xs
xsm
sm
md
lg

บจ.ครึ่งปีกำไร4.4แสนล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โชว์ผลงานไตรมาส 2/58 กำไรสุทธิ 213,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.65% แม้มียอดขายลดลงจากผลกระทบด้านราคาน้ำมัน แต่สามารถบริหารต้นทุนได้ดีมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเป็น 23.18% ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปีกำไรสุทธิรวม 442,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.81%

นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประจำไตรมาส 2/2558 งวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ว่า บจ. มีกำไรสุทธิจำนวน 409 บริษัท คิดเป็น 80.04% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด โดยมีกำไรสุทธิ 213,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.65% จากงวดเดียวกันปีก่อน มียอดขายรวม 2,591,971 ล้านบาท ลดลง 7.89%

สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปี 2558 ของ บจ. เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับไตรมาส 2/2558 คือ มีกำไรสุทธิ 442,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.81% แต่มียอดขายรวม 5,115,359 ล้านบาท ลดลง 9.35% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานดังกล่าวคำนวณจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 511 บริษัท หรือคิดเป็น 93.42% จากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 547 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG)

“ไตรมาส 2/2558 และในงวดครึ่งแรกของปี 2558 บจ. มียอดขายลดลง เนื่องจากหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดปิโตรเคมีภัณฑ์มียอดขายลดลงจากราคาน้ำมันที่ปรับลง ทั้งนี้ หากไม่รวมหมวดธุรกิจดังกล่าว บจ. จะมียอดขายและมีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นจากงวดเดียวกันในปีก่อน อย่างไรก็ตาม บจ. ยังสามารถทำกำไรได้เติบโตต่อเนื่องเป็นเพราะ บจ. สามารถปรับตัวด้านการบริหารต้นทุนได้ดี มีประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้น โดยในไตรมาส 2/2558 มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจาก 19.69% เป็น 23.18% และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 7.17% เป็น 8.22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันในปีก่อน เช่นเดียวกับในงวดครึ่งแรกปี 2558 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจาก 19.37% เป็น 22.60% และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 7.55% เป็น 8.65%” นายสันติ กล่าว

ขณะเดียวกัน บจ. ยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2558 บจ. มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (debt to equity ratio) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.32 เท่า และมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest coverage ratio) ดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.05 เท่า โดยหมวดธุรกิจที่มีการเติบโตดีทั้งด้านยอดขายและกำไรสุทธิ ทั้งในช่วงไตรมาส 2/2558 และงวดครึ่งแรกปี 2558 ได้แก่ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดพาณิชย์ หมวดการแพทย์ หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ในส่วนของธุรกิจผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย (retail finance)

สำหรับความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 19 สิงหาคมปิดตลาดที่ 1,379.12 จุด เพิ่มขึ้น 6.51 จุด เปลี่ยนแปลง +0.47% มูลค่าการซื้อขาย 46,232.53 ล้านบาท ระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ 1,383.30 จุด และต่ำสุดที่ 1,370.24 จุด โดยสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2,660.50 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,621.16 ล้านบาท ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 731.06 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 4,550.61 ล้านบาท

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ระบุ ตลาดหุ้นไทยวานนี้น่าจะเป็นเทคนิครีบาวด์หลังร่วงไปแรงวันก่อนหน้า แต่การรีบาวด์รอบนี้อาจจะไปได้ไม่ไกล เนื่องจากสัญญาณ Fund Flow ยังอ่อนแอจากเงินบาทอ่อนค่า และนักลงทุนต่างชาติยังทำ short สุทธิในตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้า

“ตลาดฯมีความคาดหวังจากการปรับครม.ชุดใหม่ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ แต่ยังคงต้องรอดูความชัดเจนและผลการบริหารเศรษฐกิจอีกระยะสำหรับเหตุการณ์ระเบิดใจกลางกทม.นั้น ตลาดฯได้ตอบรับไปมากแล้วเมื่อวานนี้แล้ว ซึ่งหากไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นซ้ำอีก อาจจะทำให้แรงกดดันต่อตลาดฯน้อยลง แต่เชื่อว่าคงกระทบภาพรวมเศรษฐกิจจนอาจถึงขั้นต้องปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยลง เนื่องจากการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ” นายณัฐชาต กล่าว

พร้อมกันนี้ได้คาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีวันนี้(20 ส.ค.) ว่า น่าจะแกว่งตัวลักษณะไซด์เวย์ในกรอบ 1,370-1,390 จุด จึงคงนำแนะนำ เลือกหุ้นเน้นจำกัด downside โดยหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางตรงจากเหตุระเบิด (กลุ่มท่องเที่ยว) ยังมีความเสี่ยงทางลงและอาจต้องใช้เวลาในการฟื้น ในเชิงกลยุทธ์ ประเมินกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ สื่อสารและธนาคารน่าสนใจจากความเสี่ยงที่จำกัด รวมทั้งหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง
กำลังโหลดความคิดเห็น