ แต่ไม่เกิน 20% จากราคาเดิม
“มติกก.ขนส่งกลางฯไม่ได้เปลี่ยนแปลงอัตราค่าโดยสารใดๆ โดยการให้สามารถลดค่าโดยสารจากเพดานขั้นต่ำลงได้อีกไม่เกิน 20% นั้นไม่ได้หมายถึงบังคับผู้ประกอบการลดราคาลง เพียงแต่ต้องการให้เป็นกลไกในการจัดการ
ในการแข่งขันให้มีความยืดหยุ่นในการเรียกลูกค้าและหากจะเลือกลดราคาอาจจะลดในบางช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารใช้บริการน้อยก็ได้ ส่วนช่วงปกติผู้โดยสารมีมากใช้ตามราคาปกติ แต่คุณภาพต้องไม่ลด เช่น น้ำ อาหารว่าง ต้องมีเหมือนเดิม เป็นต้น”
นายดรุณ ฉายแสง รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านขนส่ง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง วานนี้ (28 ต.ค.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้ปรับลดเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นต่ำรถโดยสารประจำทาง บขส.และรถร่วมฯ เส้นทางเดินรถระหว่างกรุงเทพฯ กับจังหวัดต่าง ๆ (หมวด 2)
และเส้นทางระหว่างจังหวัด (ไม่ผ่านกรุงเทพฯ) และอำเภอ (หมวด 3) ลงจากเพดานขั้นต่ำเดิมไม่เกิน 20% ส่วนเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นสูงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้อัตราค่าโดยสาร มีความยืดหยุ่นที่ผู้ประกอบการ สามารถนำไปจัดทำโปรโมชั่นลดราคาหรือการตลาดเพื่อจูงใจได้คล่องตัวมากขึ้น เช่น
กำหนดราคาพิเศษในบางช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารน้อยเพื่อจูงใจ เป็นต้น ทั้งนี้จะมีการติดตามและประเมินผลภายใน 6 เดือน โดยกรมขนส่งฯจะพิจารณาในเรื่องคุณภาพการบริการต้องไม่ลดลง ความปลอดภัย และการปรับตัวของผู้ประกอบการ จากนั้นจะพิจารณาอีกครั้งว่าควรจะมีการปรับลดเพดานขั้นต่ำลงอีกหรือไม่
“อัตราค่าโดยสารเดิมกำหนดเป็นอัตราตายตัวต่อกิโลเมตรในแต่ละเส้นทางซึ่งไม่มีความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจที่มีการแข่งขันกันมากขึ้น มตินี้ คือให้ลดเพดานราคาขั้นต่ำได้ไม่เกิน 20% จากเดิม ส่วนจะลดหรือไม่ลด อยู่ที่ผู้ประกอบการจะไปทำการตลาด ขอให้เข้าใจว่าอัตราค่าโดยสารไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ขั้นสูงก็เหมือนเดิมซึ่งห้ามเก็บเกิน แต่ขั้นต่ำเปิดทางไว้เพื่อให้ใช้เป็นกลไกในการบริหารจัดการหาลูกค้าเพิ่ม ดังนั้นผู้ประกอบการอาจจะเลือกแข่งขันราคา คือลดค่าโดยสารลง หรืออาจจะเลือกแข่งขันที่คุณภาพโดยไม่ลดราคาก็ได้”
นายดรุณกล่าวว่า การให้ผู้ประกอบการสามารถลดราคาจากเพดานขั้นต่ำลงไปได้อีก 20% จะทำให้มีการตื่นตัวในการแข่งขันกับโลว์คอสต์ฯมากขึ้นและถือเป็นการปรับตัวเพื่อเข้าสู่ AEC ด้วย ส่วนการให้ลดจากเพดานขั้นต่ำไม่เกิน 20% เท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าหากไม่คุมราคาขั้นต่ำไว้ จะเป็นปัญหาและกระทบต่อผู้โดยสารได้
เนื่องจากรถบขส.ไม่เหมือนโลว์คอสต์ฯ ที่คุมเฉพาะเพดานขั้นสูง ส่วนขั้นต่ำไม่คุม จึงมีราคาที่ถูกมากๆ ได้แต่แค่1-2 ที่นั่งต่อเที่ยวเท่านั้น ผู้โดยสารไม่ได้รับประโยชน์จริงๆ นอกจากนี้จะไม่ทำให้ผู้ประกอบการรถโดยสารรายใหญ่ลดราคาต่ำมากเกินไปจนทำให้รายเล็กจะอยู่ไม่ได้
จึงกำหนดเงื่อนไขที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถต่อสู้กันได้ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้ ไม่สุดโต่งเหมือนโลว์คอสต์
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า หลังจากนี้ผู้ประกอบการรถหมวด 2,3 ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 400-500 เส้นทาง สามารถนำใบอนุญาตเดิมที่กำหนดอัตราค่าโดยสารแบบตายตัว มายื่นขอแก้ไขให้เป็นตามมติคณะกรรมการขนส่งกลางฯ ได้ทันที และถือว่ามีผลบังคับใช้ สามารถไปจัดทำโปรโมชั่นราคาเพื่อให้มีผู้โดยสารเพิ่มได้ทันที
ยกตัวอย่างค่าโดยสารเส้นทางกรุงเทพ-ภูเก็ต ราคาปัจจุบันรถมาตรฐาน 1 อยู่ที่ 703 บาท กรณีผู้ประกอบการทำโปรโมชั่นลดจากเพดานขั้นต่ำเต็มที่ 20% ราคาจะอยู่ที่ 562 บาท ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่า ผู้ประกอบการจะไม่ลดราคาลงก็ได้ หรือลดกี่เปอร์เซ็นต์ก็ได้ แต่ไม่เกิน 20% จากราคาเดิม
“มติกก.ขนส่งกลางฯไม่ได้เปลี่ยนแปลงอัตราค่าโดยสารใดๆ โดยการให้สามารถลดค่าโดยสารจากเพดานขั้นต่ำลงได้อีกไม่เกิน 20% นั้นไม่ได้หมายถึงบังคับผู้ประกอบการลดราคาลง เพียงแต่ต้องการให้เป็นกลไกในการจัดการ
ในการแข่งขันให้มีความยืดหยุ่นในการเรียกลูกค้าและหากจะเลือกลดราคาอาจจะลดในบางช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารใช้บริการน้อยก็ได้ ส่วนช่วงปกติผู้โดยสารมีมากใช้ตามราคาปกติ แต่คุณภาพต้องไม่ลด เช่น น้ำ อาหารว่าง ต้องมีเหมือนเดิม เป็นต้น”
