ศาลฏีกาพิพากษายืนยกฟ้อง 3 จำเลยตระกูล “หินแก้ว” จ้างวานฆ่า “เจริญ วัดอักษร” ชี้ไม่มีพยานหลักฐานที่มั่นคงเพียงพอ ด้านภรรยาอดีตแกนนำต่อต้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก ระบุคำพิพากษาไม่เหนือความคาดหมายและพร้อมยอมรับ แต่ฝ่ายชาวบ้านที่ต่อสู้เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติกลับถูกจำคุกคนละ 21 ปี จับตาอิทธิพลเถื่อนรุกที่สาธารณะคลองชายธงหนักขึ้น
วานนี้ (13 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีจ้างวานฆ่านายเจริญ วัดอักษร แกนกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก หมายเลขดำ ที่ ด.2945/2547 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเสน่ห์ เหล็กล้วน (เสียชีวิตแล้วในเรือนจำ), นายประจวบ หินแก้ว (เสียชีวิตแล้วในเรือนจำ), นายธนู หินแก้ว อาชีพทนายความ อายุ 53 ปี, นายมาโนช หินแก้ว อดีต ส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ อายุ 49 ปี และนายเจือ หินแก้ว อดีตกำนัน ต.บ่อนอก อายุ 78 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันจ้างวานฆ่าผู้อื่น และ พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490
ตามโจทก์บรรยายสรุปว่า จำเลยที่ 3-5 ร่วมกันจ้างวานให้จำเลยที่ 1-2 ฆ่านายเจริญ วัดอักษร ประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ แกนนำคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอก ซึ่งใช้ปืนขนาด 9 มม. ยิงนายเจริญ รวม 9 นัด จนเสียชีวิต ขณะที่ นายเจริญ กำลังลงจากรถทัวร์สายกรุงเทพฯ-บางสะพาน หลังจากเดินทางไปให้ปากคำกับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องการบุกรุกที่ดินสาธารณะคลองชายธงในเขต อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เหตุเกิดที่สี่แยกบ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นายธนู หินแก้ว จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานจ้างฆ่าผู้อื่นฯ ให้ประหารชีวิต ส่วนนายมาโนช และนายเจือ จำเลยที่ 4-5 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ขณะที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้อง นายมาโนชและนายเจือ และพิพากษากลับให้ยกฟ้อง นายธนู หินแก้ว จำเลยที่ 3 ด้วย เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอเช่นกัน ระหว่างฎีกา จำเลยที่ 3-5 ได้รับการปล่อยตัว ส่วนนายเสน่ห์ และนายประจวบ จำเลยที่ 1-2 กลุ่มมือปืนที่ถูกคุมขังในเรือนจำได้เสียชีวิตเมื่อเดือน ส.ค.2549 ระหว่างการพิจารณาคดีศาลชั้นต้น ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3-5
อย่างไรก็ตาม ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา กลับมีเพียง นายมาโนช จำเลยที่ 4 ที่เดินทางมาศาลเท่านั้น ส่วนนายเจือ จำเลยที่ 5 ส่งทนายร้องขอศาลเลื่อนฟังคำพิพากษาโดยอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พร้อมยื่นใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐาน ขณะที่นายธนู จำเลยที่ 3 ศาลสั่งออกหมายจับให้มาฟังคำพิพากษาและให้เลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้ (13ต.ค.)
เมื่อถึงเวลา จำเลยที่ 3 ยังไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาอีก ศาลจึงเห็นควรอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามกระบวนการ โดยศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1-2 ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าซัดทอดจำเลยที่ 3-5 แต่ให้การขัดแย้งกันเอง โดยพยานโจทก์ไม่ยืนยันชัดเจนว่า จำเลยที่ 4 และ 5 เกี่ยวข้องอย่างไร อีกทั้งจำเลยที่ 3 และผู้ตายก็ไม่เคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน จำเลยที่ 3-5 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักโจทก์ไม่มีน้ำหนักที่มั่นคง พิพากษายืน ยกฟ้องจำเลยที่ 3-5 และให้ถอดหมายจับจำเลยที่ 3
นางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ วัดอักษร กล่าวว่า คำพิพากษาไม่ได้เหนือความคาดหมายของตนและชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วย แต่ในฐานะที่เป็นประชาชนก็ต้องยอมรับคำพิพากษา ทั้งนี้ ได้ติดตามคดีการตายของ นายเจริญ วัดอักษร มาตลอด 11 ปีก็ได้เรียนรู้หลายอย่างและคิดว่าควรจะต้องเร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าพี่น้องของพวกเราที่อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ต่อสู้เพื่อรักษาฐานทรัพยากรธรรมชาติและเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถูกจำคุกคนละ 21 ปี 6 เดือน โดยไม่มีความผิด แต่ในขณะเดียวกันผู้ต้องหาที่ฆ่านายเจริญ กลับถูกปล่อยตัวให้ลอยนวล ตนและชาวบ้านจะต่อสู้ต่อไป โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่สาธารณะคลองชายธงซึ่งปัจจุบันมีสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงและตึงเครียดเพิ่มขึ้น เพราะมีนายทุน ข้าราชการและอิทธิพลเถื่อนพยายามที่จะเข้ามาครอบครองพื้นที่สาธารณะซึ่งเป็นพื้นที่ระบบนิเวศน์และเป็นฐานทรัพยากรชุมชนไปทำเป็นมหาวิทยาลัย จึงอยากให้สื่อมวลชนเฝ้าติดตามด้วย เพราะการปล่อยตัวผู้กระทำความผิดในคดีนี้จะทำให้กลุ่มทุนและอิทธิพลในพื้นที่เหิมเกริมมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้แกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมจะทำอย่างไร นางกรณ์อุมา ตอบว่า คงต้องหารือกับชาวบ้านว่าดำเนินการไปในทิศทางใด ตนและชาวบ้านหวังสิทธิคุ้มครองจากกระบวนการยุติธรรมกับทุกภาคส่วน แต่ตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ฉะนั้นพี่น้องในพื้นที่จะต้องช่วยเหลือและดูแลกันเอง
ด้านนายเจือ หินแก้ว อดีตกำนัน ต.บ่อนอก กล่าวภายหลังศาลยกฟ้องว่า ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมาตัวเองถูกกล่าวหาและตกเป็นจำเลย ทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงถือว่าได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว
วานนี้ (13 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีจ้างวานฆ่านายเจริญ วัดอักษร แกนกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก หมายเลขดำ ที่ ด.2945/2547 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเสน่ห์ เหล็กล้วน (เสียชีวิตแล้วในเรือนจำ), นายประจวบ หินแก้ว (เสียชีวิตแล้วในเรือนจำ), นายธนู หินแก้ว อาชีพทนายความ อายุ 53 ปี, นายมาโนช หินแก้ว อดีต ส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ อายุ 49 ปี และนายเจือ หินแก้ว อดีตกำนัน ต.บ่อนอก อายุ 78 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันจ้างวานฆ่าผู้อื่น และ พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490
ตามโจทก์บรรยายสรุปว่า จำเลยที่ 3-5 ร่วมกันจ้างวานให้จำเลยที่ 1-2 ฆ่านายเจริญ วัดอักษร ประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ แกนนำคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอก ซึ่งใช้ปืนขนาด 9 มม. ยิงนายเจริญ รวม 9 นัด จนเสียชีวิต ขณะที่ นายเจริญ กำลังลงจากรถทัวร์สายกรุงเทพฯ-บางสะพาน หลังจากเดินทางไปให้ปากคำกับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องการบุกรุกที่ดินสาธารณะคลองชายธงในเขต อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เหตุเกิดที่สี่แยกบ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นายธนู หินแก้ว จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานจ้างฆ่าผู้อื่นฯ ให้ประหารชีวิต ส่วนนายมาโนช และนายเจือ จำเลยที่ 4-5 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ขณะที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้อง นายมาโนชและนายเจือ และพิพากษากลับให้ยกฟ้อง นายธนู หินแก้ว จำเลยที่ 3 ด้วย เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอเช่นกัน ระหว่างฎีกา จำเลยที่ 3-5 ได้รับการปล่อยตัว ส่วนนายเสน่ห์ และนายประจวบ จำเลยที่ 1-2 กลุ่มมือปืนที่ถูกคุมขังในเรือนจำได้เสียชีวิตเมื่อเดือน ส.ค.2549 ระหว่างการพิจารณาคดีศาลชั้นต้น ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3-5
อย่างไรก็ตาม ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา กลับมีเพียง นายมาโนช จำเลยที่ 4 ที่เดินทางมาศาลเท่านั้น ส่วนนายเจือ จำเลยที่ 5 ส่งทนายร้องขอศาลเลื่อนฟังคำพิพากษาโดยอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พร้อมยื่นใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐาน ขณะที่นายธนู จำเลยที่ 3 ศาลสั่งออกหมายจับให้มาฟังคำพิพากษาและให้เลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้ (13ต.ค.)
เมื่อถึงเวลา จำเลยที่ 3 ยังไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาอีก ศาลจึงเห็นควรอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามกระบวนการ โดยศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1-2 ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าซัดทอดจำเลยที่ 3-5 แต่ให้การขัดแย้งกันเอง โดยพยานโจทก์ไม่ยืนยันชัดเจนว่า จำเลยที่ 4 และ 5 เกี่ยวข้องอย่างไร อีกทั้งจำเลยที่ 3 และผู้ตายก็ไม่เคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน จำเลยที่ 3-5 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักโจทก์ไม่มีน้ำหนักที่มั่นคง พิพากษายืน ยกฟ้องจำเลยที่ 3-5 และให้ถอดหมายจับจำเลยที่ 3
นางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ วัดอักษร กล่าวว่า คำพิพากษาไม่ได้เหนือความคาดหมายของตนและชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วย แต่ในฐานะที่เป็นประชาชนก็ต้องยอมรับคำพิพากษา ทั้งนี้ ได้ติดตามคดีการตายของ นายเจริญ วัดอักษร มาตลอด 11 ปีก็ได้เรียนรู้หลายอย่างและคิดว่าควรจะต้องเร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าพี่น้องของพวกเราที่อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ต่อสู้เพื่อรักษาฐานทรัพยากรธรรมชาติและเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถูกจำคุกคนละ 21 ปี 6 เดือน โดยไม่มีความผิด แต่ในขณะเดียวกันผู้ต้องหาที่ฆ่านายเจริญ กลับถูกปล่อยตัวให้ลอยนวล ตนและชาวบ้านจะต่อสู้ต่อไป โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่สาธารณะคลองชายธงซึ่งปัจจุบันมีสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงและตึงเครียดเพิ่มขึ้น เพราะมีนายทุน ข้าราชการและอิทธิพลเถื่อนพยายามที่จะเข้ามาครอบครองพื้นที่สาธารณะซึ่งเป็นพื้นที่ระบบนิเวศน์และเป็นฐานทรัพยากรชุมชนไปทำเป็นมหาวิทยาลัย จึงอยากให้สื่อมวลชนเฝ้าติดตามด้วย เพราะการปล่อยตัวผู้กระทำความผิดในคดีนี้จะทำให้กลุ่มทุนและอิทธิพลในพื้นที่เหิมเกริมมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้แกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมจะทำอย่างไร นางกรณ์อุมา ตอบว่า คงต้องหารือกับชาวบ้านว่าดำเนินการไปในทิศทางใด ตนและชาวบ้านหวังสิทธิคุ้มครองจากกระบวนการยุติธรรมกับทุกภาคส่วน แต่ตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ฉะนั้นพี่น้องในพื้นที่จะต้องช่วยเหลือและดูแลกันเอง
ด้านนายเจือ หินแก้ว อดีตกำนัน ต.บ่อนอก กล่าวภายหลังศาลยกฟ้องว่า ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมาตัวเองถูกกล่าวหาและตกเป็นจำเลย ทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงถือว่าได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว