ฮือฮากันไปทั้งบาง! เมื่อตำรวจเปิดฉากทะลวงแก๊งหมิ่นเบื้องสูงด้วยการรวบตัว “นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์” หรือ “หมอหยอง” หมอดูคนดังเมืองไทย พร้อมหนุ่ม “อาท ชัตเตอร์มหาเทพ” จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ เพื่อนชายคนสนิท และ “สารวัตรเอี๊ยด” พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา นายตำรวจคนดัง ในข้อหากระทำผิดตามมาตรา 112
“หมอหยอง” เป็นใคร มีความน่าสนใจอย่างไร ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการ ขอโฟกัสเฉพาะ “นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์” ในฐานะตัวเอกของเรื่อง เพื่อทราบเส้นทางชีวิตอย่างถึงแก่นทั้งในด้านมืดและสว่าง ประวัติคร่าวๆ ของหนุ่มใหญ่เจ้าของม็อตโต้ “จริงใจนะจ๊ะ” เกิดที่จังหวัดตรัง มีพี่น้องมากถึง 13 คน เขาเป็นคนที่ 9 บิดามารดาประกอบอาชีพค้าขาย ตอนเด็กมีชีวิตแร้นแค้นที่สุด ครอบครัวเขาก็เหมือนครอบครัวคนไทยจำนวนมากในชนบทที่ต้องอพยพมาตายเอาดาบหน้ายังกรุงเทพมหานคร ชีวิตใหม่ในเมืองหลวง ด.ช.หยอง ดิ้นรนปากกัดตีนถีบหาเลี้ยงตัวเองและเป็นค่าเล่าเรียนด้วยอายุเพียง 7 ขวบต้องออกเร่ขายหนังสือพิมพ์ เติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยทำงานเป็นลูกจ้างแต่ยังไม่ทิ้งอาชีพตระเวนขายหนังสือพิมพ์ตามสี่แยกต่างๆ
ในบันทึกชีวิตหมอหยองได้ระบุว่า วันหนึ่งเหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิต ขณะที่ ด.ช.หยอง เด็กบ้านนอกตัวเล็กๆ กำลังวิ่งขายหนังสืออยู่นั้น มีรถสามล้อวิ่งมาด้วยความเร็วแล้วชนร่างเขาอย่างจังจนสลบไปถึง 5 คืน 6 วัน
“เขาเห็นตัวเองเดินอยู่ในที่กว้างใหญ่เสมือนสนามหญ้ากว้างๆ ผู้คนเดินไปข้างหน้า ไม่มีใครพูดคุยกัน แม้เขาจะพยายามเรียกหรือพูดคุยด้วยแต่คนเหล่านั้นต่างไม่สนใจ พากันเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น ครู่ต่อมาเขาเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง เดินอยู่ข้างหน้า จิตสำนึกตอนนั้นบอกว่านั่นคือหลวงปู่ทวด พระเถระผู้ศักดิ์สิทธิ์มีผู้คนนับถือทั้งประเทศโดยเฉพาะชาวปักษ์ใต้ ที่เขาคิดเช่นนั้นก็เพราะตัวเขาก็แขวนเหรียญหลวงปู่ทวดที่แม่ให้แขวนคอไว้คุ้มครองตัวเอง”
ด.ช.หยอง ตะโกนเรียก “หลวงปู่ หลวงปู่” อย่างสุดเสียง แต่ท่านไม่ตอบ เพียงหยุดเดินแล้วหันมามองหน้า ไม่พูด ไม่ขยับริมฝีปาก จิตสำนึกพาไปให้เดินตามท่าน... ท่านจะพาไปไหน ด.ช.หยอง ถามตัวเองแต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิมคือไร้คำตอบ ครู่หนึ่งจึงผ่านลานกว้างมีแสงสว่างสลัวๆ เหมือนตะเกียงอยู่ข้างหน้า พอเดินเข้าใกล้จึงเห็นว่าข้างหน้าเป็นศาลาใหญ่ จมูกสัมผัสกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดกรุ่นหอมเย็นสบายไปทั่ว ขณะนั้นเองพระเถระรูปนั้นหยุดเดินแต่ยังไม่หันมา ด.ช.หยองจึงทำได้แค่ยืนรออยู่ข้างหลัง
“อาตมาพาเจ้ามาส่งถึงที่ของเจ้าแล้ว....” หลวงปู่องค์นั้นไม่ได้ขยับริมฝีปากแม้แต่น้อยแต่เสียงพูดเข้ามาเต็มหูสองข้างของ ด.ช.หยอง พอตั้งสติได้จะถามกลับว่าส่งถึงที่ไหน เพราะในใจอยากจะให้พากลับบ้านพระเถระรูปนั้นก็หายตัวไป เขาจึงค่อยๆ เดินขึ้นไปในศาลา ข้างในบรรยากาศเย็นและรู้สึกว่าไม่เคยเห็นสถานที่นี้มาก่อน ทันใดนั้นเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็ต้องผงะเพราะสิ่งที่เขาเห็น คือ องค์พระพิฆเนศวร ในตอนนั้น ด.ช.หยองยังไม่รู้จักว่าท่านเป็นเทพหรือเป็นองค์อะไร จึงตกใจมากเพราะเห็นศีรษะเป็นช้าง...”
ปฐมบท “หมอหยอง” เริ่มจากชีวิตวัยเด็กจากชนบทที่มาจากครอบครัวยากจนต้องดิ้นรนฝ่าฟันอุปสรรคด้วยตัวเอง และ “จุดเปลี่ยน” ของชีวิตนำเข้าสู่เส้นทางหมอดูคนดังจนถึงโหรขั้นเทพ มาจากความศรัทธาของผู้คนที่มีต่อหลวงปู่ทวด และองค์พระพิฆเนศวรนั่นเอง
หากดูตามเรื่องราวแล้วไม่มีอะไรสลับซับซ้อน วิธีการ “ผูก” ตัวเองเข้ากับศูนย์รวมทางจิตวิญญาณก็คือลูกไม้เก่าๆ แต่มักใช้ได้ผล... จังหวะชีวิตหลังฟื้นจากความตาย 5 คืน 6 วัน ด.ช.หยอง กลายเป็นที่กล่าวถึงของคนรอบข้างจนเริ่มเติบโตเป็นหนุ่มชื่อเสียงของ “หมอหยอง” เริ่มติดตลาดมีการกล่าวถึง “เทพ” ในร่างสามัญชน สามารถดูโชคชะตาทำนายอนาคตได้แม่นราวตาเห็น
ย้อนกลับไปปี 2515 นักข่าวรุ่นลายครามเล่าให้ฟังถึงเส้นทาง “ยอดหญิงนักต้ม” ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับ “สุริยัน สุจริตพลวงศ์” หรือหมอหยอง ไม่มากก็น้อย “ยอดหญิงนักต้ม” โลกไม่ลืม หนีไม่พ้น “คุณหญิงกิมเอ็ง” และ “คุณนายไก่-วันทนีย์”
ในคราวนั้นมีกรณีนักการเมืองดาวรุ่งระดับประเทศอักษรย่อ ส.จังหวัดใหญ่แห่งหนึ่งของภาคอีสาน คุณนายไก่ วันทนีย์ อาศัยความมักคุ้นกับนักข่าวที่ไม่รู้เท่าทันบางคน “คาบข่าว” โกหกพกลมไปตีพิมพ์หน้า 1 สร้างเครดิตความน่าเชื่อถือให้ตัวเองจนกลายเป็นโจ๊กสอนน้องๆ นักข่าวรุ่นหลังๆ เรียกว่าเล่าไปหัวเราะไปเพราะ “นักข่าว” ที่หลงคารมคุณนายไก่ วันทนีย์ ทุกวันนี้ยังมีตัวตน บางคนขยับมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตในสังคม
ข่าวใหญ่ที่ว่าก็คือ คุณนายไก่ วันทนีย์ แม่หม้ายทรงเครื่องพันล้าน ประกาศแต่งงานกับนักการเมือง ส.แห่งภาคอีสาน มีการจัดฉากความรักหวานแหว๋วถึงขั้นขับรถเบนซ์ 500 คันยาวไปดูเรือนหอราคา 3 ล้านแต่ไม่ถูกใจฝ่ายหญิงเพราะเห็นว่านักการเมืองดังมีอนาคตเป็นรัฐมนตรีบ้านพักจะต้องหรูหราสมเกียรติ ตามสเปกต้องมีสนามเทนนิส สระว่ายน้ำ ตกลงว่าวันเปิดตัวซื้อรังรักต้องเลื่อนออกไป
ระหว่างนั้นเองมีเสียงซุบซิบทำนองว่านิยาย “ตกถังข้าวสาร” ของนักการเมืองคนดังคงไม่เข้าท่าแล้ว เนื่องจากมีมือดีไปเสาะรู้ข้อมูลว่าแท้จริงแล้ว คุณนายไก่ วันทนีย์ คือเศรษฐินีกำมะลอ เมื่อวันวิวาห์กำหนดไม่ได้ หอรักยังหาไม่เจอจึงมีข่าววงในแฉออกมาว่าแท้จริงแล้วคุณนายไก่ วันทนีย์ ยอมเอาตัวเข้าแลก ยอมแต่งเรื่องจัดฉากให้ตัวเองเป็นหม้ายพันล้านก็เพื่อหวังสัมปทานเดินรถจากนักการเมือง ส.นั่นเอง
นิยายรักสาวนักตุ๋นกับนักการเมือง “งก” แต่ “โง่” จบลงด้วยฝ่ายชายต้องยอมควักเงินสด 7 หมื่นบาทเพื่อเลิกรากับคุณนายไก่ วันทนีย์
จบจากนักการเมือง ส.แห่งภาคอีสาน ชีวิตของคุณนายไก่ วันทนีย์ ยังคงโลดแล่น คราวนี้ได้สามีเป็น “แป๊ะแก่” แต่บอกกับเพื่อนบ้านว่าเป็นพ่อ แอบไปซื้อแฟลตการเคหะแห่งหนึ่งแถวชานเมืองกรุงเทพฯ เรื่องราวตอนนี้มีทั้งแสบระคนดรามาเมื่อเธอพลาดมีลูกกับสามีคนใหม่แต่ความอดอยากมาเยือนต้องเลี้ยงลูกเองตามลำพัง เงินทองชักหน้าไม่ถึงหลังเพราะสามีอาแป๊ะ ไม่มีความสามารถทางเศรษฐกิจ
วันหนึ่งหลังมีประชาชนชาวแฟลตเห็นคุณนายไก่ วันทนีย์ ทะเลาะตบตีกับสามีอาแป๊ะ เรื่องจึงแดงตกเป็นขี้ปากว่าแท้จริงแล้วพ่อ คือ “ผัว” เมื่อเลิกราจากสามีคนนี้ คุณนายไก่ วันทนีย์ จึงต้องกระเสือกกระสนดูแลตัวเอง มีคนเห็นเธอออกจากแฟลตห้องพักตอนตี 5 แล้วกลับมาตอน 3 ทุ่ม ทำอย่างนี้นานเป็นเดือนเพื่อนบ้านสอดรู้สงสัยว่าเด็กจะอยู่อย่างไร มีใครดูแลหรือเปล่าจึงเอาบันไดปีนดูช่องลม ภาพที่เห็นก็คือเด็กชายวัย 3 ขวบนั่งก้มหน้าอยู่ใกล้ชามข้าวเปล่าที่ไม่มีกับแม้แต่นิดเดียว
ก่อนระเห็จจากแฟลตที่พัก คุณนายไก่ วันทนีย์ ไม่ทิ้งลายเสือ ช่วงนั้นโทรศัพท์กรุงเทพฯ หากใครมีไว้ประจำบ้านมันช่างโชคดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 3 เพราะบางเลขหมายบางชุมชนมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นถึงแสน เมื่อคิดค่าครองชีพในขณะนั้นราคาทองคำไม่น่าเกินบาทละ 1- 2 พัน... จะด้วยความสามารถในทางใดไม่ปรากฏ คุณนายไก่ วันทนีย์ เสกโทรศัพท์มาที่แฟลตได้เพียงเครื่องเดียวหลังเดียว ทั้งที่แฟลตดังกล่าวมีสมาชิกพักอาศัยนับ 10 แท่ง วิธีหาเงินง่ายๆ ก็คือให้เพื่อนบ้านพ่วงใช้โดยคิดเงินกินเปล่าเป็นรายๆ มีคนสนใจใช้บริการคุณนายไก่ วันทนีย์ 10 กว่ารายได้เงินมาก้อนหนึ่งคุณนายไก่ วันทนีย์ จึงหอบลูกน้อยเผ่นจากแฟลตกลางดึกคืนต่อมา ทิ้งปัญหาเจ้าหนี้เงินผ่อนและเพื่อนบ้านผู้อาศัยโทรศัพท์พ่วงไว้เบื้องหลัง
เส้นทางชีวิตคุณนายไก่ วันทนีย์ กำลังสนุก แต่ในอีกมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ คุณหญิงกิมเอ็ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของคุณนายไก่ วันทนีย์ มีฉากตื่นเต้นเร้าใจไม่แพ้กัน
คุณนายกิมเอ็ง ไม่นิยมวิธีหลอกต้มโดยอ้างว่าเป็นเศรษฐินีแม่หม้ายทรงเครื่อง แต่จะใช้การ “ทรงเจ้า” ทำนายทายทักโดยใช้พระพิฆเนศวรเป็นจุดขาย “เปิดตัว” อย่างสวยหรูเมื่อคุณนายกิมเอ็งเดินทางมาแจ้งความยัง สน.บุปผาราม ย่านฝั่งธนฯ และพบกับนายตำรวจหนุ่มเพิ่งติดยศร้อยตำรวจตรีหมาดๆ ที่นั่น....ความสัมพันธ์จากประชาชนผู้เข้าร้องทุกข์แต่มีมาดดี มีแววเศรษฐี แถมเมื่อพูดคุยด้วยคุณนายกิมเอ็ง คือ “ตัวจริง” มีสายสัมพันธ์กว้างขวางรู้จักนักการเมืองใหญ่ ข้าราชการตำรวจ-ทหารระดับบิ๊กๆ แทบทุกคน และแน่นอนว่าเพื่อให้ “สมจริง” จึงต้องใช้วิธีการเดียวกับคุณนายไก่ วันทนีย์ คือให้ความเป็นกันเองกับนักข่าว โดยเฉพาะนักข่าวตระเวนอาชญากรรมที่ต้องขึ้น-ลงโรงพักกันเป็นประจำ
ความรักระหว่างคุณนายกิมเอ็ง กับผู้หมวดหนุ่มหวานชื่นจนถึงขั้นอยู่กินกันอย่างเปิดเผย คุณนายกิมเอ็งไม่คิดอะไรมาก ตั้งสำนักเข้าทรงพระพิฆเนศวรอยู่บนแฟลตตำรวจที่พักหลังโรงพักนั่นเอง มีบรรดาลูกเมียตำรวจเข้าไปดูเจ้าเข้าทรงไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่นายตำรวจบางนายยังเข้าใช้บริการ จนมีเบื้องหลังสนุกๆ เล่ากันว่า แท้จริงแล้วคุณนายกิมเอ็งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตำรวจใหญ่ในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ช่วงนั้นเมื่อมีนายตำรวจระดับผู้กอง ระดับสารวัตรมาให้ทำนาย ใครที่เป็นสายเดียวกับสามีจะทำนายว่าโชคดีได้เลื่อนขี้น ใครไม่ถูกกันบอกโชคร้ายแล้วแอบไปวิ่งเต้นให้ “ตำรวจใหญ่” เป็นคนจัดการบัญชีโยกย้ายให้
วันเวลาผ่านไปเกิดเรื่องใหญ่โตในบ้านเมือง คือ คดีทุจริตเครื่องราชฯ ตัวเอกของเรื่อง คือ คุณนายไก่ วันทนีย์ บุกแจ้งความเปิดโปงถึงขบวนการเลวร้าย มีทั้งพระเถระผู้ใหญ่ และบุคคลอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย พระผู้ใหญ่ถูกจับสึก ข้าราชการที่เกี่ยวข้องคนหนึ่งทนอับอายและกดดันไม่ไหวต้องปลิดชีพยิงตัวตาย และหนึ่งในจำนวนผู้ถูกกล่าวหา คือ คุณนายกิมเอ็ง
ระหว่างการขุดคุ้ยขบวนการทุจริตเครื่องราชฯ ดำเนินไปนั้น คุณนายไก่ วันทนีย์ ปรากฏตัวขึ้น ณ สำนักงานใหญ่หนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่งเพื่อขอแก้ข่าวในฐานะที่ถูกพาดพิงหลายเรื่อง จากการสนทนากว่า 3 ชั่วโมง คุณนายไก่ วันทนีย์เริ่มด้วยความเป็นมาของเธอโดยระบุว่าต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตเครื่องราชฯ เพราะ “เบื้องบนใช้ให้มาชำระพระพุทธศาสนา” ต่อจากนั้นเมื่อการพูดคุยออกรส คุณนายไก่ วันทนีย์ จึงค่อยๆ หลุดยอมเปิดเผยถึงด้านมืดของชีวิต เช่น การคบหาเพื่อนชายหลายคน และมีด้วยกันทุกระดับตั้งแต่บิ๊กทหาร อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง รัฐมนตรี ข้าราชการใหญ่ทั้งพลเรือนและตำรวจ รวมทั้งนักข่าวอีกหลายสำนัก
ข่าวการทุจริตเครื่องราชฯ เริ่มซาลง แต่ในวงประชุมสำนักข่าวใหญ่ยังคงมีเรื่องคุณนายไก่ วันทนีย์ มาเล่นตลอด เมื่อมีผู้เสนอให้แก้ข่าวให้ว่า “ไก่ วันทนีย์” ร่ำรวยจริงและมิได้เป็นสิบแปดมงกูฎตามที่ถูกกล่าวหา มีการนำเช็คเงินสดจำนวน 5 แสนบาทมอบให้กับบิ๊กกองทัพ ในขณะนั้นจึงมีการตรวจสอบไปยังธนาคาร และกองทัพ เนื่องจากเป็นเงินบริจาคการกุศล ปรากฏว่าเช็คเด้ง ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
หนังสือพิมพ์หัวสีประโคมเป็นข่าวใหญ่ แต่อีกเพียงวันเดียวมีหนังสือพิมพ์หัวขาวดำ สวนกลับด้วยข่าวดรามาคุณนายไก่ วันทนีย์ เครียดจัดที่ถูกสื่อตามกัดตามจิกจึงกินยาฆ่าตัวตาย
ตรงจุดนี้แหละทำไมเกี่ยวข้องกับ “สุริยัน สุจริตพลวงศ์”...!?
ก่อนถึงปัจฉิมบท นักข่าวลายครามตบท้ายว่า เมื่อมีโอกาสเจอกับคุณนายไก่ วันทนีย์ อีกครั้งในเวลาหลายเดือนต่อมาการพูดคุยแบบ “หลังไมค์” ไม่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอเป็นข่าวจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง “ไก่ วันทนีย์” ยอมรับว่าวิธีแก้ข่าวให้สังคมเกิดความเห็นใจนั้นมาจากคำแนะนำของ “หมอหยอง”
และเมื่อถามอีกว่าแท้จริงแล้ว คุณหญิงกิมเอ็ง คุณนายไก่ วันทนีย์ และสุริยัน สุจริตพลวงศ์ คือพี่น้องร่วมท้องเดียวกันหรือไม่ คำตอบจากคุณนายไก่ วันทนีย์ คือ เราเป็นพี่น้องกันจริง
ด้วยพฤติกรรม “ลวงโลก” อย่างสุดแสบนั้น แม้นักข่าวลายครามคนต้นเรื่องกลับไม่กล้าฟันธง รวมทั้ง “ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการ” แต่ขอให้เชื่อว่าทุกคนไม่พ้น “กฎแห่งกรรม” รวมทั้ง “หมอหยอง” กับสมัครพรรคพวกที่กำลังเผชิญอยู่
“หมอหยอง” เป็นใคร มีความน่าสนใจอย่างไร ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการ ขอโฟกัสเฉพาะ “นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์” ในฐานะตัวเอกของเรื่อง เพื่อทราบเส้นทางชีวิตอย่างถึงแก่นทั้งในด้านมืดและสว่าง ประวัติคร่าวๆ ของหนุ่มใหญ่เจ้าของม็อตโต้ “จริงใจนะจ๊ะ” เกิดที่จังหวัดตรัง มีพี่น้องมากถึง 13 คน เขาเป็นคนที่ 9 บิดามารดาประกอบอาชีพค้าขาย ตอนเด็กมีชีวิตแร้นแค้นที่สุด ครอบครัวเขาก็เหมือนครอบครัวคนไทยจำนวนมากในชนบทที่ต้องอพยพมาตายเอาดาบหน้ายังกรุงเทพมหานคร ชีวิตใหม่ในเมืองหลวง ด.ช.หยอง ดิ้นรนปากกัดตีนถีบหาเลี้ยงตัวเองและเป็นค่าเล่าเรียนด้วยอายุเพียง 7 ขวบต้องออกเร่ขายหนังสือพิมพ์ เติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยทำงานเป็นลูกจ้างแต่ยังไม่ทิ้งอาชีพตระเวนขายหนังสือพิมพ์ตามสี่แยกต่างๆ
ในบันทึกชีวิตหมอหยองได้ระบุว่า วันหนึ่งเหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิต ขณะที่ ด.ช.หยอง เด็กบ้านนอกตัวเล็กๆ กำลังวิ่งขายหนังสืออยู่นั้น มีรถสามล้อวิ่งมาด้วยความเร็วแล้วชนร่างเขาอย่างจังจนสลบไปถึง 5 คืน 6 วัน
“เขาเห็นตัวเองเดินอยู่ในที่กว้างใหญ่เสมือนสนามหญ้ากว้างๆ ผู้คนเดินไปข้างหน้า ไม่มีใครพูดคุยกัน แม้เขาจะพยายามเรียกหรือพูดคุยด้วยแต่คนเหล่านั้นต่างไม่สนใจ พากันเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น ครู่ต่อมาเขาเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง เดินอยู่ข้างหน้า จิตสำนึกตอนนั้นบอกว่านั่นคือหลวงปู่ทวด พระเถระผู้ศักดิ์สิทธิ์มีผู้คนนับถือทั้งประเทศโดยเฉพาะชาวปักษ์ใต้ ที่เขาคิดเช่นนั้นก็เพราะตัวเขาก็แขวนเหรียญหลวงปู่ทวดที่แม่ให้แขวนคอไว้คุ้มครองตัวเอง”
ด.ช.หยอง ตะโกนเรียก “หลวงปู่ หลวงปู่” อย่างสุดเสียง แต่ท่านไม่ตอบ เพียงหยุดเดินแล้วหันมามองหน้า ไม่พูด ไม่ขยับริมฝีปาก จิตสำนึกพาไปให้เดินตามท่าน... ท่านจะพาไปไหน ด.ช.หยอง ถามตัวเองแต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิมคือไร้คำตอบ ครู่หนึ่งจึงผ่านลานกว้างมีแสงสว่างสลัวๆ เหมือนตะเกียงอยู่ข้างหน้า พอเดินเข้าใกล้จึงเห็นว่าข้างหน้าเป็นศาลาใหญ่ จมูกสัมผัสกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดกรุ่นหอมเย็นสบายไปทั่ว ขณะนั้นเองพระเถระรูปนั้นหยุดเดินแต่ยังไม่หันมา ด.ช.หยองจึงทำได้แค่ยืนรออยู่ข้างหลัง
“อาตมาพาเจ้ามาส่งถึงที่ของเจ้าแล้ว....” หลวงปู่องค์นั้นไม่ได้ขยับริมฝีปากแม้แต่น้อยแต่เสียงพูดเข้ามาเต็มหูสองข้างของ ด.ช.หยอง พอตั้งสติได้จะถามกลับว่าส่งถึงที่ไหน เพราะในใจอยากจะให้พากลับบ้านพระเถระรูปนั้นก็หายตัวไป เขาจึงค่อยๆ เดินขึ้นไปในศาลา ข้างในบรรยากาศเย็นและรู้สึกว่าไม่เคยเห็นสถานที่นี้มาก่อน ทันใดนั้นเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็ต้องผงะเพราะสิ่งที่เขาเห็น คือ องค์พระพิฆเนศวร ในตอนนั้น ด.ช.หยองยังไม่รู้จักว่าท่านเป็นเทพหรือเป็นองค์อะไร จึงตกใจมากเพราะเห็นศีรษะเป็นช้าง...”
ปฐมบท “หมอหยอง” เริ่มจากชีวิตวัยเด็กจากชนบทที่มาจากครอบครัวยากจนต้องดิ้นรนฝ่าฟันอุปสรรคด้วยตัวเอง และ “จุดเปลี่ยน” ของชีวิตนำเข้าสู่เส้นทางหมอดูคนดังจนถึงโหรขั้นเทพ มาจากความศรัทธาของผู้คนที่มีต่อหลวงปู่ทวด และองค์พระพิฆเนศวรนั่นเอง
หากดูตามเรื่องราวแล้วไม่มีอะไรสลับซับซ้อน วิธีการ “ผูก” ตัวเองเข้ากับศูนย์รวมทางจิตวิญญาณก็คือลูกไม้เก่าๆ แต่มักใช้ได้ผล... จังหวะชีวิตหลังฟื้นจากความตาย 5 คืน 6 วัน ด.ช.หยอง กลายเป็นที่กล่าวถึงของคนรอบข้างจนเริ่มเติบโตเป็นหนุ่มชื่อเสียงของ “หมอหยอง” เริ่มติดตลาดมีการกล่าวถึง “เทพ” ในร่างสามัญชน สามารถดูโชคชะตาทำนายอนาคตได้แม่นราวตาเห็น
ย้อนกลับไปปี 2515 นักข่าวรุ่นลายครามเล่าให้ฟังถึงเส้นทาง “ยอดหญิงนักต้ม” ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับ “สุริยัน สุจริตพลวงศ์” หรือหมอหยอง ไม่มากก็น้อย “ยอดหญิงนักต้ม” โลกไม่ลืม หนีไม่พ้น “คุณหญิงกิมเอ็ง” และ “คุณนายไก่-วันทนีย์”
ในคราวนั้นมีกรณีนักการเมืองดาวรุ่งระดับประเทศอักษรย่อ ส.จังหวัดใหญ่แห่งหนึ่งของภาคอีสาน คุณนายไก่ วันทนีย์ อาศัยความมักคุ้นกับนักข่าวที่ไม่รู้เท่าทันบางคน “คาบข่าว” โกหกพกลมไปตีพิมพ์หน้า 1 สร้างเครดิตความน่าเชื่อถือให้ตัวเองจนกลายเป็นโจ๊กสอนน้องๆ นักข่าวรุ่นหลังๆ เรียกว่าเล่าไปหัวเราะไปเพราะ “นักข่าว” ที่หลงคารมคุณนายไก่ วันทนีย์ ทุกวันนี้ยังมีตัวตน บางคนขยับมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตในสังคม
ข่าวใหญ่ที่ว่าก็คือ คุณนายไก่ วันทนีย์ แม่หม้ายทรงเครื่องพันล้าน ประกาศแต่งงานกับนักการเมือง ส.แห่งภาคอีสาน มีการจัดฉากความรักหวานแหว๋วถึงขั้นขับรถเบนซ์ 500 คันยาวไปดูเรือนหอราคา 3 ล้านแต่ไม่ถูกใจฝ่ายหญิงเพราะเห็นว่านักการเมืองดังมีอนาคตเป็นรัฐมนตรีบ้านพักจะต้องหรูหราสมเกียรติ ตามสเปกต้องมีสนามเทนนิส สระว่ายน้ำ ตกลงว่าวันเปิดตัวซื้อรังรักต้องเลื่อนออกไป
ระหว่างนั้นเองมีเสียงซุบซิบทำนองว่านิยาย “ตกถังข้าวสาร” ของนักการเมืองคนดังคงไม่เข้าท่าแล้ว เนื่องจากมีมือดีไปเสาะรู้ข้อมูลว่าแท้จริงแล้ว คุณนายไก่ วันทนีย์ คือเศรษฐินีกำมะลอ เมื่อวันวิวาห์กำหนดไม่ได้ หอรักยังหาไม่เจอจึงมีข่าววงในแฉออกมาว่าแท้จริงแล้วคุณนายไก่ วันทนีย์ ยอมเอาตัวเข้าแลก ยอมแต่งเรื่องจัดฉากให้ตัวเองเป็นหม้ายพันล้านก็เพื่อหวังสัมปทานเดินรถจากนักการเมือง ส.นั่นเอง
นิยายรักสาวนักตุ๋นกับนักการเมือง “งก” แต่ “โง่” จบลงด้วยฝ่ายชายต้องยอมควักเงินสด 7 หมื่นบาทเพื่อเลิกรากับคุณนายไก่ วันทนีย์
จบจากนักการเมือง ส.แห่งภาคอีสาน ชีวิตของคุณนายไก่ วันทนีย์ ยังคงโลดแล่น คราวนี้ได้สามีเป็น “แป๊ะแก่” แต่บอกกับเพื่อนบ้านว่าเป็นพ่อ แอบไปซื้อแฟลตการเคหะแห่งหนึ่งแถวชานเมืองกรุงเทพฯ เรื่องราวตอนนี้มีทั้งแสบระคนดรามาเมื่อเธอพลาดมีลูกกับสามีคนใหม่แต่ความอดอยากมาเยือนต้องเลี้ยงลูกเองตามลำพัง เงินทองชักหน้าไม่ถึงหลังเพราะสามีอาแป๊ะ ไม่มีความสามารถทางเศรษฐกิจ
วันหนึ่งหลังมีประชาชนชาวแฟลตเห็นคุณนายไก่ วันทนีย์ ทะเลาะตบตีกับสามีอาแป๊ะ เรื่องจึงแดงตกเป็นขี้ปากว่าแท้จริงแล้วพ่อ คือ “ผัว” เมื่อเลิกราจากสามีคนนี้ คุณนายไก่ วันทนีย์ จึงต้องกระเสือกกระสนดูแลตัวเอง มีคนเห็นเธอออกจากแฟลตห้องพักตอนตี 5 แล้วกลับมาตอน 3 ทุ่ม ทำอย่างนี้นานเป็นเดือนเพื่อนบ้านสอดรู้สงสัยว่าเด็กจะอยู่อย่างไร มีใครดูแลหรือเปล่าจึงเอาบันไดปีนดูช่องลม ภาพที่เห็นก็คือเด็กชายวัย 3 ขวบนั่งก้มหน้าอยู่ใกล้ชามข้าวเปล่าที่ไม่มีกับแม้แต่นิดเดียว
ก่อนระเห็จจากแฟลตที่พัก คุณนายไก่ วันทนีย์ ไม่ทิ้งลายเสือ ช่วงนั้นโทรศัพท์กรุงเทพฯ หากใครมีไว้ประจำบ้านมันช่างโชคดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 3 เพราะบางเลขหมายบางชุมชนมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นถึงแสน เมื่อคิดค่าครองชีพในขณะนั้นราคาทองคำไม่น่าเกินบาทละ 1- 2 พัน... จะด้วยความสามารถในทางใดไม่ปรากฏ คุณนายไก่ วันทนีย์ เสกโทรศัพท์มาที่แฟลตได้เพียงเครื่องเดียวหลังเดียว ทั้งที่แฟลตดังกล่าวมีสมาชิกพักอาศัยนับ 10 แท่ง วิธีหาเงินง่ายๆ ก็คือให้เพื่อนบ้านพ่วงใช้โดยคิดเงินกินเปล่าเป็นรายๆ มีคนสนใจใช้บริการคุณนายไก่ วันทนีย์ 10 กว่ารายได้เงินมาก้อนหนึ่งคุณนายไก่ วันทนีย์ จึงหอบลูกน้อยเผ่นจากแฟลตกลางดึกคืนต่อมา ทิ้งปัญหาเจ้าหนี้เงินผ่อนและเพื่อนบ้านผู้อาศัยโทรศัพท์พ่วงไว้เบื้องหลัง
เส้นทางชีวิตคุณนายไก่ วันทนีย์ กำลังสนุก แต่ในอีกมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ คุณหญิงกิมเอ็ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของคุณนายไก่ วันทนีย์ มีฉากตื่นเต้นเร้าใจไม่แพ้กัน
คุณนายกิมเอ็ง ไม่นิยมวิธีหลอกต้มโดยอ้างว่าเป็นเศรษฐินีแม่หม้ายทรงเครื่อง แต่จะใช้การ “ทรงเจ้า” ทำนายทายทักโดยใช้พระพิฆเนศวรเป็นจุดขาย “เปิดตัว” อย่างสวยหรูเมื่อคุณนายกิมเอ็งเดินทางมาแจ้งความยัง สน.บุปผาราม ย่านฝั่งธนฯ และพบกับนายตำรวจหนุ่มเพิ่งติดยศร้อยตำรวจตรีหมาดๆ ที่นั่น....ความสัมพันธ์จากประชาชนผู้เข้าร้องทุกข์แต่มีมาดดี มีแววเศรษฐี แถมเมื่อพูดคุยด้วยคุณนายกิมเอ็ง คือ “ตัวจริง” มีสายสัมพันธ์กว้างขวางรู้จักนักการเมืองใหญ่ ข้าราชการตำรวจ-ทหารระดับบิ๊กๆ แทบทุกคน และแน่นอนว่าเพื่อให้ “สมจริง” จึงต้องใช้วิธีการเดียวกับคุณนายไก่ วันทนีย์ คือให้ความเป็นกันเองกับนักข่าว โดยเฉพาะนักข่าวตระเวนอาชญากรรมที่ต้องขึ้น-ลงโรงพักกันเป็นประจำ
ความรักระหว่างคุณนายกิมเอ็ง กับผู้หมวดหนุ่มหวานชื่นจนถึงขั้นอยู่กินกันอย่างเปิดเผย คุณนายกิมเอ็งไม่คิดอะไรมาก ตั้งสำนักเข้าทรงพระพิฆเนศวรอยู่บนแฟลตตำรวจที่พักหลังโรงพักนั่นเอง มีบรรดาลูกเมียตำรวจเข้าไปดูเจ้าเข้าทรงไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่นายตำรวจบางนายยังเข้าใช้บริการ จนมีเบื้องหลังสนุกๆ เล่ากันว่า แท้จริงแล้วคุณนายกิมเอ็งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตำรวจใหญ่ในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ช่วงนั้นเมื่อมีนายตำรวจระดับผู้กอง ระดับสารวัตรมาให้ทำนาย ใครที่เป็นสายเดียวกับสามีจะทำนายว่าโชคดีได้เลื่อนขี้น ใครไม่ถูกกันบอกโชคร้ายแล้วแอบไปวิ่งเต้นให้ “ตำรวจใหญ่” เป็นคนจัดการบัญชีโยกย้ายให้
วันเวลาผ่านไปเกิดเรื่องใหญ่โตในบ้านเมือง คือ คดีทุจริตเครื่องราชฯ ตัวเอกของเรื่อง คือ คุณนายไก่ วันทนีย์ บุกแจ้งความเปิดโปงถึงขบวนการเลวร้าย มีทั้งพระเถระผู้ใหญ่ และบุคคลอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย พระผู้ใหญ่ถูกจับสึก ข้าราชการที่เกี่ยวข้องคนหนึ่งทนอับอายและกดดันไม่ไหวต้องปลิดชีพยิงตัวตาย และหนึ่งในจำนวนผู้ถูกกล่าวหา คือ คุณนายกิมเอ็ง
ระหว่างการขุดคุ้ยขบวนการทุจริตเครื่องราชฯ ดำเนินไปนั้น คุณนายไก่ วันทนีย์ ปรากฏตัวขึ้น ณ สำนักงานใหญ่หนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่งเพื่อขอแก้ข่าวในฐานะที่ถูกพาดพิงหลายเรื่อง จากการสนทนากว่า 3 ชั่วโมง คุณนายไก่ วันทนีย์เริ่มด้วยความเป็นมาของเธอโดยระบุว่าต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตเครื่องราชฯ เพราะ “เบื้องบนใช้ให้มาชำระพระพุทธศาสนา” ต่อจากนั้นเมื่อการพูดคุยออกรส คุณนายไก่ วันทนีย์ จึงค่อยๆ หลุดยอมเปิดเผยถึงด้านมืดของชีวิต เช่น การคบหาเพื่อนชายหลายคน และมีด้วยกันทุกระดับตั้งแต่บิ๊กทหาร อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง รัฐมนตรี ข้าราชการใหญ่ทั้งพลเรือนและตำรวจ รวมทั้งนักข่าวอีกหลายสำนัก
ข่าวการทุจริตเครื่องราชฯ เริ่มซาลง แต่ในวงประชุมสำนักข่าวใหญ่ยังคงมีเรื่องคุณนายไก่ วันทนีย์ มาเล่นตลอด เมื่อมีผู้เสนอให้แก้ข่าวให้ว่า “ไก่ วันทนีย์” ร่ำรวยจริงและมิได้เป็นสิบแปดมงกูฎตามที่ถูกกล่าวหา มีการนำเช็คเงินสดจำนวน 5 แสนบาทมอบให้กับบิ๊กกองทัพ ในขณะนั้นจึงมีการตรวจสอบไปยังธนาคาร และกองทัพ เนื่องจากเป็นเงินบริจาคการกุศล ปรากฏว่าเช็คเด้ง ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
หนังสือพิมพ์หัวสีประโคมเป็นข่าวใหญ่ แต่อีกเพียงวันเดียวมีหนังสือพิมพ์หัวขาวดำ สวนกลับด้วยข่าวดรามาคุณนายไก่ วันทนีย์ เครียดจัดที่ถูกสื่อตามกัดตามจิกจึงกินยาฆ่าตัวตาย
ตรงจุดนี้แหละทำไมเกี่ยวข้องกับ “สุริยัน สุจริตพลวงศ์”...!?
ก่อนถึงปัจฉิมบท นักข่าวลายครามตบท้ายว่า เมื่อมีโอกาสเจอกับคุณนายไก่ วันทนีย์ อีกครั้งในเวลาหลายเดือนต่อมาการพูดคุยแบบ “หลังไมค์” ไม่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอเป็นข่าวจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง “ไก่ วันทนีย์” ยอมรับว่าวิธีแก้ข่าวให้สังคมเกิดความเห็นใจนั้นมาจากคำแนะนำของ “หมอหยอง”
และเมื่อถามอีกว่าแท้จริงแล้ว คุณหญิงกิมเอ็ง คุณนายไก่ วันทนีย์ และสุริยัน สุจริตพลวงศ์ คือพี่น้องร่วมท้องเดียวกันหรือไม่ คำตอบจากคุณนายไก่ วันทนีย์ คือ เราเป็นพี่น้องกันจริง
ด้วยพฤติกรรม “ลวงโลก” อย่างสุดแสบนั้น แม้นักข่าวลายครามคนต้นเรื่องกลับไม่กล้าฟันธง รวมทั้ง “ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการ” แต่ขอให้เชื่อว่าทุกคนไม่พ้น “กฎแห่งกรรม” รวมทั้ง “หมอหยอง” กับสมัครพรรคพวกที่กำลังเผชิญอยู่