**เห็นโฉมหน้า “ครม.ตู่ 3 ”หลายคนถึงกับเบือนหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้คาดหวังกันไว้สูงลิ่วว่า จะมีทีมงานมือระดับพระกาฬมาแทนที่ของเก่า เพื่อกระตุกความเชื่อมั่น และกอบกู้สถานการณ์ที่ย่ำแย่ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา
โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ที่เป็นจุดบอดรัฐบาลนายพล โดนถากถางโดนรุมด่าว่ามือไม่ถึง ชื่อชั้นขายไม่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน จนทุกฝ่ายพร้อมใจส่งเสียงเชียร์ให้มีการเซ็ตทีมใหม่ เพื่อทำให้คนรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง และมีความหวังมากขึ้น
ทว่าคนที่จะมาใหม่แทนของเก่าที่ทรงๆ ทรุดๆ กลับไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรเท่าใดนัก ทีมเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่มาแทน “คุณชายอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นนักธุรกิจกันเสียมาก ทำให้เห็นทิศทางการทำงานพอเลาๆ ได้เลย
ที่น่าสนใจคือ ในรายของ“อุตตม สาวนายน” ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่กระโดดมาเสียบแทน พรชัย รุจิประภา หลายคนคุ้นหู เพราะเป็นผู้บริหารเก่าของ บริษัท สื่อสารยักษ์ใหญ่อย่าง “Samart”
สรรพคุณไม่ต้องเอ่ยถึงมาก เพราะคนในแวดวงการเมืองและธุรกิจรู้จักกันดี สนิทสนม และเกื้อกูลกับนักการเมืองหลายคน เรื่องฝีไม้ลายมือธรรมดา ไม่ได้วิเศษวิโสกว่าของเก่าเลยด้วยซ้ำ ที่โด่งดัง และโจษจันเป็นไปในแง่ลบเสียส่วนใหญ่
**ในอดีตถูกมองว่า ทำงานเกื้อกูลกับฝ่ายการเมือง เปรียบดังคนผลิตกระสุนดินดำ โดยเฉพาะในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ซุบซิบกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า เป็นหนึ่งในผู้ทำหน้าที่เสริฟให้ “เจ๊ด.”เอาไปอิ่มหนำสำราญ จนลงพุง
ในช่วงเป็นผู้บริหารค่ายสื่อสารยักษ์ใหญ่ ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างในทางแย่ๆ ว่า ทำมาหากินกับนโยบายของรัฐ ใช้นโยบายรัฐเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทตัวเอง มีความได้เปรียบคู่แข่ง ที่ไม่มีคอนเนกชั่น หรือความสัมพันธ์แนบแน่นสารพัดสารเพ จนบางบริษัทเจ๊ง ต้องปิดค่ายหนี แต่การทำงานแบบนี้ถูกอกถูกใจฝ่ายการเมืองอย่างมาก เพราะเป็นประเภทน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ไม่มีตบมือข้างเดียว ซอกแซกแบบแนบเนียน นักการเมืองยุคไหนก็พิศวาสแบบขาดไม่ได้
เลยน่าสนใจ “อุตตม”ที่มีชื่อมาโผล่ในรัฐบาลนายพล ที่ออกจะเกลียดๆนักการเมือง จะไปรอดหรือไม่ ที่สำคัญ พรชัย รุจิประภา เสนาบดีคนเก่าทิ้งทุ่นเอาไว้ หวังว่าจะสานงานต่อ ไม่รู้เป็นการส่งไม้ต่อดีๆ หรือเป็นการประชดประชัน ดักคอ เพราะรู้ว่าคนใหม่มีนิสัยชอบอยู่กับเงินๆ ทองๆ จะมาทำลับๆ ล่อๆ อะไรหรือเปล่า เพราะกระทรวงนี้กำลังจะแปรสภาพไปเป็นกระทรวงดิจิตอลในอนาคต ที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องการสื่อสารหลายมิติ แล้วเสนาบดีคนใหม่ก็อยู่ในแวดวงนี้มาก่อน จะถูกคนระแวงว่า จะทำอะไรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันหรือไม่
แต่ในเมื่อรัฐบาลตัดสินใจเห็นว่า ลักษณะและทรงดี ก็ว่ากันไป ขณะที่เสนาบดีป้ายแดงคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม ที่ใช้ผู้เล่นคนเดิม ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันว่า มือไม่ถึงขึ้นมาให้ใหญ่กว่าเดิม ปรับแบบงงๆ ดันรัฐมนตรีช่วย ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการแทน แถมให้ข้าราชการ มาทำหน้าที่รัฐมนตรี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีกระแสว่าเบื่อหน่ายการทำงานของรัฐมนตรีบางคนที่ทำงานแบบข้าราชการ รอคำสั่งอย่างเดียว ปรับเที่ยวนี้ จึงแทบไม่มีมิติแห่งความคาดหวังอะไรเลย
คนที่เหนื่อย คงหนีไม่พ้น “สมคิด”หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ จะพาลูกทีมฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ชะลูดลงๆ ทุกวันได้หรือไม่ ยืนอยู่บนเขาควายระหว่าง "รุ่ง" กับ "ร่วง"
ขณะที่ภาพรวมตำแหน่งอื่นๆ โดนค่อนแคะหนักมาก ว่าเป็นการปรับที่เหมือนไม่ได้ปรับ ทำนองเหล้าเก่าในขวดใหม่ รัฐมนตรีทหารหลายคน ที่ผลงานไม่เอาอ่าว แค่ถูกเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางให้เท่านั้น สลับกันไปมา เหมือนเก้าอี้ดนตรี ไม่รู้ว่า จงใจปรับให้ถูกที่ถูกทางกว่าเดิม หรือปรับเพื่อหนีคำวิจารณ์งานชิ้นเก่า
ตอกลิ่มความเชื่อของคนก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในที่สุดจะไม่กล้าปรับนายพลออกแม้แต่คนเดียว เพราะเกรงอกเกรงใจกันทั้งที่บางคนทำงานไม่เป็น อย่างบรรดารองหัวหน้าคสช. บางคนโดนคนนินทาไม่มีชิ้นดี มีเสียงสะท้อนออกมาเยอะ แต่ก็ยังทู่ซี้ ดันไปนั่งเก้าอี้อื่น คือ อย่างไรก็ไม่เขี่ยทิ้ง ต้องอยู่เป็นผีเน่ากับโลงผุกันต่อไป จะเห็นได้ว่า เหล่าคสช. ยังอยู่กันครบทีม ไม่มีหลุด แม้สอบตก โพลล์ประจานกี่รอบ แต่ก็ยังเอาไปแขวนไว้เป็นรองนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีตำแหน่งแห่งหน อย่างนี้อย่าไปปฏิเสธชาวบ้านชาวช่องให้เหม็นขี้ฟันเลยว่า เปล่าต่างตอบแทน
**สุดท้ายรัฐบาลนายพล หรือรัฐบาลพลเรือน มันก็คือกัน พวกพ้องสำคัญเป็นลำดับแรก ส่วนเรื่องความชำนิชำนาญว่ากันทีหลัง ยึดคอนเซปต์ พี่น้องทหารเราไม่ทิ้งกัน จากนี้ต้องรับคำวิจารณ์ให้ได้ อย่ามาเหวี่ยงใส่ว่า ไม่เปลี่ยนครม. ก็ด่า พอเปลี่ยนก็ว่าอีก แต่ต้องพูดกันตามเนื้อผ้าในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะทีมนี้หลายคนหวังไว้เยอะว่า ถึงเวลามืออาชีพต้องลงมาเล่นเอง สถานการณ์ที่เป็นอยู่นอกเหนือจากงานด้านความมั่นคงแล้ว เหล่าท็อปบูต ยังสอบไม่ผ่านในเรื่องการบริหารเลย แต่พุดโธ่! ลายพรางอยู่ครบ
ทีมเศรษฐกิจที่“สมคิด”เอามา และการจัดทัพแปลกๆ ของ “บิ๊กตู่”ด้วยการดันข้าราชการขึ้นมาเป็นรัฐมนตรี แบบที่ปลัดเองคิดว่าตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการนั้นสูงแล้ว แต่ได้ขยับเป็นเสนาบดีแบบไม่รู้ตัว ไม่ต่างอะไรจากสามล้อถูกหวย เดาใจยากกับทฤษฎีการจัดขุนพลแบบนี้ ว่า เป็นเพราะไม่มีตัวเล่นอื่น ไปช่วนใคร เขาก็ไม่อยากร่วมหัวจมท้ายด้วย เพราะมีแต่จะเจ็บตัวและเข้าเนื้อ หรือแท้จริงเป็นเพราะมันปรับได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะมีคำว่า เพื่อนพ้องน้องพี่ ค้ำคออยู่กันแน่
ตามกระแสวงในแวดวงธุรกิจ ตอนนี้พอเห็นหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว ยังรู้สึกเฉยๆ เลยไปถึงส่ายหน้า เพราะทรงเดียวกับชุดก่อน เพียงแต่เปลี่ยนผู้เล่นอีกชุดมาแทน แถมตัวหลักของเก่ายังอยู่เพียบ
ไม่รู้“บิ๊กตู่”มั่นใจว่า“สมคิด”เจ๋งพอจะพาเรือแป๊ะข้ามมรสุมเศรษฐกิจไปได้ด้วยการจัดทัพเพียงเท่านี้ อย่าลืมว่า ตัวเองไม่ได้ปรับครม.พร่ำเพรื่อ แถมครม.ชุดนี้ เข้ามาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทางการเมืองและของรัฐบาล ทำดีมันก็ดีไป แต่ถ้าตรงกันข้าม นั่นหมายถึงความเป็นไปของรัฐบาลด้วย
** จะเป็นชุดสุดท้ายก่อนอำลาอำนาจ หรือจะมี “ครม.ตู่ 4” อีก
โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ที่เป็นจุดบอดรัฐบาลนายพล โดนถากถางโดนรุมด่าว่ามือไม่ถึง ชื่อชั้นขายไม่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน จนทุกฝ่ายพร้อมใจส่งเสียงเชียร์ให้มีการเซ็ตทีมใหม่ เพื่อทำให้คนรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง และมีความหวังมากขึ้น
ทว่าคนที่จะมาใหม่แทนของเก่าที่ทรงๆ ทรุดๆ กลับไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรเท่าใดนัก ทีมเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่มาแทน “คุณชายอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นนักธุรกิจกันเสียมาก ทำให้เห็นทิศทางการทำงานพอเลาๆ ได้เลย
ที่น่าสนใจคือ ในรายของ“อุตตม สาวนายน” ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่กระโดดมาเสียบแทน พรชัย รุจิประภา หลายคนคุ้นหู เพราะเป็นผู้บริหารเก่าของ บริษัท สื่อสารยักษ์ใหญ่อย่าง “Samart”
สรรพคุณไม่ต้องเอ่ยถึงมาก เพราะคนในแวดวงการเมืองและธุรกิจรู้จักกันดี สนิทสนม และเกื้อกูลกับนักการเมืองหลายคน เรื่องฝีไม้ลายมือธรรมดา ไม่ได้วิเศษวิโสกว่าของเก่าเลยด้วยซ้ำ ที่โด่งดัง และโจษจันเป็นไปในแง่ลบเสียส่วนใหญ่
**ในอดีตถูกมองว่า ทำงานเกื้อกูลกับฝ่ายการเมือง เปรียบดังคนผลิตกระสุนดินดำ โดยเฉพาะในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ซุบซิบกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า เป็นหนึ่งในผู้ทำหน้าที่เสริฟให้ “เจ๊ด.”เอาไปอิ่มหนำสำราญ จนลงพุง
ในช่วงเป็นผู้บริหารค่ายสื่อสารยักษ์ใหญ่ ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างในทางแย่ๆ ว่า ทำมาหากินกับนโยบายของรัฐ ใช้นโยบายรัฐเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทตัวเอง มีความได้เปรียบคู่แข่ง ที่ไม่มีคอนเนกชั่น หรือความสัมพันธ์แนบแน่นสารพัดสารเพ จนบางบริษัทเจ๊ง ต้องปิดค่ายหนี แต่การทำงานแบบนี้ถูกอกถูกใจฝ่ายการเมืองอย่างมาก เพราะเป็นประเภทน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ไม่มีตบมือข้างเดียว ซอกแซกแบบแนบเนียน นักการเมืองยุคไหนก็พิศวาสแบบขาดไม่ได้
เลยน่าสนใจ “อุตตม”ที่มีชื่อมาโผล่ในรัฐบาลนายพล ที่ออกจะเกลียดๆนักการเมือง จะไปรอดหรือไม่ ที่สำคัญ พรชัย รุจิประภา เสนาบดีคนเก่าทิ้งทุ่นเอาไว้ หวังว่าจะสานงานต่อ ไม่รู้เป็นการส่งไม้ต่อดีๆ หรือเป็นการประชดประชัน ดักคอ เพราะรู้ว่าคนใหม่มีนิสัยชอบอยู่กับเงินๆ ทองๆ จะมาทำลับๆ ล่อๆ อะไรหรือเปล่า เพราะกระทรวงนี้กำลังจะแปรสภาพไปเป็นกระทรวงดิจิตอลในอนาคต ที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องการสื่อสารหลายมิติ แล้วเสนาบดีคนใหม่ก็อยู่ในแวดวงนี้มาก่อน จะถูกคนระแวงว่า จะทำอะไรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันหรือไม่
แต่ในเมื่อรัฐบาลตัดสินใจเห็นว่า ลักษณะและทรงดี ก็ว่ากันไป ขณะที่เสนาบดีป้ายแดงคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม ที่ใช้ผู้เล่นคนเดิม ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันว่า มือไม่ถึงขึ้นมาให้ใหญ่กว่าเดิม ปรับแบบงงๆ ดันรัฐมนตรีช่วย ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการแทน แถมให้ข้าราชการ มาทำหน้าที่รัฐมนตรี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีกระแสว่าเบื่อหน่ายการทำงานของรัฐมนตรีบางคนที่ทำงานแบบข้าราชการ รอคำสั่งอย่างเดียว ปรับเที่ยวนี้ จึงแทบไม่มีมิติแห่งความคาดหวังอะไรเลย
คนที่เหนื่อย คงหนีไม่พ้น “สมคิด”หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ จะพาลูกทีมฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ชะลูดลงๆ ทุกวันได้หรือไม่ ยืนอยู่บนเขาควายระหว่าง "รุ่ง" กับ "ร่วง"
ขณะที่ภาพรวมตำแหน่งอื่นๆ โดนค่อนแคะหนักมาก ว่าเป็นการปรับที่เหมือนไม่ได้ปรับ ทำนองเหล้าเก่าในขวดใหม่ รัฐมนตรีทหารหลายคน ที่ผลงานไม่เอาอ่าว แค่ถูกเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางให้เท่านั้น สลับกันไปมา เหมือนเก้าอี้ดนตรี ไม่รู้ว่า จงใจปรับให้ถูกที่ถูกทางกว่าเดิม หรือปรับเพื่อหนีคำวิจารณ์งานชิ้นเก่า
ตอกลิ่มความเชื่อของคนก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในที่สุดจะไม่กล้าปรับนายพลออกแม้แต่คนเดียว เพราะเกรงอกเกรงใจกันทั้งที่บางคนทำงานไม่เป็น อย่างบรรดารองหัวหน้าคสช. บางคนโดนคนนินทาไม่มีชิ้นดี มีเสียงสะท้อนออกมาเยอะ แต่ก็ยังทู่ซี้ ดันไปนั่งเก้าอี้อื่น คือ อย่างไรก็ไม่เขี่ยทิ้ง ต้องอยู่เป็นผีเน่ากับโลงผุกันต่อไป จะเห็นได้ว่า เหล่าคสช. ยังอยู่กันครบทีม ไม่มีหลุด แม้สอบตก โพลล์ประจานกี่รอบ แต่ก็ยังเอาไปแขวนไว้เป็นรองนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีตำแหน่งแห่งหน อย่างนี้อย่าไปปฏิเสธชาวบ้านชาวช่องให้เหม็นขี้ฟันเลยว่า เปล่าต่างตอบแทน
**สุดท้ายรัฐบาลนายพล หรือรัฐบาลพลเรือน มันก็คือกัน พวกพ้องสำคัญเป็นลำดับแรก ส่วนเรื่องความชำนิชำนาญว่ากันทีหลัง ยึดคอนเซปต์ พี่น้องทหารเราไม่ทิ้งกัน จากนี้ต้องรับคำวิจารณ์ให้ได้ อย่ามาเหวี่ยงใส่ว่า ไม่เปลี่ยนครม. ก็ด่า พอเปลี่ยนก็ว่าอีก แต่ต้องพูดกันตามเนื้อผ้าในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะทีมนี้หลายคนหวังไว้เยอะว่า ถึงเวลามืออาชีพต้องลงมาเล่นเอง สถานการณ์ที่เป็นอยู่นอกเหนือจากงานด้านความมั่นคงแล้ว เหล่าท็อปบูต ยังสอบไม่ผ่านในเรื่องการบริหารเลย แต่พุดโธ่! ลายพรางอยู่ครบ
ทีมเศรษฐกิจที่“สมคิด”เอามา และการจัดทัพแปลกๆ ของ “บิ๊กตู่”ด้วยการดันข้าราชการขึ้นมาเป็นรัฐมนตรี แบบที่ปลัดเองคิดว่าตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการนั้นสูงแล้ว แต่ได้ขยับเป็นเสนาบดีแบบไม่รู้ตัว ไม่ต่างอะไรจากสามล้อถูกหวย เดาใจยากกับทฤษฎีการจัดขุนพลแบบนี้ ว่า เป็นเพราะไม่มีตัวเล่นอื่น ไปช่วนใคร เขาก็ไม่อยากร่วมหัวจมท้ายด้วย เพราะมีแต่จะเจ็บตัวและเข้าเนื้อ หรือแท้จริงเป็นเพราะมันปรับได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะมีคำว่า เพื่อนพ้องน้องพี่ ค้ำคออยู่กันแน่
ตามกระแสวงในแวดวงธุรกิจ ตอนนี้พอเห็นหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว ยังรู้สึกเฉยๆ เลยไปถึงส่ายหน้า เพราะทรงเดียวกับชุดก่อน เพียงแต่เปลี่ยนผู้เล่นอีกชุดมาแทน แถมตัวหลักของเก่ายังอยู่เพียบ
ไม่รู้“บิ๊กตู่”มั่นใจว่า“สมคิด”เจ๋งพอจะพาเรือแป๊ะข้ามมรสุมเศรษฐกิจไปได้ด้วยการจัดทัพเพียงเท่านี้ อย่าลืมว่า ตัวเองไม่ได้ปรับครม.พร่ำเพรื่อ แถมครม.ชุดนี้ เข้ามาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทางการเมืองและของรัฐบาล ทำดีมันก็ดีไป แต่ถ้าตรงกันข้าม นั่นหมายถึงความเป็นไปของรัฐบาลด้วย
** จะเป็นชุดสุดท้ายก่อนอำลาอำนาจ หรือจะมี “ครม.ตู่ 4” อีก