พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นับตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ ได้พยายามผลักดันโครงการสำคัญๆหลายโครงการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคง พัฒนาความเจริญก้าวหน้าของประเทศบริการสาธารณะ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น โครงการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคต ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2558-2578 (PDP 2015) กำหนดสัดส่วนการใช้พลังงานในการผลิตไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน หรือโรงงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ เป็นต้น แต่ที่ผ่านมาบางโครงการยังประสบปัญหาเรื่องความเข้าใจของสังคม ที่อาจเกิดจากการให้ข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐไปสู่ประชาชนยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องจัดเวทีรับฟังความคิดความเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันกับประชาชน ทั้งกลุ่มที่เห็นด้วย และเห็นต่าง เพื่อให้ได้รับทราบข้อเท็จจริงตรงกัน
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนทุกภาคส่วนเปิดใจกว้าง รับฟังและแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นกลางตามหลักวิชาการ หลักกฎหมาย และเทคโนโลยี โดยหลีกเลี่ยงการตั้งแง่ต่อต้านตั้งแต่เริ่มต้น ตัวอย่างในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนา และมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับผลกระทบของโครงการ ที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของ ประชาชน แต่ในที่สุดเมื่อได้ศึกษาข้อมูลของโครงการอย่างละเอียด จนมีความเข้าใจในนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูง ก็ให้การยอมรับ และสนับสนุนโครงการเพราะเชื่อว่ามีความปลอดภัย ปัญหาที่ผ่านมาของประเทศไทย คือ นายทุนและกลุ่มการเมืองบางส่วน มักแสวงหาประโยชน์จากประชาชน โดยละเลยการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เช่น การสนับสนุนให้ประชาชนรุกพื้นที่ป่า เพื่อให้ได้ที่ดินมาครอบครอง หรือปลูกฝังความเชื่อให้ข้อมูลว่าการเผา - การฝังกลบ เป็นวิธีกำจัดขยะ ที่ดีที่สุด โดยหวังประโยชน์ในการขายหรือให้เช่าที่ดินของตน แทนที่จะรณรงค์ให้ประชาชนแปลงขยะให้เป็นพลังงาน และเชื้อเพลิง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงน้ำมันเพียงอย่างเดียว
"นายกฯ กำชับให้หน่วยงานภาครัฐ ขยันสร้างความเข้าใจกับประชาชน เพราะเขาอาจมีบทเรียนจากอดีต ที่ทำให้ไม่ไว้วางใจในความปลอดภัยของการใช้เทคโนโลยี หลายประเทศได้พัฒนาโรงไฟฟ้าจากถ่านหิน พลังงานชีวมวล และมีการสำรวจแหล่งพลังงานใหม่ๆ เช่น ปิโตรเลียม เพื่อใช้ในประเทศ ส่งออกสร้างรายได้ และลดพึ่งพาการนำเข้า เนื่องจากทุกคนเห็นความสำคัญของความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว ขณะเดียวกัน รัฐบาลเอง ก็ให้ความสำคัญกับการดูแลด้านความปลอดภัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนอย่างเต็มที่อยู่แล้ว จึงอยากให้คนไทยหันมาพิจารณาข้อเท็จจริงของประเทศอย่างมีจิตสำนึก เพื่อสร้างประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
** งาน “สุดยอด SMEs ของดีทั่วไทย”เข้าเป้า
พล.ต.สรรเสริญ ยังกล่าวถึงการดำเนินงาน “สุดยอด SMEs ของดีทั่วไทย” และ "นวัตกรรมและเทคโนโลยีไทยเพื่อ SMEs" ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 25 ต.ค. ณ ริมคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล ว่า ภายในงานนอกเหนือจากการจำหน่ายสินค้าให้กับประชาชนได้มาเที่ยวชมและจับจ่ายซื้อหาในราคาพิเศษแล้ว ยังมีกิจกรรมสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือ SMEs อย่างครบวงจรโดยความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 4% ตามมาตรการช่วยเหลือ SMEs ของรัฐบาล โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย การให้คำปรึกษาแนะนำทางธุรกิจ และการ ขึ้นทะเบียน SMEs โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) การถ่ายทอดและจำหน่ายนวัตกรรม เทคโนโลยี อุปกรณ์จักรกลที่มีคุณภาพผลิตจากฝีมือคนไทย โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาของกิจกรรมดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการ SMEs มีจำนวนผู้ประกอบการ ลงทะเบียน SMEs 211 ราย รับบริการปรึกษาทำธุรกิจและเขียนแผน 74 ราย ขอสินเชื่อแล้ว 161 ราย วงเงินรวมกว่า 357.24 ล้านบาท และมียอดคำสั่งซื้อนวัตกรรมเทคโนโลยีเครื่องจักรกว่า 165.28 ล้านบาท
“การจัดงานครั้งนี้ นอกเหนือจากจะสนับสนุนและสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการได้นำสินค้ามาจำหน่ายให้ผู้บริโภคโดยตรง และประชาชนได้ซื้อหาสินค้าที่มีคุณภาพในราคาย่อมเยาแล้ว ยังเป็นการสนับสนุน SMEs อย่างครบวงจร สอดรับกับนโยบายและมาตรการช่วยเหลือ SMEs ของรัฐบาลที่นับว่าเป็นการสนับสนุนความแข็งแกร่งทางธุรกิจแบบ คุ้มค่า คุ้มเวลาในงานเดียว ช่วยต่อยอดธุรกิจนำไปสู่ความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอดเพื่อให้ผู้ประกอบการได้พัฒนาธุรกิจของตนให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น จึงนับเป็นโครงการนำร่อง ที่ประสบความสำเร็จสามารถใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการอื่นๆ ต่อไปในอนาคต” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนทุกภาคส่วนเปิดใจกว้าง รับฟังและแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นกลางตามหลักวิชาการ หลักกฎหมาย และเทคโนโลยี โดยหลีกเลี่ยงการตั้งแง่ต่อต้านตั้งแต่เริ่มต้น ตัวอย่างในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนา และมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับผลกระทบของโครงการ ที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของ ประชาชน แต่ในที่สุดเมื่อได้ศึกษาข้อมูลของโครงการอย่างละเอียด จนมีความเข้าใจในนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูง ก็ให้การยอมรับ และสนับสนุนโครงการเพราะเชื่อว่ามีความปลอดภัย ปัญหาที่ผ่านมาของประเทศไทย คือ นายทุนและกลุ่มการเมืองบางส่วน มักแสวงหาประโยชน์จากประชาชน โดยละเลยการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เช่น การสนับสนุนให้ประชาชนรุกพื้นที่ป่า เพื่อให้ได้ที่ดินมาครอบครอง หรือปลูกฝังความเชื่อให้ข้อมูลว่าการเผา - การฝังกลบ เป็นวิธีกำจัดขยะ ที่ดีที่สุด โดยหวังประโยชน์ในการขายหรือให้เช่าที่ดินของตน แทนที่จะรณรงค์ให้ประชาชนแปลงขยะให้เป็นพลังงาน และเชื้อเพลิง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงน้ำมันเพียงอย่างเดียว
"นายกฯ กำชับให้หน่วยงานภาครัฐ ขยันสร้างความเข้าใจกับประชาชน เพราะเขาอาจมีบทเรียนจากอดีต ที่ทำให้ไม่ไว้วางใจในความปลอดภัยของการใช้เทคโนโลยี หลายประเทศได้พัฒนาโรงไฟฟ้าจากถ่านหิน พลังงานชีวมวล และมีการสำรวจแหล่งพลังงานใหม่ๆ เช่น ปิโตรเลียม เพื่อใช้ในประเทศ ส่งออกสร้างรายได้ และลดพึ่งพาการนำเข้า เนื่องจากทุกคนเห็นความสำคัญของความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว ขณะเดียวกัน รัฐบาลเอง ก็ให้ความสำคัญกับการดูแลด้านความปลอดภัยสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนอย่างเต็มที่อยู่แล้ว จึงอยากให้คนไทยหันมาพิจารณาข้อเท็จจริงของประเทศอย่างมีจิตสำนึก เพื่อสร้างประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
** งาน “สุดยอด SMEs ของดีทั่วไทย”เข้าเป้า
พล.ต.สรรเสริญ ยังกล่าวถึงการดำเนินงาน “สุดยอด SMEs ของดีทั่วไทย” และ "นวัตกรรมและเทคโนโลยีไทยเพื่อ SMEs" ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 25 ต.ค. ณ ริมคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล ว่า ภายในงานนอกเหนือจากการจำหน่ายสินค้าให้กับประชาชนได้มาเที่ยวชมและจับจ่ายซื้อหาในราคาพิเศษแล้ว ยังมีกิจกรรมสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือ SMEs อย่างครบวงจรโดยความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 4% ตามมาตรการช่วยเหลือ SMEs ของรัฐบาล โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย การให้คำปรึกษาแนะนำทางธุรกิจ และการ ขึ้นทะเบียน SMEs โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) การถ่ายทอดและจำหน่ายนวัตกรรม เทคโนโลยี อุปกรณ์จักรกลที่มีคุณภาพผลิตจากฝีมือคนไทย โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาของกิจกรรมดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการ SMEs มีจำนวนผู้ประกอบการ ลงทะเบียน SMEs 211 ราย รับบริการปรึกษาทำธุรกิจและเขียนแผน 74 ราย ขอสินเชื่อแล้ว 161 ราย วงเงินรวมกว่า 357.24 ล้านบาท และมียอดคำสั่งซื้อนวัตกรรมเทคโนโลยีเครื่องจักรกว่า 165.28 ล้านบาท
“การจัดงานครั้งนี้ นอกเหนือจากจะสนับสนุนและสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการได้นำสินค้ามาจำหน่ายให้ผู้บริโภคโดยตรง และประชาชนได้ซื้อหาสินค้าที่มีคุณภาพในราคาย่อมเยาแล้ว ยังเป็นการสนับสนุน SMEs อย่างครบวงจร สอดรับกับนโยบายและมาตรการช่วยเหลือ SMEs ของรัฐบาลที่นับว่าเป็นการสนับสนุนความแข็งแกร่งทางธุรกิจแบบ คุ้มค่า คุ้มเวลาในงานเดียว ช่วยต่อยอดธุรกิจนำไปสู่ความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอดเพื่อให้ผู้ประกอบการได้พัฒนาธุรกิจของตนให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น จึงนับเป็นโครงการนำร่อง ที่ประสบความสำเร็จสามารถใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการอื่นๆ ต่อไปในอนาคต” พล.ต.สรรเสริญ กล่าว