เมื่อเวลา 10.30 น. วานนี้ (10 ส.ค.) ที่ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ศิลปาชีพประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี ครั้งที่ 4 ภายใต้ชื่อ "งาน OTOP ศิลปาชีพประทีปไทย สมเด็จแม่ทรงให้ภูมิปัญญาไทยสู่สากล" พร้อมด้วย นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และรองราชเลขาธิการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คณะทูตานุทูต มาร่วมงาน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงริเริ่มไว้ทั้งสิ้นโดยเริ่มจากพื้นที่ยากจน ที่พระองค์ท่านไม่เคยนึกถึงพระองค์เอง แต่นึกถึงแต่ประชาชน เงินที่ได้รับถวายก็นำให้ประชาชนผ่านโครงการต่างๆ วันนี้ทำไมเราไม่ทำอย่างพระองค์ท่าน ที่ทำให้คนมีอาชีพ มีรายได้เสริมขึ้นมา วันนี้คนจนขาดกำลังใจ จึงไม่ค่อยรู้สึกถึงปัญหาชาติ เพราะความจนที่ทำให้คิดอะไรไม่ออก
ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามทำให้คนพ้นจากความเหลื่อมล้ำ มีกินมีใช้ วันนี้รัฐบาลกำลังเชื่อมต่อสินค้าโอทอปกับศิลปาชีพ โดยเริ่มจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อยากให้สินค้าของไทยพัฒนาการออกแบบสินค้าให้ทันสมัย สร้างความแตกต่าง แต่ไม่ทำลายของเก่า และวันนี้สิ่งที่เราควรนำเสนอคือ เรื่องกิจกรรมจากอดีตที่ผ่านมา และต้องนำเสนอให้คนรู้ว่า ทำไมพระองค์ท่านทรงคิดเช่นนั้น นำสิ่งที่พระองค์ทรงคิด ทรงริเริ่ม ทรงให้ความรู้ได้ริเริ่มมาจากเหตุผลอะไร
ขณะนี้เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลง ไทยมีรายได้จากการส่งออกมาก แต่เราจะพึ่งส่งออกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพึ่งสินค้าการเกษตร โดยพัฒนาให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น ซึ่งวันนี้เรามีรายได้จากการท่องเที่ยวมาช่วยหนุน มีการปรับการท่องเที่ยวแนวใหม่ "ไทยเที่ยวไทย" แต่จากการตรวจสอบพบว่า คนไทยไปเที่ยวต่างประเทศจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศตอนนี้ไม่ได้เกิดจากเงินฝืด หรือเงินเฟ้อ แต่สถานการณ์เศรษฐกิจผันผวน เพราะคนไม่กล้าใช้เงิน ไม่ใช่เพียงประเทศเรา แต่ในต่างประเทศก็เป็นเหมือนกัน ซึ่งรัฐบาลในวันนี้ก็พยายามทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย มีกินมีใช้ อย่างพอเพียงตามแนวปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พยายามลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้โดยการสร้างเศรษฐกิจชุมชน เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง นำไปสู่เศรษฐกิจภูมิภาค ชายแดน และเขตเศรษฐกิจพิเศษ ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงต้นก่อนที่จะมีการเปิดงาน คณะจัดงานได้นำโขนชุดพิเศษจองถนน ตอน ยกรบสมานฉันท์ มาแสดงก่อนเปิดงาน ซึ่งมีเนื้อหาสื่อถึง ความสมานฉันท์ และการปรองดอง
พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวในช่วงหนึ่งของการเปิดงานว่า หลังจากได้ดูโขน ก็เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันของไทย วันนี้เราต้องการปรองดองสมานฉันท์ ในโขนมีหนุมานเพียวตัวเดียว ตอนนี้รัฐบาลก็กำลังจองถนนเพื่อไปสู่ประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน จึงต้องการหนุมานสัก 20 ตัว เพราะถนนของเราค่อนข้างขรุขระ ข้ามน้ำข้ามทะเลมา ขณะเดียวกันก็มีสัตว์ร้ายหลายตัวคอยจ้อง มีเสือร้าย ก็ต้องระมัดระวัง เพราะวันนี้กำลังจองถนนอยู่ ถนนประชาธิปไตย ซึ่งไม่ต้องเร่งรีบอะไรนัก เพราะเป็นไปตามโรดแมปที่เราวางไว้ อยากให้คนไทยทุกคนคิดถึงประวัติศาสตร์ในอดีต เพราะจะเป็นบทเรียนในวันนี้และวันต่อๆไป การสร้างอะไรใหม่ๆ เราไม่จำเป็นต้องไปทำลายประวัติศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องทำลายสิ่งที่เคยมีอยู่ เราต้องสร้างความต่อเนื่องให้ทั้งคนรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ผมได้เดินทางไปร่วมงานวันชาติสิงคโปร์ ได้ดูว่า 50 ปีที่ผ่านมาเขาทำอะไรบ้าง ก็ค่อนข้างอึดอัด อยากให้คนไทยเป็นเหมือนเขา แต่คงย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว เพราะคนไทยเหมือนลูกโป่งที่ปล่อยมานานแล้ว แต่ของสิงคโปร์เขาค่อยๆ ปล่อยออกมา จนวันนี้ทุกอย่างเรียบร้อย มีความก้าวหน้า มีความทันสมัย แค่ระยะเวลาเพียง 50 ปีเท่านั้น ผมก็นั่งคิดว่า ถ้าเราเริ่มตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ ประมาณ 200 ปี ยังไปไหนไม่ค่อยได้ คอยแต่ย้อนกลับไปสู่ที่เก่า ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ และคิดว่าต้องกลับมาสร้างความเข้าใจกับคนในชาติใหม่ว่า เราจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันให้ได้เหมือนโขนสองฝั่งที่ได้ชมเมื่อสักครู่ ที่เขาพยายามที่จะสร้างการรับรู้ให้กับพวกเรา ดังนั้นเราจะไปไหนไม่ได้ ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ ต่อให้มีหนุมาน ต่อให้มีหัวหน้า คสช. สัก 10 คน ก็ไปไม่ได้ทั้งหมด เพราะทุกคนมัวแต่มุ่งในสิ่งเดิมๆทั้งหมด ดังนั้นวันนี้เราต้องกลับมาทบทวนเหมือนอย่างประเทศสิงคโปร์ ที่ใช้เวลาเพียง 50 ปี จากประเทศที่ยากจนที่สุด มีคนน้อยที่สุด วันนี้มีคนถึง 5 ล้านกว่าคน แต่มีเศรษฐกิจดีระดับโลก ตอนไปพบผู้นำต่างประเทศ เขาก็ไม่ได้รังเกียจ และยังบอกด้วยว่าเขาอยากมาประเทศไทย และถามว่าประเทศไทยวันนี้มีเสถียรภาพ และสงบสุขหรือยัง ผมก็ตอบเขาไปว่า ประเทศไทยเลิกทะเลาะกันแล้ว แต่ถ้าทะเลาะกันอีก ก็จะเอาโขนไปสู้
" สิ่งแรกที่สิงคโปร์ทำคือ เอาความยากจนมาเป็นศูนย์รวมให้ทุกคนได้ร่วมกันจัดรัฐบาลในการทำงาน แต่ประเทศไทยกลับเอาความยากจน มาสร้างความขัดแย้ง จนเกิดความแตกต่าง ดังนั้นวันนี้เราต้องเอาความขัดแย้ง และความยากจน มาทำให้ทุกคนเข้าถึงทุกอย่าง ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกันเพื่อวางแผนอนาคตในวันข้างหน้า ไม่ย้อนกลับไปสู่ปัญหาที่เดิม" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงริเริ่มไว้ทั้งสิ้นโดยเริ่มจากพื้นที่ยากจน ที่พระองค์ท่านไม่เคยนึกถึงพระองค์เอง แต่นึกถึงแต่ประชาชน เงินที่ได้รับถวายก็นำให้ประชาชนผ่านโครงการต่างๆ วันนี้ทำไมเราไม่ทำอย่างพระองค์ท่าน ที่ทำให้คนมีอาชีพ มีรายได้เสริมขึ้นมา วันนี้คนจนขาดกำลังใจ จึงไม่ค่อยรู้สึกถึงปัญหาชาติ เพราะความจนที่ทำให้คิดอะไรไม่ออก
ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามทำให้คนพ้นจากความเหลื่อมล้ำ มีกินมีใช้ วันนี้รัฐบาลกำลังเชื่อมต่อสินค้าโอทอปกับศิลปาชีพ โดยเริ่มจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อยากให้สินค้าของไทยพัฒนาการออกแบบสินค้าให้ทันสมัย สร้างความแตกต่าง แต่ไม่ทำลายของเก่า และวันนี้สิ่งที่เราควรนำเสนอคือ เรื่องกิจกรรมจากอดีตที่ผ่านมา และต้องนำเสนอให้คนรู้ว่า ทำไมพระองค์ท่านทรงคิดเช่นนั้น นำสิ่งที่พระองค์ทรงคิด ทรงริเริ่ม ทรงให้ความรู้ได้ริเริ่มมาจากเหตุผลอะไร
ขณะนี้เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลง ไทยมีรายได้จากการส่งออกมาก แต่เราจะพึ่งส่งออกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพึ่งสินค้าการเกษตร โดยพัฒนาให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น ซึ่งวันนี้เรามีรายได้จากการท่องเที่ยวมาช่วยหนุน มีการปรับการท่องเที่ยวแนวใหม่ "ไทยเที่ยวไทย" แต่จากการตรวจสอบพบว่า คนไทยไปเที่ยวต่างประเทศจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศตอนนี้ไม่ได้เกิดจากเงินฝืด หรือเงินเฟ้อ แต่สถานการณ์เศรษฐกิจผันผวน เพราะคนไม่กล้าใช้เงิน ไม่ใช่เพียงประเทศเรา แต่ในต่างประเทศก็เป็นเหมือนกัน ซึ่งรัฐบาลในวันนี้ก็พยายามทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย มีกินมีใช้ อย่างพอเพียงตามแนวปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พยายามลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้โดยการสร้างเศรษฐกิจชุมชน เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง นำไปสู่เศรษฐกิจภูมิภาค ชายแดน และเขตเศรษฐกิจพิเศษ ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงต้นก่อนที่จะมีการเปิดงาน คณะจัดงานได้นำโขนชุดพิเศษจองถนน ตอน ยกรบสมานฉันท์ มาแสดงก่อนเปิดงาน ซึ่งมีเนื้อหาสื่อถึง ความสมานฉันท์ และการปรองดอง
พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวในช่วงหนึ่งของการเปิดงานว่า หลังจากได้ดูโขน ก็เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันของไทย วันนี้เราต้องการปรองดองสมานฉันท์ ในโขนมีหนุมานเพียวตัวเดียว ตอนนี้รัฐบาลก็กำลังจองถนนเพื่อไปสู่ประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน จึงต้องการหนุมานสัก 20 ตัว เพราะถนนของเราค่อนข้างขรุขระ ข้ามน้ำข้ามทะเลมา ขณะเดียวกันก็มีสัตว์ร้ายหลายตัวคอยจ้อง มีเสือร้าย ก็ต้องระมัดระวัง เพราะวันนี้กำลังจองถนนอยู่ ถนนประชาธิปไตย ซึ่งไม่ต้องเร่งรีบอะไรนัก เพราะเป็นไปตามโรดแมปที่เราวางไว้ อยากให้คนไทยทุกคนคิดถึงประวัติศาสตร์ในอดีต เพราะจะเป็นบทเรียนในวันนี้และวันต่อๆไป การสร้างอะไรใหม่ๆ เราไม่จำเป็นต้องไปทำลายประวัติศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องทำลายสิ่งที่เคยมีอยู่ เราต้องสร้างความต่อเนื่องให้ทั้งคนรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ผมได้เดินทางไปร่วมงานวันชาติสิงคโปร์ ได้ดูว่า 50 ปีที่ผ่านมาเขาทำอะไรบ้าง ก็ค่อนข้างอึดอัด อยากให้คนไทยเป็นเหมือนเขา แต่คงย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว เพราะคนไทยเหมือนลูกโป่งที่ปล่อยมานานแล้ว แต่ของสิงคโปร์เขาค่อยๆ ปล่อยออกมา จนวันนี้ทุกอย่างเรียบร้อย มีความก้าวหน้า มีความทันสมัย แค่ระยะเวลาเพียง 50 ปีเท่านั้น ผมก็นั่งคิดว่า ถ้าเราเริ่มตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ ประมาณ 200 ปี ยังไปไหนไม่ค่อยได้ คอยแต่ย้อนกลับไปสู่ที่เก่า ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ และคิดว่าต้องกลับมาสร้างความเข้าใจกับคนในชาติใหม่ว่า เราจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันให้ได้เหมือนโขนสองฝั่งที่ได้ชมเมื่อสักครู่ ที่เขาพยายามที่จะสร้างการรับรู้ให้กับพวกเรา ดังนั้นเราจะไปไหนไม่ได้ ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ ต่อให้มีหนุมาน ต่อให้มีหัวหน้า คสช. สัก 10 คน ก็ไปไม่ได้ทั้งหมด เพราะทุกคนมัวแต่มุ่งในสิ่งเดิมๆทั้งหมด ดังนั้นวันนี้เราต้องกลับมาทบทวนเหมือนอย่างประเทศสิงคโปร์ ที่ใช้เวลาเพียง 50 ปี จากประเทศที่ยากจนที่สุด มีคนน้อยที่สุด วันนี้มีคนถึง 5 ล้านกว่าคน แต่มีเศรษฐกิจดีระดับโลก ตอนไปพบผู้นำต่างประเทศ เขาก็ไม่ได้รังเกียจ และยังบอกด้วยว่าเขาอยากมาประเทศไทย และถามว่าประเทศไทยวันนี้มีเสถียรภาพ และสงบสุขหรือยัง ผมก็ตอบเขาไปว่า ประเทศไทยเลิกทะเลาะกันแล้ว แต่ถ้าทะเลาะกันอีก ก็จะเอาโขนไปสู้
" สิ่งแรกที่สิงคโปร์ทำคือ เอาความยากจนมาเป็นศูนย์รวมให้ทุกคนได้ร่วมกันจัดรัฐบาลในการทำงาน แต่ประเทศไทยกลับเอาความยากจน มาสร้างความขัดแย้ง จนเกิดความแตกต่าง ดังนั้นวันนี้เราต้องเอาความขัดแย้ง และความยากจน มาทำให้ทุกคนเข้าถึงทุกอย่าง ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกันเพื่อวางแผนอนาคตในวันข้างหน้า ไม่ย้อนกลับไปสู่ปัญหาที่เดิม" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว