xs
xsm
sm
md
lg

“ใบหยก”ทุ่มพันล้านซื้อโรงแรม-ไลเซนส์ฟู้ด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – “ใบหยก” รุกหนัก ทุ่มงบ ก้อนโตพันล้านบาท 2 ปีนี้ ขยายพอร์ตโฟลิโอ โรงแรม ทั้งสร้างใหม่และซื้อโรงแรมเก่าปรับปรุง ปีหน้าเปิดใหม่อีก 3 แห่ง ด้านธุรกิจอาหาร เพิ่งชิม ลาง 4 ปี เพื่อเป็นธุรกิจที่สอง เน้นซื้อไลเซ่นส์และ เทคโอเวอร์ ล่าสุดคว้าสิทธิ์สวีทมันสเตอร์ จากเกาหลีรุกตลาดไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ
นางสาวจารุจิต ใบหยก ผู้ช่วยประธาน กรรมการ กลุ่มโรงแรมใบหยก เปิดเผยว่า ในช่วง2 ปีนี้ กลุ่มใบหยกจะมีการลงทุนด้วยงบประมาณ ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ใน 2 ธุรกิจหลักคือ ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอาหาร ซึ่งปัจจุบันธุรกิจ โรงแรมยังคงเป็นธุรกิจหลักที่ทำมานานแล้ว มีสัดส่วนรายได้มากกว่า 90% 
ส่วนธุรกิจอาหารนั้นถือเป็นธุรกิจใหม่ ที่เพิ่งเริ่มทำมาประมาณ 4 ปี ในนาม บริษัท ใบหยก เอฟบี จำกัด เพื่อเป็นการขยายธุรกิจในการสร้าง รายได้และการเติบโต และยังเป็นการลดความเสี่ยง ในการ ทำธุรกิจเดียวอีกด้วย 
การทำธุรกิจอาหารถือได้ว่าเพิ่งเริ่มต้น แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว เพราะเป็นธุรกิจที่ ลงทุนไม่มาก และผลตอบแทนดีและคืนทุนเร็ว เมื่อเทียบกับธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอาหารช่วง ปีนี้ปีหน้าก็ลงทุนประมาณ 10-20 ล้านบาท ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับการลงทุนด้านโรงแรม
ทั้งนี้ธุรกิจโรงแรม ในปีหน้า 2559 มีแผนที่จะเปิดโรงแรมใหม่อย่างน้อย 3 แห่งคือ 1.โรงแรมสมุยซีโคสต์ ตำบลบ่อผุด สมุย ซึ่งเป็น โรงแรมที่ซื้อมาจากเจ้าของเดิมไม่นานมานี้แล้วทำการปรับปรุงใหม่ มีประมาณ 80 ห้องพักและมีวิลล่า ด้วย 2. โรงแรมใหม่ที่ถนนเพชรบุรี กรุงเทพฯฯชื่อว่า แบงคอก มิดทาวน์ จำนวน 100 ห้อง เป็นบัดเจท โฮเตล จับตลาดกลุ่มคนจีนโดยเฉพาะ ขณะนี้อยู่ ระหว่างการก่อสร้าง และ 3.โรงแรมจัสติส ใกล้กับศาลรัชดาภิเษก มี 80 ห้อง คาดว่าก่อสร้าง แล้วเร็จปลายปีหน้า
ขณะที่ปัจจุบันมีโรงแรมที่เปิดบริการแล้ว จำนวน 5 แห่ง คือ 1. ใบหยกสกาย มีอัตราการ เข้าพักเฉลี่ย 80% 2.ใบหยกสวีท 3.ใบหยกบูติก เป็นบัดเจ็ทโฮเตล อยู่ด้านหลังใบหยกสกาย 4.โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ อยู่สะพานหัวช้าง ราชเทวี มี 80 ห้องพัก อัตราพักเฉลี่ย 70-90% 5.โรงแรกใบหยกเจ๊า เชียงใหม่ ถนนนิมมานเหมินทร์
สำหรับธุรกิจอาหารนั้น ในปีหน้าจะมีการ ขยายตัวต่อเนื่อง โดยยังคงยึดกลยุทธ์หลักคือ เน้นการซื้อแฟรนไชส์ไลเซนส์และการซื้อกิจการมาเปิดบริการเป็นหลัก ยังไม่มีการพัฒนาแบรนด์ ของตัวเองแต่อย่างใด เนื่องจากต้องการเรียนรู้ ระบบแฟรนไชส์ด้วย 
ปัจจุบันมี 4 แบรนด์แล้ว คือ 1.ข้าวมันไก่ สิงคโปร์ ออชาร์ด ชิกเก้น ไรซ์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ ซื้อมาจาก เจมส์ข้าวมันไก่ แล้วเปลี่ยนชื่อ ประมาณ 4 ปีที่แล้ว ขณะนี้มี 3 สาขาคือ ที่พาราไดซ์ปาร์ค ซีดีซี และเอสพลานาดรัชดาภิเษก
2.ข้าวหมูทอดแบรนด์ยาบะโตะ จากนาโกย่า ญี่ปุ่น ซื้อแฟรนไชสและทำมา 3 ปีแล้ว มี 1 สาขาคือ ที่เจอเวนิวทองหล่อ เตรียมเปิดสาขาที่สองที่ เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ 3.แบรนด์ยามะจัง ซื้อแฟรนไชส์ มาจากญี่ปุ่นเป็นอาหารประเภทอิซากายะ ไก่ทอด เปิดมาแล้ว 1 ปี มี 1 สาขาที่ สุขุมวิท 39 เตรียมเปิด สาขาสองที่ธนิยะพลาซ่าเดือนพฤศจิกายนนี้ ลงทุนเฉลี่ย 6 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งแบรนด์นี้เจ้าของ ที่ญี่ปุ่นขายแฟรนไชส์ให้ไทยเป็นที่แรก แล้วหลังจาก นั้นจึงขายแฟรนไชส์ต่อที่ฮ่องกง 
4. แบรนด์ สวีทมันสเตอร์ ( Sweet Monster) จากเกาหลี เป็นไอศกรีมมีจุดเด่นที่โรยด้วย ป๊อปคอร์น เพิ่งเริ่มปีนี้ ซื้อแฟรนไชส์มาจากเกาหลี ซึ่งแบรนด์นี้ที่เกาหลีมี 24 สาขาและไทยเป็นประเทศ แรกที่เกาหลีขายแฟรนไชส์ให้ หลังจากนั้นจึงขาย แฟรนไชส์ต่อที่ฮ่องกง ดูไบ เซี่ยงไฮ้ โดยบริษัท ได้สิทธิ์ในไทยรายเดียว ได้สิทธิ์ 3 ปีต่อ 3 ปี เปิดสาขาแรกในไทยที่เจอเวนิวทองหล่อ ปีนี้ และ เปิดสาขาสองที่สยาพารากอนเมื่อเดือนที่แล้ว อีกทั้ง ยังได้รับสิทธิ์ในการขายแฟรนไชส์ต่อในไทยด้วย
“เป้าหมายของแบรนด์สวีทมันสเตอร์นี้ จะขยายได้ 5 แห่ง ใน 3 ปี ลงทุนประมาณ 7 ล้านบาทต่อสาขา คาดว่าประมาณปีครึ่งจะสามารถ คืนทุนได้ หลังจากนั้นจึงจะเริ่มดำเนินการขาย แฟรนไชส์ในไทยต่อไป” นางสาวจารุจิต กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น