เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลปกครองได้เผยแพร่คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ กลับคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 555/2558 ที่นายไพฑูรย์ สุริยะวงศ์ไพศาล กับพวกรวม 3 ราย ยื่นฟ้องนายกสมาคมกรุงเทพมหานคร และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-2 กรณี ขอให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร ที่ไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ รมว.มหาดไทย ที่ยกอุทธรณ์ของนายไพฑูรย์ กับพวกรวม 3 ราย ผู้ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมดังกล่าว
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสาม ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย ต่อนายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานคร ไปเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2548 เมื่อนายทะเบียนฯได้รับคำขอ และได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ยังไม่สมควรอนุญาตให้จัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย เพราะอาจกระทบความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย - จีน จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตรับจดทะเบียนดังกล่าว
ผู้ฟ้องคดีทั้งสาม จึงได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งไม่อนุญาตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยเมื่อได้รับเรื่องแล้ว ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า คำสั่งไม่อนุญาตรับจดทะเบียนของนายทะเบียนฯ ชอบแล้ว จึงมีคำสั่งยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม ผู้ฟ้องคดีทั้งสามจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล โดยศาลปกครองกลาง พิพากษายกฟ้อง ผู้ฟ้องคดีทั้งสามจึงยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ต่อศาลปกครองสูงสุด
ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ระบุว่า ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาตามวัตถุประสงค์ ที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสาม ยื่นคำขอจัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย โดยระบุว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1. ส่งเสริมการฝึกซี่กงแบบฝ่าหลุนกง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกายและใจ 2. เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข่าวสารแก่สมาชิกและบุคคลทั่วไป 3. เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้ฝึก 4. ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับฝ่าหลุนกงให้กับบุคคลทั่วไป 5. เป็นสมาคมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ศาสนา หรือลัทธิใดๆ และ 6. เป็นสมาคมที่ไม่มีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ และไม่แสวงหากำไร ซึ่งตามวัตถุประสงค์ของสมาคมที่ปรากฏนี้ ถือได้ว่าไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือไม่เป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ
การที่นายทะเบียนฯ ปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคม โดยเห็นว่า หากรับจดทะเบียนแล้ว อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดีกับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น การกล่าวอ้างการกระทำที่เกิดขึ้นของกลุ่มบุคคล แต่มิใช่เป็นการกระทำของสมาคม เพราะนายทะเบียนฯ ยังไม่ได้รับจดทะเบียน ข้อกล่าวอ้างดังกล่าว จึงเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าในการกระทำของสมาคม ซึ่งหากความปรากฏภายหลังว่า นายทะเบียนฯ ได้จดทะเบียนให้แก่สมาคมแล้ว และหากปรากฏว่าการดำเนินกิจการของสมาคมขัดต่อกฎหมาย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ นายทะเบียนฯ ย่อมอาศัยอำนาจตาม มาตรา 102 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สั่งถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้ หรือ ตามมาตรา 104 แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าว ในกรณีมีเหตุตาม มาตรา 102 ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้นายทะเบียนฯ ถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้
ดังนั้น การดำเนินกิจการของสมาคม ตามความเชื่อ และข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับ ฝ่าหลุนกง บุคคลทั่วไปย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามความเชื่อถือของตน และย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ เว้นแต่การปฏิบัตินั้น เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ส่วนการรับจดทะเบียนสมาคม นอกจากเรื่องวัตถุประสงค์ของสมาคมแล้ว ยังมีเงื่อนไขและข้อกำหนดอีกหลายประการ ที่นายทะเบียนฯ จะต้องพิจารณา ตาม มาตรา 82 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก่อนที่จะรับจดทะเบียน และออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แก่สมาคม ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายปกครอง ต้องไปดำเนินการต่อไป จึงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็น ให้เพิกถอนคำสั่งของ นายทะเบียนกรุงเทพมหานคร ที่ไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของรมว.มหาดไทย ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม
**"บัวแก้ว"รับทราบทูตจีนขอพบ”บิ๊กตู่”
นายกกชัย ฉายรัศมีกุล ผู้อำนวยการส่วนการรักษาความเรียบร้อย 2 (สรร.2) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากคำพิพากษาดังกล่าว นายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานคร คือ ปลัดกรุงเทพมหานคร อาจจะต้องจดทะเบียนให้กับสมาคมฯ ขณะเดียวกันผู้จัดตั้งสมาคม ในฐานะผู้ฟ้องคดี ได้ประสานมาทาง สรร.2 แล้ว
"เราก็แนะนำให้ไปยื่นเรื่องตามกระบวนการการขอจดทะเบียนในกรุงเทพมหานคร โดยจะต้องเริ่มขอจัดตั้งที่สำนักงานเขต จากนั้นจึงส่งเรื่องไปให้สำนักงานปลัดกรุงเทพมหานคร แล้วจึงส่งต่อมายังกรมการปกครอง ที่มีอธิบดีกรมการปกครอง เป็นนายทะเบียนฯ ตามที่รมว.มหาดไทย ได้มีคำสั่งจัดตั้งเมื่อนานมาแล้ว ในส่วนพื้นที่ต่างจังหวัด ทางผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นนายทะเบียน"
นายกกชัย กล่าวต่อว่า ถ้าเขายื่นเรื่องโดยอ้างอิงถึงคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เราก็จะต้องมาดูอีกทีว่า จะจดทะเบียนให้เขาได้หรือไม่ ส่วนแนวโน้มการจัดตั้ง คงยังตอบไม่ได้ เหมือนกับว่าทางกระทรวงการต่างประเทศ เขาก็ประสานมาว่า ทางสถานทูตจีนเขาไม่สบายใจ ที่ศาลมีคำพิพากษาออกมา ประมาณว่า อาจกระทบความสัมพันธ์ไทยกับจีน ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร ยังไม่ชัดเจนว่าผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ มีรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศว่า เบื้องต้นสถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้แจ้งผ่านกระทรวงการต่างประเทศ จะขอเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขณะที่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้ประสานขอสำเนาคำพิพากษาของศาลปกครอง และประสานกระทรวงการต่างประเทศจัดทำข้อมูล
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศซึ่งอยู่ระหว่างร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 48 ที่มาเลเซีย ก็รับทราบเรื่องนี้แล้ว
**”ฝ่าหลุนกง” ลัทธิต้องห้ามในจีน
สำหรับ "ลัทธิฝ่าหลุนกง" เกิดขึ้นจาก นายหลี่ หงจื้อ ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา แต่ภายหลังเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน ก็อ้างว่าสำเนาทะเบียนบ้านหายไป จึงไปแจ้งวันเดือนปีเกิดใหม่ ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา และอุปโลกน์ว่า ตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด
นายหลี่ หงจื้อ ได้นำเอาท่ามวยไท้เก๊ก ผสมท่ามวยสำนักต่างๆ ท่ารำไทยผสานกันเป็นท่าเฉพาะ ของการฝึก "พลังศักยภาพ" และนำเอาคำศัพท์ของศาสนาพุทธ เต๋า และคริสต์ มาผสมกันจนเกิดเป็นคำศัพท์เฉพาะของฝ่าหลุนกง สร้างความเชื่อถือให้แก่ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงเป็นจำนวนมาก
ในตอนต้นทางการจีนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ มากนักกับการเติบโตของ "ฝ่าหลุ่นกง" จนกระทั่งสาวกลัทธินี้ ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจีนรับรองว่า ฝ่าหลุนกง เป็นศาสนาหนึ่ง เมื่อรัฐบาลจีนไม่รับรอง ก็ก่อการประท้วงเกิดขึ้นเนืองๆ ในช่วงพ.ศ. 2540-2541 รัฐบาลจีนจึงเริ่มจับตามองความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด และเริ่มเห็นว่าเป็นความเคลื่อนไหวทางที่มีความเกี่ยวโยงทางการเมือง ที่มุ่งสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลจีน และพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะมีระบบการจัดตั้งที่รัดกุม และการดำเนินการไปในทางลับ กระทั่งสามารถจัดการประท้วงโดยสาวกจำนวน 10,000 คนปิดล้อมจง หนานไห่ ที่พำนัก และที่ทำการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อเช้าวันที่ 25 เม.ย. 2542
รัฐบาลจีนจึงถือว่าฝ่าหลุนกงเป็นขบวนการผิดกฎหมายอย่างเป็นทางการ และเริ่มดำเนินการปราบปรามในปี 2542 นั้นเอง
ทั้งนี้ มีหลักฐานจากทางการจีนที่ระบุว่า เพียง 2-3ปี ที่ หลี่ หงจื้อ จัดการฝึกวิชาฝ่าหลุนกง 56 รุ่น เก็บเงินได้กว่า 3 ล้านหยวน และขายหนังสือ วีดิโอเทป ได้กำไรถึง 3,886 ล้านหยวน แล้วขนเงินจำนวนหนึ่งไปซื้อกรีนการ์ด บ้าน และรถยนต์ ในสหรัฐอเมริกา โดยตัวเขาไปพำนักในนิวยอร์ก ก่อนที่ทางการจีนจะทำการปราบปราม
และจนถึงปัจจุบันนี้ รัฐบาลจีน ก็ยังคงเชื่อว่า ขบวนการนี้มีเบื้องหลังทางการเมืองที่จะปลุกประชาชนจีนให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลจีน และพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมทั้งเชื่อว่าเป็นแผนการทำลายประเทศจีนของมหาอำนาจบางประเทศ เพราะผู้นำขบวนการฝ่าหลุนกง หนีไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้รับการสนับสนุนจากบางองค์กรของสหรัฐอเมริกา และไต้หวัน
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสาม ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย ต่อนายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานคร ไปเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2548 เมื่อนายทะเบียนฯได้รับคำขอ และได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ยังไม่สมควรอนุญาตให้จัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย เพราะอาจกระทบความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย - จีน จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตรับจดทะเบียนดังกล่าว
ผู้ฟ้องคดีทั้งสาม จึงได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งไม่อนุญาตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยเมื่อได้รับเรื่องแล้ว ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า คำสั่งไม่อนุญาตรับจดทะเบียนของนายทะเบียนฯ ชอบแล้ว จึงมีคำสั่งยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม ผู้ฟ้องคดีทั้งสามจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล โดยศาลปกครองกลาง พิพากษายกฟ้อง ผู้ฟ้องคดีทั้งสามจึงยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ต่อศาลปกครองสูงสุด
ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ระบุว่า ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาตามวัตถุประสงค์ ที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสาม ยื่นคำขอจัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย โดยระบุว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1. ส่งเสริมการฝึกซี่กงแบบฝ่าหลุนกง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกายและใจ 2. เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข่าวสารแก่สมาชิกและบุคคลทั่วไป 3. เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้ฝึก 4. ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับฝ่าหลุนกงให้กับบุคคลทั่วไป 5. เป็นสมาคมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ศาสนา หรือลัทธิใดๆ และ 6. เป็นสมาคมที่ไม่มีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ และไม่แสวงหากำไร ซึ่งตามวัตถุประสงค์ของสมาคมที่ปรากฏนี้ ถือได้ว่าไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือไม่เป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ
การที่นายทะเบียนฯ ปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคม โดยเห็นว่า หากรับจดทะเบียนแล้ว อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดีกับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น การกล่าวอ้างการกระทำที่เกิดขึ้นของกลุ่มบุคคล แต่มิใช่เป็นการกระทำของสมาคม เพราะนายทะเบียนฯ ยังไม่ได้รับจดทะเบียน ข้อกล่าวอ้างดังกล่าว จึงเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าในการกระทำของสมาคม ซึ่งหากความปรากฏภายหลังว่า นายทะเบียนฯ ได้จดทะเบียนให้แก่สมาคมแล้ว และหากปรากฏว่าการดำเนินกิจการของสมาคมขัดต่อกฎหมาย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ นายทะเบียนฯ ย่อมอาศัยอำนาจตาม มาตรา 102 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สั่งถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้ หรือ ตามมาตรา 104 แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าว ในกรณีมีเหตุตาม มาตรา 102 ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้นายทะเบียนฯ ถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้
ดังนั้น การดำเนินกิจการของสมาคม ตามความเชื่อ และข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับ ฝ่าหลุนกง บุคคลทั่วไปย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามความเชื่อถือของตน และย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ เว้นแต่การปฏิบัตินั้น เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ส่วนการรับจดทะเบียนสมาคม นอกจากเรื่องวัตถุประสงค์ของสมาคมแล้ว ยังมีเงื่อนไขและข้อกำหนดอีกหลายประการ ที่นายทะเบียนฯ จะต้องพิจารณา ตาม มาตรา 82 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก่อนที่จะรับจดทะเบียน และออกใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนให้แก่สมาคม ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายปกครอง ต้องไปดำเนินการต่อไป จึงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็น ให้เพิกถอนคำสั่งของ นายทะเบียนกรุงเทพมหานคร ที่ไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของรมว.มหาดไทย ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม
**"บัวแก้ว"รับทราบทูตจีนขอพบ”บิ๊กตู่”
นายกกชัย ฉายรัศมีกุล ผู้อำนวยการส่วนการรักษาความเรียบร้อย 2 (สรร.2) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากคำพิพากษาดังกล่าว นายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานคร คือ ปลัดกรุงเทพมหานคร อาจจะต้องจดทะเบียนให้กับสมาคมฯ ขณะเดียวกันผู้จัดตั้งสมาคม ในฐานะผู้ฟ้องคดี ได้ประสานมาทาง สรร.2 แล้ว
"เราก็แนะนำให้ไปยื่นเรื่องตามกระบวนการการขอจดทะเบียนในกรุงเทพมหานคร โดยจะต้องเริ่มขอจัดตั้งที่สำนักงานเขต จากนั้นจึงส่งเรื่องไปให้สำนักงานปลัดกรุงเทพมหานคร แล้วจึงส่งต่อมายังกรมการปกครอง ที่มีอธิบดีกรมการปกครอง เป็นนายทะเบียนฯ ตามที่รมว.มหาดไทย ได้มีคำสั่งจัดตั้งเมื่อนานมาแล้ว ในส่วนพื้นที่ต่างจังหวัด ทางผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นนายทะเบียน"
นายกกชัย กล่าวต่อว่า ถ้าเขายื่นเรื่องโดยอ้างอิงถึงคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เราก็จะต้องมาดูอีกทีว่า จะจดทะเบียนให้เขาได้หรือไม่ ส่วนแนวโน้มการจัดตั้ง คงยังตอบไม่ได้ เหมือนกับว่าทางกระทรวงการต่างประเทศ เขาก็ประสานมาว่า ทางสถานทูตจีนเขาไม่สบายใจ ที่ศาลมีคำพิพากษาออกมา ประมาณว่า อาจกระทบความสัมพันธ์ไทยกับจีน ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร ยังไม่ชัดเจนว่าผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ มีรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศว่า เบื้องต้นสถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้แจ้งผ่านกระทรวงการต่างประเทศ จะขอเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขณะที่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้ประสานขอสำเนาคำพิพากษาของศาลปกครอง และประสานกระทรวงการต่างประเทศจัดทำข้อมูล
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศซึ่งอยู่ระหว่างร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 48 ที่มาเลเซีย ก็รับทราบเรื่องนี้แล้ว
**”ฝ่าหลุนกง” ลัทธิต้องห้ามในจีน
สำหรับ "ลัทธิฝ่าหลุนกง" เกิดขึ้นจาก นายหลี่ หงจื้อ ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา แต่ภายหลังเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน ก็อ้างว่าสำเนาทะเบียนบ้านหายไป จึงไปแจ้งวันเดือนปีเกิดใหม่ ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา และอุปโลกน์ว่า ตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด
นายหลี่ หงจื้อ ได้นำเอาท่ามวยไท้เก๊ก ผสมท่ามวยสำนักต่างๆ ท่ารำไทยผสานกันเป็นท่าเฉพาะ ของการฝึก "พลังศักยภาพ" และนำเอาคำศัพท์ของศาสนาพุทธ เต๋า และคริสต์ มาผสมกันจนเกิดเป็นคำศัพท์เฉพาะของฝ่าหลุนกง สร้างความเชื่อถือให้แก่ผู้ฝึกฝ่าหลุนกงเป็นจำนวนมาก
ในตอนต้นทางการจีนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ มากนักกับการเติบโตของ "ฝ่าหลุ่นกง" จนกระทั่งสาวกลัทธินี้ ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจีนรับรองว่า ฝ่าหลุนกง เป็นศาสนาหนึ่ง เมื่อรัฐบาลจีนไม่รับรอง ก็ก่อการประท้วงเกิดขึ้นเนืองๆ ในช่วงพ.ศ. 2540-2541 รัฐบาลจีนจึงเริ่มจับตามองความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด และเริ่มเห็นว่าเป็นความเคลื่อนไหวทางที่มีความเกี่ยวโยงทางการเมือง ที่มุ่งสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลจีน และพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะมีระบบการจัดตั้งที่รัดกุม และการดำเนินการไปในทางลับ กระทั่งสามารถจัดการประท้วงโดยสาวกจำนวน 10,000 คนปิดล้อมจง หนานไห่ ที่พำนัก และที่ทำการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อเช้าวันที่ 25 เม.ย. 2542
รัฐบาลจีนจึงถือว่าฝ่าหลุนกงเป็นขบวนการผิดกฎหมายอย่างเป็นทางการ และเริ่มดำเนินการปราบปรามในปี 2542 นั้นเอง
ทั้งนี้ มีหลักฐานจากทางการจีนที่ระบุว่า เพียง 2-3ปี ที่ หลี่ หงจื้อ จัดการฝึกวิชาฝ่าหลุนกง 56 รุ่น เก็บเงินได้กว่า 3 ล้านหยวน และขายหนังสือ วีดิโอเทป ได้กำไรถึง 3,886 ล้านหยวน แล้วขนเงินจำนวนหนึ่งไปซื้อกรีนการ์ด บ้าน และรถยนต์ ในสหรัฐอเมริกา โดยตัวเขาไปพำนักในนิวยอร์ก ก่อนที่ทางการจีนจะทำการปราบปราม
และจนถึงปัจจุบันนี้ รัฐบาลจีน ก็ยังคงเชื่อว่า ขบวนการนี้มีเบื้องหลังทางการเมืองที่จะปลุกประชาชนจีนให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลจีน และพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมทั้งเชื่อว่าเป็นแผนการทำลายประเทศจีนของมหาอำนาจบางประเทศ เพราะผู้นำขบวนการฝ่าหลุนกง หนีไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้รับการสนับสนุนจากบางองค์กรของสหรัฐอเมริกา และไต้หวัน