ASTVผู้จัดการรายวัน- ผู้ประกอบการเหล็ก 30 บริษัท ร้องนายกฯ ปกป้องการนำเข้าเหล็กเส้นจากจีน โดยให้ทบทวนใบอนุญาตนำเข้าที่เคยอนุมัติไปก่อนหน้านี้ และระงับใบอนุญาตที่จะออกเพิ่มเติม หวั่นกระทบอุตสาหกรรมเหล็กที่มีมูลค่ากการลงทุนกว่า 1.5 แสนล้านบาท
วานนี้ (15 ต.ค.) ผู้สื่ข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้ประกอบการผลิตสินค้าเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตไทย กว่า 30 บริษัท เข้ายื่นหนังสือร้อนเรียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ช่วยเร่งป้องกันการนำเข้าเหล็กเส้นอย่างไม่เป็นธรรม จากประเทศจีน ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้มีการยื่นหนังสือมาแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2557 อดีตรมว.อุตสาหกรรม เคยได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตอุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งปรับปรุงแก้ไขมาตรฐานผลิภัณฑ์ เหล็กเส้น โดยกำหนดค่าส่วนประกอบทางเคมีเพิ่มเติมเป็นกรณีเร่งด่วนให้แล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย.2558
โดยระหว่างที่แก้ไขมาตรฐาน มอก.ไม่แล้วเสร็จ ทางสมอ.กลับมีการออกใบอนุญาตนำเข้าผลิตภัณฑ์มาตรฐานบังคับให้กับบางบริษัทเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทั้งที่มีการยืนยันมาตลอดว่า จะไม่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นฯในระหว่างการแก้ไขมาตรฐานดังกล่าว จากปัญหาที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตเหล็กเส้นก่อสร้างภายในของประเทศ ซึ่งอยู่ในภาวะล้นตลาดอยู่แล้ว เนื่องจากมีกำลังการผลิตเหล็กเส้นที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน มอก. รวมกันอยู่ถึง 7 ล้านตันต่อปี ขณะที่ความต้องการภายในประเทศมีเพียง 2 ล้านตันต่อปี
ทางตัวแทนผู้ประกอบการผลิตเหล็กเส้นเห็นว่า ไม่มีเหตุผล หรือความจำเป็นใดๆ ที่ทางสมอ.จะออกใบอนุญาตเพิ่มเติม เพื่อนำเข้าเหล็กเส้นมาทำลายอุตสาหกรรมในประเทศ และการนำเข้าไม่มีความเป็นธรรมทางการค้าอีกด้วย เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากจีน มีราคาที่ต่ำผิดปกติ ประมาณ 10 บาทต่อกิโลกรัม แต่ต้นทุนในการผลิตอยู่ที่ 13 บาท ต่อกิโลกรัม เนื่องจากผู้ผลิตจีนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการส่งออกด้วยการคืนภาษีร้อยละ 13 และผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังเป็นรัฐวิสาหกิจจึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเพิ่มขึ้นอีก เพื่อเป็นการช่วยเหลือดำเนินกิจการ ทำให้สร้างความได้เปรียบในด้านต้นทุนผลิตสินค้า
อีกทั้งการนำเข้าเหล็กอัลลอยด์ในประเทศไทยยังได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าอีกร้อยละ 5 ที่ภาครัฐได้ยกเว้นสำหรับเหล็กเกรดพิเศษ แต่เหล็กเส้นก่อสร้างไม่ได้เป็นเหล็กเกรดพิเศษ จึงเป็นการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้นผู้ประกอบการเหล็กในประเทศมีความกังวลว่า หากรัฐบาลไม่ให้ความช่วยเหลือจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กเส้นภายในประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 1.5 แสนล้านบาท
ดังนั้นจึงเรียกร้อง ให้รัฐบาลทบทวนใบอนุญาตนำเข้าเหล็กเส้นของผู้นำเข้าที่ได้ออกใบอนุญาตไปแล้ว และอยากให้มีการระงับการออกใบอนุญาตนำเข้าเพิ่มเติมและเร่งรัดการออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตในเรื่องส่วนประกอบทางเคมี รวมถึงอยากให้มีการทบทวนขั้นตอนการออกใบอนุญาตนำเข้าผลิตภัณฑ์มาตรฐานบังคับ โดยควรกำหนดให้ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการมาตรฐานอุตสาหกรรมก่อนที่จะมีการออกใบอนุญาต และใบอนุญาตควรจะมีการกำหนดวันหมดอายุให้เป็นแบบเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
วานนี้ (15 ต.ค.) ผู้สื่ข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้ประกอบการผลิตสินค้าเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตไทย กว่า 30 บริษัท เข้ายื่นหนังสือร้อนเรียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ช่วยเร่งป้องกันการนำเข้าเหล็กเส้นอย่างไม่เป็นธรรม จากประเทศจีน ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้มีการยื่นหนังสือมาแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2557 อดีตรมว.อุตสาหกรรม เคยได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตอุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งปรับปรุงแก้ไขมาตรฐานผลิภัณฑ์ เหล็กเส้น โดยกำหนดค่าส่วนประกอบทางเคมีเพิ่มเติมเป็นกรณีเร่งด่วนให้แล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย.2558
โดยระหว่างที่แก้ไขมาตรฐาน มอก.ไม่แล้วเสร็จ ทางสมอ.กลับมีการออกใบอนุญาตนำเข้าผลิตภัณฑ์มาตรฐานบังคับให้กับบางบริษัทเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทั้งที่มีการยืนยันมาตลอดว่า จะไม่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นฯในระหว่างการแก้ไขมาตรฐานดังกล่าว จากปัญหาที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตเหล็กเส้นก่อสร้างภายในของประเทศ ซึ่งอยู่ในภาวะล้นตลาดอยู่แล้ว เนื่องจากมีกำลังการผลิตเหล็กเส้นที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน มอก. รวมกันอยู่ถึง 7 ล้านตันต่อปี ขณะที่ความต้องการภายในประเทศมีเพียง 2 ล้านตันต่อปี
ทางตัวแทนผู้ประกอบการผลิตเหล็กเส้นเห็นว่า ไม่มีเหตุผล หรือความจำเป็นใดๆ ที่ทางสมอ.จะออกใบอนุญาตเพิ่มเติม เพื่อนำเข้าเหล็กเส้นมาทำลายอุตสาหกรรมในประเทศ และการนำเข้าไม่มีความเป็นธรรมทางการค้าอีกด้วย เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากจีน มีราคาที่ต่ำผิดปกติ ประมาณ 10 บาทต่อกิโลกรัม แต่ต้นทุนในการผลิตอยู่ที่ 13 บาท ต่อกิโลกรัม เนื่องจากผู้ผลิตจีนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการส่งออกด้วยการคืนภาษีร้อยละ 13 และผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังเป็นรัฐวิสาหกิจจึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเพิ่มขึ้นอีก เพื่อเป็นการช่วยเหลือดำเนินกิจการ ทำให้สร้างความได้เปรียบในด้านต้นทุนผลิตสินค้า
อีกทั้งการนำเข้าเหล็กอัลลอยด์ในประเทศไทยยังได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าอีกร้อยละ 5 ที่ภาครัฐได้ยกเว้นสำหรับเหล็กเกรดพิเศษ แต่เหล็กเส้นก่อสร้างไม่ได้เป็นเหล็กเกรดพิเศษ จึงเป็นการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้นผู้ประกอบการเหล็กในประเทศมีความกังวลว่า หากรัฐบาลไม่ให้ความช่วยเหลือจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กเส้นภายในประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 1.5 แสนล้านบาท
ดังนั้นจึงเรียกร้อง ให้รัฐบาลทบทวนใบอนุญาตนำเข้าเหล็กเส้นของผู้นำเข้าที่ได้ออกใบอนุญาตไปแล้ว และอยากให้มีการระงับการออกใบอนุญาตนำเข้าเพิ่มเติมและเร่งรัดการออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตในเรื่องส่วนประกอบทางเคมี รวมถึงอยากให้มีการทบทวนขั้นตอนการออกใบอนุญาตนำเข้าผลิตภัณฑ์มาตรฐานบังคับ โดยควรกำหนดให้ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการมาตรฐานอุตสาหกรรมก่อนที่จะมีการออกใบอนุญาต และใบอนุญาตควรจะมีการกำหนดวันหมดอายุให้เป็นแบบเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
