ฮือฮากันไปทั้งบาง! เมื่อตำรวจเปิดฉากทะลวงแก๊งหมิ่นเบื้องสูงด้วยการรวบตัว “นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์” หรือ “หมอหยอง” หมอดูคนดังเมืองไทย พร้อมหนุ่ม “อาท ชัตเตอร์มหาเทพ” จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ เพื่อนชายคนสนิท และ “สารวัตรเอี๊ยด” พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา นายตำรวจคนดัง ในข้อหากระทำผิดตามมาตรา 112
“หมอหยอง” เป็นใคร มีความน่าสนใจอย่างไร ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการ ขอโฟกัสเฉพาะ “นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์” ในฐานะตัวเอกของเรื่อง เพื่อทราบเส้นทางชีวิตอย่างถึงแก่นทั้งในด้านมืดและสว่าง ประวัติคร่าวๆ ของหนุ่มใหญ่เจ้าของม็อตโต้ “จริงใจนะจ๊ะ” เกิดที่จังหวัดตรัง มีพี่น้องมากถึง 13 คน เขาเป็นคนที่ 9 บิดามารดาประกอบอาชีพค้าขาย ตอนเด็กมีชีวิตแร้นแค้นที่สุด ครอบครัวเขาก็เหมือนครอบครัวคนไทยจำนวนมากในชนบทที่ต้องอพยพมาตายเอาดาบหน้ายังกรุงเทพมหานคร ชีวิตใหม่ในเมืองหลวง ด.ช.หยอง ดิ้นรนปากกัดตีนถีบหาเลี้ยงตัวเองและเป็นค่าเล่าเรียนด้วยอายุเพียง 7 ขวบต้องออกเร่ขายหนังสือพิมพ์ เติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยทำงานเป็นลูกจ้างแต่ยังไม่ทิ้งอาชีพตระเวนขายหนังสือพิมพ์ตามสี่แยกต่างๆ
ในบันทึกชีวิตหมอหยองได้ระบุว่า วันหนึ่งเหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิต ขณะที่ ด.ช.หยอง เด็กบ้านนอกตัวเล็กๆ กำลังวิ่งขายหนังสืออยู่นั้น มีรถสามล้อวิ่งมาด้วยความเร็วแล้วชนร่างเขาอย่างจังจนสลบไปถึง 5 คืน 6 วัน
“เขาเห็นตัวเองเดินอยู่ในที่กว้างใหญ่เสมือนสนามหญ้ากว้างๆ ผู้คนเดินไปข้างหน้า ไม่มีใครพูดคุยกัน แม้เขาจะพยายามเรียกหรือพูดคุยด้วยแต่คนเหล่านั้นต่างไม่สนใจ พากันเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น ครู่ต่อมาเขาเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง เดินอยู่ข้างหน้า จิตสำนึกตอนนั้นบอกว่านั่นคือหลวงปู่ทวด พระเถระผู้ศักดิ์สิทธิ์มีผู้คนนับถือทั้งประเทศโดยเฉพาะชาวปักษ์ใต้ ที่เขาคิดเช่นนั้นก็เพราะตัวเขาก็แขวนเหรียญหลวงปู่ทวดที่แม่ให้แขวนคอไว้คุ้มครองตัวเอง”
ด.ช.หยอง ตะโกนเรียก “หลวงปู่ หลวงปู่” อย่างสุดเสียง แต่ท่านไม่ตอบ เพียงหยุดเดินแล้วหันมามองหน้า ไม่พูด ไม่ขยับริมฝีปาก จิตสำนึกพาไปให้เดินตามท่าน... ท่านจะพาไปไหน ด.ช.หยอง ถามตัวเองแต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิมคือไร้คำตอบ ครู่หนึ่งจึงผ่านลานกว้างมีแสงสว่างสลัวๆ เหมือนตะเกียงอยู่ข้างหน้า พอเดินเข้าใกล้จึงเห็นว่าข้างหน้าเป็นศาลาใหญ่ จมูกสัมผัสกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดกรุ่นหอมเย็นสบายไปทั่ว ขณะนั้นเองพระเถระรูปนั้นหยุดเดินแต่ยังไม่หันมา ด.ช.หยองจึงทำได้แค่ยืนรออยู่ข้างหลัง
“อาตมาพาเจ้ามาส่งถึงที่ของเจ้าแล้ว....” หลวงปู่องค์นั้นไม่ได้ขยับริมฝีปากแม้แต่น้อยแต่เสียงพูดเข้ามาเต็มหูสองข้างของ ด.ช.หยอง พอตั้งสติได้จะถามกลับว่าส่งถึงที่ไหน เพราะในใจอยากจะให้พากลับบ้านพระเถระรูปนั้นก็หายตัวไป เขาจึงค่อยๆ เดินขึ้นไปในศาลา ข้างในบรรยากาศเย็นและรู้สึกว่าไม่เคยเห็นสถานที่นี้มาก่อน ทันใดนั้นเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็ต้องผงะเพราะสิ่งที่เขาเห็น คือ องค์พระพิฆเนศวร ในตอนนั้น ด.ช.หยองยังไม่รู้จักว่าท่านเป็นเทพหรือเป็นองค์อะไร จึงตกใจมากเพราะเห็นศีรษะเป็นช้าง...”
ปฐมบท “หมอหยอง” เริ่มจากชีวิตวัยเด็กจากชนบทที่มาจากครอบครัวยากจนต้องดิ้นรนฝ่าฟันอุปสรรคด้วยตัวเอง และ “จุดเปลี่ยน” ของชีวิตนำเข้าสู่เส้นทางหมอดูคนดังจนถึงโหรขั้นเทพ มาจากความศรัทธาของผู้คนที่มีต่อหลวงปู่ทวด และองค์พระพิฆเนศวรนั่นเอง
หากดูตามเรื่องราวแล้วไม่มีอะไรสลับซับซ้อน วิธีการ “ผูก” ตัวเองเข้ากับศูนย์รวมทางจิตวิญญาณก็คือลูกไม้เก่าๆ แต่มักใช้ได้ผล... จังหวะชีวิตหลังฟื้นจากความตาย 5 คืน 6 วัน ด.ช.หยอง กลายเป็นที่กล่าวถึงของคนรอบข้างจนเริ่มเติบโตเป็นหนุ่มชื่อเสียงของ “หมอหยอง” เริ่มติดตลาดมีการกล่าวถึง “เทพ” ในร่างสามัญชน สามารถดูโชคชะตาทำนายอนาคตได้แม่นราวตาเห็น
ย้อนกลับไปปี 2515 นักข่าวรุ่นลายครามเล่าให้ฟังถึงเส้นทาง “ยอดหญิงนักต้ม” ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับ “สุริยัน สุจริตพลวงศ์” หรือหมอหยอง ไม่มากก็น้อย “ยอดหญิงนักต้ม” โลกไม่ลืม หนีไม่พ้น “คุณหญิงกิมเอ็ง” และ “คุณนายไก่-วันทนีย์”
ในคราวนั้นมีกรณีนักการเมืองดาวรุ่งระดับประเทศอักษรย่อ ส.จังหวัดใหญ่แห่งหนึ่งของภาคอีสาน คุณนายไก่ วันทนีย์ อาศัยความมักคุ้นกับนักข่าวที่ไม่รู้เท่าทันบางคน “คาบข่าว” โกหกพกลมไปตีพิมพ์หน้า 1 สร้างเครดิตความน่าเชื่อถือให้ตัวเองจนกลายเป็นโจ๊กสอนน้องๆ นักข่าวรุ่นหลังๆ เรียกว่าเล่าไปหัวเราะไปเพราะ “นักข่าว” ที่หลงคารมคุณนายไก่ วันทนีย์ ทุกวันนี้ยังมีตัวตน บางคนขยับมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตในสังคม
ข่าวใหญ่ที่ว่าก็คือ คุณนายไก่ วันทนีย์ แม่หม้ายทรงเครื่องพันล้าน ประกาศแต่งงานกับนักการเมือง ส.แห่งภาคอีสาน มีการจัดฉากความรักหวานแหว๋วถึงขั้นขับรถเบนซ์ 500 คันยาวไปดูเรือนหอราคา 3 ล้านแต่ไม่ถูกใจฝ่ายหญิงเพราะเห็นว่านักการเมืองดังมีอนาคตเป็นรัฐมนตรีบ้านพักจะต้องหรูหราสมเกียรติ ตามสเปกต้องมีสนามเทนนิส สระว่ายน้ำ ตกลงว่าวันเปิดตัวซื้อรังรักต้องเลื่อนออกไป
ระหว่างนั้นเองมีเสียงซุบซิบทำนองว่านิยาย “ตกถังข้าวสาร” ของนักการเมืองคนดังคงไม่เข้าท่าแล้ว เนื่องจากมีมือดีไปเสาะรู้ข้อมูลว่าแท้จริงแล้ว คุณนายไก่ วันทนีย์ คือเศรษฐินีกำมะลอ เมื่อวันวิวาห์กำหนดไม่ได้ หอรักยังหาไม่เจอจึงมีข่าววงในแฉออกมาว่าแท้จริงแล้วคุณนายไก่ วันทนีย์ ยอมเอาตัวเข้าแลก ยอมแต่งเรื่องจัดฉากให้ตัวเองเป็นหม้ายพันล้านก็เพื่อหวังสัมปทานเดินรถจากนักการเมือง ส.นั่นเอง
นิยายรักสาวนักตุ๋นกับนักการเมือง “งก” แต่ “โง่” จบลงด้วยฝ่ายชายต้องยอมควักเงินสด 7 หมื่นบาทเพื่อเลิกรากับคุณนายไก่ วันทนีย์
จบจากนักการเมือง ส.แห่งภาคอีสาน ชีวิตของคุณนายไก่ วันทนีย์ ยังคงโลดแล่น คราวนี้ได้สามีเป็น “แป๊ะแก่” แต่บอกกับเพื่อนบ้านว่าเป็นพ่อ แอบไปซื้อแฟลตการเคหะแห่งหนึ่งแถวชานเมืองกรุงเทพฯ เรื่องราวตอนนี้มีทั้งแสบระคนดรามาเมื่อเธอพลาดมีลูกกับสามีคนใหม่แต่ความอดอยากมาเยือนต้องเลี้ยงลูกเองตามลำพัง เงินทองชักหน้าไม่ถึงหลังเพราะสามีอาแป๊ะ ไม่มีความสามารถทางเศรษฐกิจ
วันหนึ่งหลังมีประชาชนชาวแฟลตเห็นคุณนายไก่ วันทนีย์ ทะเลาะตบตีกับสามีอาแป๊ะ เรื่องจึงแดงตกเป็นขี้ปากว่าแท้จริงแล้วพ่อ คือ “ผัว” เมื่อเลิกราจากสามีคนนี้ คุณนายไก่ วันทนีย์ จึงต้องกระเสือกกระสนดูแลตัวเอง มีคนเห็นเธอออกจากแฟลตห้องพักตอนตี 5 แล้วกลับมาตอน 3 ทุ่ม ทำอย่างนี้นานเป็นเดือนเพื่อนบ้านสอดรู้สงสัยว่าเด็กจะอยู่อย่างไร มีใครดูแลหรือเปล่าจึงเอาบันไดปีนดูช่องลม ภาพที่เห็นก็คือเด็กชายวัย 3 ขวบนั่งก้มหน้าอยู่ใกล้ชามข้าวเปล่าที่ไม่มีกับแม้แต่นิดเดียว
ก่อนระเห็จจากแฟลตที่พัก คุณนายไก่ วันทนีย์ ไม่ทิ้งลายเสือ ช่วงนั้นโทรศัพท์กรุงเทพฯ หากใครมีไว้ประจำบ้านมันช่างโชคดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 3 เพราะบางเลขหมายบางชุมชนมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นถึงแสน เมื่อคิดค่าครองชีพในขณะนั้นราคาทองคำไม่น่าเกินบาทละ 1- 2 พัน... จะด้วยความสามารถในทางใดไม่ปรากฏ คุณนายไก่ วันทนีย์ เสกโทรศัพท์มาที่แฟลตได้เพียงเครื่องเดียวหลังเดียว ทั้งที่แฟลตดังกล่าวมีสมาชิกพักอาศัยนับ 10 แท่ง วิธีหาเงินง่ายๆ ก็คือให้เพื่อนบ้านพ่วงใช้โดยคิดเงินกินเปล่าเป็นรายๆ มีคนสนใจใช้บริการคุณนายไก่ วันทนีย์ 10 กว่ารายได้เงินมาก้อนหนึ่งคุณนายไก่ วันทนีย์ จึงหอบลูกน้อยเผ่นจากแฟลตกลางดึกคืนต่อมา ทิ้งปัญหาเจ้าหนี้เงินผ่อนและเพื่อนบ้านผู้อาศัยโทรศัพท์พ่วงไว้เบื้องหลัง
เส้นทางชีวิตคุณนายไก่ วันทนีย์ กำลังสนุก แต่ในอีกมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ คุณหญิงกิมเอ็ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของคุณนายไก่ วันทนีย์ มีฉากตื่นเต้นเร้าใจไม่แพ้กัน
คุณนายกิมเอ็ง ไม่นิยมวิธีหลอกต้มโดยอ้างว่าเป็นเศรษฐินีแม่หม้ายทรงเครื่อง แต่จะใช้การ “ทรงเจ้า” ทำนายทายทักโดยใช้พระพิฆเนศวรเป็นจุดขาย “เปิดตัว” อย่างสวยหรูเมื่อคุณนายกิมเอ็งเดินทางมาแจ้งความยัง สน.บุปผาราม ย่านฝั่งธนฯ และพบกับนายตำรวจหนุ่มเพิ่งติดยศร้อยตำรวจตรีหมาดๆ ที่นั่น....ความสัมพันธ์จากประชาชนผู้เข้าร้องทุกข์แต่มีมาดดี มีแววเศรษฐี แถมเมื่อพูดคุยด้วยคุณนายกิมเอ็ง คือ “ตัวจริง” มีสายสัมพันธ์กว้างขวางรู้จักนักการเมืองใหญ่ ข้าราชการตำรวจ-ทหารระดับบิ๊กๆ แทบทุกคน และแน่นอนว่าเพื่อให้ “สมจริง” จึงต้องใช้วิธีการเดียวกับคุณนายไก่ วันทนีย์ คือให้ความเป็นกันเองกับนักข่าว โดยเฉพาะนักข่าวตระเวนอาชญากรรมที่ต้องขึ้น-ลงโรงพักกันเป็นประจำ
ความรักระหว่างคุณนายกิมเอ็ง กับผู้หมวดหนุ่มหวานชื่นจนถึงขั้นอยู่กินกันอย่างเปิดเผย คุณนายกิมเอ็งไม่คิดอะไรมาก ตั้งสำนักเข้าทรงพระพิฆเนศวรอยู่บนแฟลตตำรวจที่พักหลังโรงพักนั่นเอง มีบรรดาลูกเมียตำรวจเข้าไปดูเจ้าเข้าทรงไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่นายตำรวจบางนายยังเข้าใช้บริการ จนมีเบื้องหลังสนุกๆ เล่ากันว่า แท้จริงแล้วคุณนายกิมเอ็งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตำรวจใหญ่ในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ช่วงนั้นเมื่อมีนายตำรวจระดับผู้กอง ระดับสารวัตรมาให้ทำนาย ใครที่เป็นสายเดียวกับสามีจะทำนายว่าโชคดีได้เลื่อนขี้น ใครไม่ถูกกันบอกโชคร้ายแล้วแอบไปวิ่งเต้นให้ “ตำรวจใหญ่” เป็นคนจัดการบัญชีโยกย้ายให้
วันเวลาผ่านไปเกิดเรื่องใหญ่โตในบ้านเมือง คือ คดีทุจริตเครื่องราชฯ ตัวเอกของเรื่อง คือ คุณนายไก่ วันทนีย์ บุกแจ้งความเปิดโปงถึงขบวนการเลวร้าย มีทั้งพระเถระผู้ใหญ่ และบุคคลอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย พระผู้ใหญ่ถูกจับสึก ข้าราชการที่เกี่ยวข้องคนหนึ่งทนอับอายและกดดันไม่ไหวต้องปลิดชีพยิงตัวตาย และหนึ่งในจำนวนผู้ถูกกล่าวหา คือ คุณนายกิมเอ็ง
ระหว่างการขุดคุ้ยขบวนการทุจริตเครื่องราชฯ ดำเนินไปนั้น คุณนายไก่ วันทนีย์ ปรากฏตัวขึ้น ณ สำนักงานใหญ่หนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่งเพื่อขอแก้ข่าวในฐานะที่ถูกพาดพิงหลายเรื่อง จากการสนทนากว่า 3 ชั่วโมง คุณนายไก่ วันทนีย์เริ่มด้วยความเป็นมาของเธอโดยระบุว่าต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตเครื่องราชฯ เพราะ “เบื้องบนใช้ให้มาชำระพระพุทธศาสนา” ต่อจากนั้นเมื่อการพูดคุยออกรส คุณนายไก่ วันทนีย์ จึงค่อยๆ หลุดยอมเปิดเผยถึงด้านมืดของชีวิต เช่น การคบหาเพื่อนชายหลายคน และมีด้วยกันทุกระดับตั้งแต่บิ๊กทหาร อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง รัฐมนตรี ข้าราชการใหญ่ทั้งพลเรือนและตำรวจ รวมทั้งนักข่าวอีกหลายสำนัก
ข่าวการทุจริตเครื่องราชฯ เริ่มซาลง แต่ในวงประชุมสำนักข่าวใหญ่ยังคงมีเรื่องคุณนายไก่ วันทนีย์ มาเล่นตลอด เมื่อมีผู้เสนอให้แก้ข่าวให้ว่า “ไก่ วันทนีย์” ร่ำรวยจริงและมิได้เป็นสิบแปดมงกูฎตามที่ถูกกล่าวหา มีการนำเช็คเงินสดจำนวน 5 แสนบาทมอบให้กับบิ๊กกองทัพ ในขณะนั้นจึงมีการตรวจสอบไปยังธนาคาร และกองทัพ เนื่องจากเป็นเงินบริจาคการกุศล ปรากฏว่าเช็คเด้ง ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
หนังสือพิมพ์หัวสีประโคมเป็นข่าวใหญ่ แต่อีกเพียงวันเดียวมีหนังสือพิมพ์หัวขาวดำ สวนกลับด้วยข่าวดรามาคุณนายไก่ วันทนีย์ เครียดจัดที่ถูกสื่อตามกัดตามจิกจึงกินยาฆ่าตัวตาย
ตรงจุดนี้แหละทำไมเกี่ยวข้องกับ “สุริยัน สุจริตพลวงศ์”...!?
ก่อนถึงปัจฉิมบท นักข่าวลายครามตบท้ายว่า เมื่อมีโอกาสเจอกับคุณนายไก่ วันทนีย์ อีกครั้งในเวลาหลายเดือนต่อมาการพูดคุยแบบ “หลังไมค์” ไม่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอเป็นข่าวจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง “ไก่ วันทนีย์” ยอมรับว่าวิธีแก้ข่าวให้สังคมเกิดความเห็นใจนั้นมาจากคำแนะนำของ “หมอหยอง”
และเมื่อถามอีกว่าแท้จริงแล้ว คุณหญิงกิมเอ็ง คุณนายไก่ วันทนีย์ และสุริยัน สุจริตพลวงศ์ คือพี่น้องร่วมท้องเดียวกันหรือไม่ คำตอบจากคุณนายไก่ วันทนีย์ คือ เราเป็นพี่น้องกันจริง
ด้วยพฤติกรรม “ลวงโลก” อย่างสุดแสบนั้น แม้นักข่าวลายครามคนต้นเรื่องกลับไม่กล้าฟันธง รวมทั้ง “ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการ” แต่ขอให้เชื่อว่าทุกคนไม่พ้น “กฎแห่งกรรม” รวมทั้ง “หมอหยอง” กับสมัครพรรคพวกที่กำลังเผชิญอยู่