ASTVผู้จัดการรายวัน-14 นักศึกษาได้รับการปล่อยตัวแล้ว หลังสิ้นสุดกำหนดฝากขังผลัดแรก และศาลทหารไม่อนุญาตให้ฝากขังผลัดที่ 2 เผยญาติและเพื่อน พร้อมสื่อมวลชนมารอกันอย่างหนาแน่นหน้าเรือนจำ "บิ๊กตู่"บอกขี้เกียจพูดเรื่องนี้แล้ว ขอให้จบไป ระบุ รมว.ยุติธรรมว่าไงก็ว่างั้น ย้ำต่อเยาวชนไทยในสหรัฐฯ ขอให้ช่วยทำความเข้าใจต่างชาติถึงความสำคัญ ม.112 ด้าน คสช. ยืนยันไม่เกี่ยวจับกุมนักศึกษา กสม.จี้นายกฯ จัดการทหารปลอม หลังทั้งนศ. พ่อแม่ ยืนยันถูกคุมคาม ผบ.ตร.เผยไม่จำเป็นต้องส่งสันติบาลประกบ หลังปล่อยตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 05.30 น.วานนี้ (8 ก.ค.) นักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ทั้ง 14 คน ได้รับการปล่อยตัวแล้วที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง หลังสิ้นสุดกำหนดฝากขังผลัดแรก โดยมีญาติและเพื่อนพร้อมด้วยสื่อมวลชนมาเฝ้ารอการปล่อยตัวกันอย่างหนาแน่น
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7ก.ค. ที่ผ่านมา นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวถึงกรณีศาลทหารไม่อนุญาตให้ฝากขัง 14 นักศึกษา เป็นผลัดที่ 2 เนื่องจากไม่มีความจำเป็น ว่า ตามกระบวนการเรือนจำจะต้องควบคุมตัวผู้ต้องขังให้ครบฝากขังผลัดแรก 12 วัน ซึ่งผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวในวันที่ 26 มิ.ย. จะครบกำหนด 12 วัน ในเวลา 24.00 น. ของวันที่ 7 ก.ค. แต่โดยปกติเรือนจำจะไม่ปล่อยตัวในยามวิกาล จึงต้องปล่อยตัวในช่วงเช้าวันถัดไป (8 ก.ค.)
สำหรับคดีนี้ พนักงานสอบสวนจะสรุปสำนวนคดีให้อัยการทหาร ซึ่งถ้าพิจารณาสั่งฟ้องก็จะเข้าสู่กระบวนการ ที่ศาลทหารจะวินิจฉัยว่าจะสั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้องต่อไป โดยข้อกล่าวหานักศึกษา 14 คน คือ การเคลื่อนไหวต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. เป็นการรวมตัวชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งขัดคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และขัดกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
***"ประยุทธ์"บอกพอแล้วเลิกพูด
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ากลุ่มนักศึกษาที่ได้รับการปล่อยตัวออกมา ยังมีการเตรียมการที่จะเคลื่อนไหวต่อไป ว่า พอแล้วๆๆ ขี้เกียจพูดแล้ว พอแล้ว คุณก็จะไปพูดถึงเขาทำไม ก็เขาเมตตาแล้ว ก็ยังพูดยังขุดอยู่นั่น ไม่รู้จะขุดกันไปทำอะไรไม่รู้ สื่อก็ไปเรียกเขาออกมาซิ สื่อไปชวนเขามาเลย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม พูดว่าอย่างไร ก็ตามนั้น เป็นเรื่องของกฎหมาย
**ขอเยาวชนไทยช่วยพูดให้ต่างชาติเข้าใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้น เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้การต้อนรับ คณะโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 10 จำนวน 37 คน พร้อมผู้ปกครอง 76 คน โดยโครงการดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อร่วมถวายพระพร และร่วมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งร่วมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดี ที่แสดงให้เห็นถึงความรักในแผ่นดินแม่ และขอบคุณทางผู้ปกครอง ที่คิดถึงแผ่นดินไทย รวมทั้งสร้างความเข้าใจที่ดีให้แก่เยาวชน โดยเยาวชนถือเป็นทูตพิเศษ ที่จะทำให้ต่างชาติรู้สึกและเข้าใจสิ่งดีของประเทศไทย โดยวันนี้ รู้สึกเป็นห่วงในเรื่องของสื่อโซเชียลมีเดีย เยาวชนต้องเลือกเสพสิ่งที่มีประโยชน์ ต้องพิจารณาให้ดี มีสติสัมปชัญญะ รู้เหตุรู้ผล และหาข้อมูลเพิ่มเติม ต้องอย่าไปเชื่อทุกอย่างโดยไม่มีเหตุผล เพราะเยาวชนที่มาวันนี้ต่างอยู่ในประเทศที่เจริญกว่าเรา และอยากให้ช่วยรัฐบาลในการทำความเข้าใจกับต่างชาติว่าเรากำลังพยายามสร้างประเทศให้มีความเข้มแข็ง เพราะที่ผ่านมามีหลายด้านที่ต้องหยุดชะงัก บ้านเมืองเดินต่อไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลชั่วคราว ไม่ได้ทำอะไรที่เกิดความเสียหาย แต่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ
"ประชาธิปไตยอาจเป็นระบอบที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ดีทั้งหมด มีหลายอย่างที่ต่างชาติยอมรับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีทั้งหมด มันดีตรงที่ประชาชนมีส่วนร่วม โดยหน้าที่ 3 ประการ คือ เลือกตั้ง ลงประชามติ และให้ผู้แทนแก้ปัญหา ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งส่วน และผมก็เลือกตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่ได้รับการแก้ไข และหนักขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้องหยุดสักระยะหนึ่งก่อน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เข้มแข็งก่อนเดินหน้าต่อไป ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทำให้เรียบร้อย ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องอย่างนี้ และต้องขอโทษน้องๆ หลานๆ ด้วย แต่มันเป็นเหตุจำเป็น" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
**ชี้แจงความสำคัญของ มาตรา 112
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอให้เยาวชนนึกถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนทั้งชาติมายาวนาน ไม่เหมือนประเทศอื่น ก่อนหน้านี้ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ การประปา และอื่นๆ จากนั้นจึงมีรัฐบาลมาทำต่อ แต่สิ่งที่สำคัญคือหลายๆ คน หลายๆ พวก พยายามที่จะนำสถาบันของเราไปเปรียบเทียบกับที่อื่น ซึ่งคงไม่ได้ เพราะของเรามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เก่าแก่ เปรียบเหมือนสมมุติเทพ พระมหากษัตริย์ ไม่เกี่ยวข้องกับใคร อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง เมื่อมีคนเข้าไปก้าวล่วง จึงต้องมีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งคล้ายกับกฎหมายหมิ่นประมาท เพราะเมื่อใครมาหมิ่นเรา เราสามารถฟ้องร้องได้ แต่ถ้าเป็นสถาบันฯ จะไม่สามารถฟ้องร้องได้ เพราะพระองค์ท่านไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ กฎหมายดังกล่าวทุกรัฐบาลสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องพระองค์ แต่คนกลับมองในเรื่องของสิทธิมนุษยชน
"ถามว่า ถ้ามีใครมาว่าพ่อของคุณ คุณยอมไหม เราก็ไม่ยอมเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นพ่อแม่เรา เราฟ้องได้ แต่พระมหากษัตริย์ไม่ได้ยุ่งเกี่ยว จึงฟ้องไม่ได้ แล้วใครจะดูแลท่าน ก็ต้องเป็นคนไทย ใครที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ผมว่าไม่ใช่คนไทย แย่ เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จึงฝากคณะทำงานชี้แจงด้วยว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไม่เหมือนที่อื่น" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
** คสช.ยันไม่มีส่วนรู้เห็นจับกุมนศ.
ในวันเดียวกันนี้ คณะอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง ในสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่มี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิฯ เป็นประธาน ได้ประชุมกรณีการจับกุมนักศึกษา14 คน ข้อหาทำผิดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 116 และขัดคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3/2558 โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการชี้แจง อาทิ พ.อ.นุรัช กองแก้ว รอง ผอ.สำนักงานพระธรรมนูญ ในฐานะตัวแทน คสช. นายสมพร มูสิกะ กรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ อนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน และ นายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะฝ่ายพยานผู้เชี่ยวชาญ
ทั้งนี้ อนุกรรมการฯ และพยานผู้เชี่ยวชาญได้ซักถามตัวแทน คสช.ว่า ทหารมีส่วนเกี่ยวข้อง หรืออยู่ในพื้นที่ ขณะที่มีการจับกุมนักศึกษาหรือไม่ คสช.ได้มีการพิจารณาหรือไม่ว่า ความผิดในเชิงสิทธิเสรีภาพไม่จำเป็นต้องขึ้นศาลทหาร และกรณีมีการกล่าวอ้างว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ทหาร ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ไปพบผู้ปกครองของนักศึกษาในลักษณะข่มขู่คุกคาม กรณีพยายามตรวจค้นรถทนายความของนักศึกษากลุ่มดังกล่าว อีกทั้งหลังจากนี้หากมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองเกิดขึ้นอีก คสช. จะมีนโยบายในการจัดการเรื่องดังกล่าวอย่างไร
พ.อ.นุรัช กองแก้ว กล่าวยืนยันว่า ในขั้นตอนการจับกุม มีแต่เจ้าหน้าตำรวจปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ทหารไม่ส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งที่อ้างว่า ทหารในนอกเครื่องแบบไปสะกดรอยตาม ไปพบผู้ปกครองนักศึกษา พูดจาในลักษณะคุกคามก็ยืนยันว่าไม่มี ส่วนความผิดในเชิงสิทธิเสรีภาพจะต้องขึ้นศาลทหารหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของนโยบายไม่สามารถตอบได้
อย่างไรก็ตาม คสช.ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนเรื่องนโยบาย คสช.จะเป็นอย่างไรนั้น ขอให้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรสอบถามไปยัง คสช.โดยตรง ส่วนตัวเห็นว่า เมื่อกฎหมายมีอย่างไรก็ให้ปฏิบัติไปตามกฎหมาย
** จี้นายกฯหาตัวทหารปลอมข่มขู่นศ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำชี้แจงของผู้แทนฝ่ายคสช. ทำให้ นายวีระ สมความคิด อนุกรรมการฯ กล่าวว่า หากยืนยันว่า ไม่มีทหารเกี่ยวข้องทั้งในการจับกุมนักศึกษา หรือการไปคุกคามผู้ปกครอง แต่เมื่อทั้งนักศึกษา และผู้ปกครองต่างยืนยันเช่นกันว่า มีจริง และยังจำหน้าได้ แสดงว่าทหารที่ตามคำกล่าวอ้างนั้น เป็นทหารปลอม จึงอยากฝากให้ไปเรียนนายกฯ ว่าควรรีบดำเนินการหาตัวทหารปลอม เพราะนี่เป็นเรื่องแปลก ไม่รู้สึกเสียหาย หรือคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรรีบจัดการบ้างหรือไม่
** ชี้การบังคับใช้กฎหมายมีปัญหา
นายกิตติศักดิ์ เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายกำลังมีปัญหาในทางปฏิบัติ หากจะกล่าวหาว่า นักศึกษากระทำการขัดต่อคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3/2558 ประกาศดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 44 ซึ่งดูแล้วประกาศนี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ศาลทหาร แต่ควรเป็นศาลยุติธรรมในการพิจารณาคดี โดยก่อนหน้านั้นคดีอื่นที่มีการขึ้นศาลทหาร เนื่องจากในช่วงนั้นยังมีกฎอัยการศึก และยังมีประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557 จึงเห็นว่า การนำตัวนักศึกษามาขึ้นศาลทหารนี้ จะทำให้การใช้กฎหมายขัดแย้งกันเอง อยากทราบว่า ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้มีการศึกษาบ้างหรือไม่ว่า ถ้าใช้กฎหมายสับสนจะทำให้เกิดปัญหาอย่างไร
นอกจากนี้ ประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องมีความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 116 ตนได้เคยคุยกับผู้ใหญ่ด้านความมั่นคง ซึ่งเขายืนยันว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่หวังจะก่อให้เกิดความรุนแรง และรัฐบาลก็ยืนยันในเรื่องดังกล่าว หากเป็นเช่นนั้น คสช. ควรดำเนินคดี ถ้ามีหลักฐานมัดตัวผู้ที่จงใจก่อเหตุร้าย แต่ในกรณีของนักศึกษากลุ่มนี้ ต้องแยกให้ดีว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือ หรือแสดงความเห็นโดยสุจริต ถ้าเป็นสุจริตชนก็ไม่ควรควบคุมตัว ซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นไปตามแนวทางนี้ เพราะศาลทหารก็พิจารณาไม่ฝากขังต่อ เพราะยังไม่ปรากฏหลักฐานตามข้อกล่าวหาที่ทางราชการได้ยืนยัน
จากนั้น นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า กสม. ไม่ได้ตรวจสอบเพื่อจับผิด หากแต่เป็นการสร้างความชอบธรรมให้หน่วยงานรัฐที่ต้องใช้หลักนิติรัฐนิติธรรม ความสำคัญของ คสช. คือ ต้องเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเห็นต่างทางการเมือง ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนข้นพื้นฐาน แม้แต่รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ก็ให้การรับรองเรื่องดังกล่าวไว้ แม้คำสั่งหรือประกาศ คสช. รวมทั้งกฎอัยการศึก จะเคยใช้แก้ปัญหาความรุนแรงที่มีอยู่จริงในช่วงแรก แต่จากวันนี้ รัฐบาลต้องเข้าใจว่าการแสดงความเห็นต่างทางการเมืองเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ต้องไม่ให้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว โดยสังคมก็ต้องไม่ผลักให้คนที่เห็นต่าง กลายเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นความรุนแรง และการจัดการปัญหาก็ต้องมีวิธีการที่อยู่ในขอบเขตของสันติวิธี ไม่ใช่การใช้อำนาจเด็ดขาดทางการเมือง ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายอาญา มาตรา 116 ก็ต้องยึดหลักความเป็นธรรม ซึ่งประเด็นทั้งหมดนี้ กสม. จะทำหนังสือไปยัง คสช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้พิจารณาเรื่องดังกล่าว
***ผบ.ตร. ยันไม่ถึงขึ้นส่งสันติบาลประกบ
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึง กรณีที่กลุ่ม 14นักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่รับการปล่อยตัว และยังคงมีความเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่า ทราบดีและคิดว่าทั้งนักศึกษาและประชาชนทุกคนล้วนทราบดีว่ากฎหมายเป็นอย่างไร การกระทำใดที่ผิดกฎหมายจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยวิธีการที่จะปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมายกับนักศึกษาหรือผู้กระทำความผิดนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังยึดนโยบายของรัฐบาลว่าปฏิบัติจากเบาไปหาหนัก และปฏิบัติกับประชาชนด้วยความสุภาพอ่อนโยน หลีกเลี่ยงการใช้กำลังกระทบกระทั่ง ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาบานปลาย ตำรวจสนองนโยบายรัฐบาลตลอด
อย่างไรก็ตาม คงไม่ต้องถึงขนาดส่งกำลังตำรวจสันติบาลตามประกบ ตนเชื่อว่านักศึกษามีความเข้าใจ แต่ด้วยความคิด ความคึกคะนองถูกยุแหย่ ปลุกปั่นจึงหลงผิด แต่คิดว่าจะมีการพูดคุยทำความเข้าใจ มีหน่วยงานรัฐเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจแล้ว คนไทยพูดคุยกันได้ ที่สำคัญคือนักศึกษาจำนวนเท่านี้มีความเห็นแตกต่างจากคนไทย กว่า70 ล้านคน เราไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่คิดกัน ถือว่าการพิจารณาหรือดำเนินการใดๆ ต้องฟังเสียงคนส่วนใหญ่
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังนักศึกษากลุ่มนี้ หรือ ไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ไม่อยากให้ร้ายปรามาสความคิดของน้องๆ นักศึกษา เพราะเขาอาจมีความคิดเป็นของตัวเองส่วนหนึ่ง แต่บางส่วน บางกลุ่มถูกปลุกปั่น ยุยงให้กระทำในสิ่งไม่ถูกต้อง แต่บุคคลที่อยู่ข้างหลังใช้กุศโลบายยุยงทำให้นักศึกษาทำในสิ่งที่เป็นความผิด เมื่อผิดกฎหมายมีประวัติติดตัวต่อไปไปทำงานลำบาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 05.30 น.วานนี้ (8 ก.ค.) นักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ทั้ง 14 คน ได้รับการปล่อยตัวแล้วที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง หลังสิ้นสุดกำหนดฝากขังผลัดแรก โดยมีญาติและเพื่อนพร้อมด้วยสื่อมวลชนมาเฝ้ารอการปล่อยตัวกันอย่างหนาแน่น
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7ก.ค. ที่ผ่านมา นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวถึงกรณีศาลทหารไม่อนุญาตให้ฝากขัง 14 นักศึกษา เป็นผลัดที่ 2 เนื่องจากไม่มีความจำเป็น ว่า ตามกระบวนการเรือนจำจะต้องควบคุมตัวผู้ต้องขังให้ครบฝากขังผลัดแรก 12 วัน ซึ่งผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวในวันที่ 26 มิ.ย. จะครบกำหนด 12 วัน ในเวลา 24.00 น. ของวันที่ 7 ก.ค. แต่โดยปกติเรือนจำจะไม่ปล่อยตัวในยามวิกาล จึงต้องปล่อยตัวในช่วงเช้าวันถัดไป (8 ก.ค.)
สำหรับคดีนี้ พนักงานสอบสวนจะสรุปสำนวนคดีให้อัยการทหาร ซึ่งถ้าพิจารณาสั่งฟ้องก็จะเข้าสู่กระบวนการ ที่ศาลทหารจะวินิจฉัยว่าจะสั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้องต่อไป โดยข้อกล่าวหานักศึกษา 14 คน คือ การเคลื่อนไหวต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. เป็นการรวมตัวชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งขัดคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และขัดกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
***"ประยุทธ์"บอกพอแล้วเลิกพูด
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ากลุ่มนักศึกษาที่ได้รับการปล่อยตัวออกมา ยังมีการเตรียมการที่จะเคลื่อนไหวต่อไป ว่า พอแล้วๆๆ ขี้เกียจพูดแล้ว พอแล้ว คุณก็จะไปพูดถึงเขาทำไม ก็เขาเมตตาแล้ว ก็ยังพูดยังขุดอยู่นั่น ไม่รู้จะขุดกันไปทำอะไรไม่รู้ สื่อก็ไปเรียกเขาออกมาซิ สื่อไปชวนเขามาเลย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม พูดว่าอย่างไร ก็ตามนั้น เป็นเรื่องของกฎหมาย
**ขอเยาวชนไทยช่วยพูดให้ต่างชาติเข้าใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้น เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้การต้อนรับ คณะโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 10 จำนวน 37 คน พร้อมผู้ปกครอง 76 คน โดยโครงการดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อร่วมถวายพระพร และร่วมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งร่วมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดี ที่แสดงให้เห็นถึงความรักในแผ่นดินแม่ และขอบคุณทางผู้ปกครอง ที่คิดถึงแผ่นดินไทย รวมทั้งสร้างความเข้าใจที่ดีให้แก่เยาวชน โดยเยาวชนถือเป็นทูตพิเศษ ที่จะทำให้ต่างชาติรู้สึกและเข้าใจสิ่งดีของประเทศไทย โดยวันนี้ รู้สึกเป็นห่วงในเรื่องของสื่อโซเชียลมีเดีย เยาวชนต้องเลือกเสพสิ่งที่มีประโยชน์ ต้องพิจารณาให้ดี มีสติสัมปชัญญะ รู้เหตุรู้ผล และหาข้อมูลเพิ่มเติม ต้องอย่าไปเชื่อทุกอย่างโดยไม่มีเหตุผล เพราะเยาวชนที่มาวันนี้ต่างอยู่ในประเทศที่เจริญกว่าเรา และอยากให้ช่วยรัฐบาลในการทำความเข้าใจกับต่างชาติว่าเรากำลังพยายามสร้างประเทศให้มีความเข้มแข็ง เพราะที่ผ่านมามีหลายด้านที่ต้องหยุดชะงัก บ้านเมืองเดินต่อไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลชั่วคราว ไม่ได้ทำอะไรที่เกิดความเสียหาย แต่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ
"ประชาธิปไตยอาจเป็นระบอบที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ดีทั้งหมด มีหลายอย่างที่ต่างชาติยอมรับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีทั้งหมด มันดีตรงที่ประชาชนมีส่วนร่วม โดยหน้าที่ 3 ประการ คือ เลือกตั้ง ลงประชามติ และให้ผู้แทนแก้ปัญหา ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งส่วน และผมก็เลือกตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่ได้รับการแก้ไข และหนักขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้องหยุดสักระยะหนึ่งก่อน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เข้มแข็งก่อนเดินหน้าต่อไป ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทำให้เรียบร้อย ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องอย่างนี้ และต้องขอโทษน้องๆ หลานๆ ด้วย แต่มันเป็นเหตุจำเป็น" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
**ชี้แจงความสำคัญของ มาตรา 112
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอให้เยาวชนนึกถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนทั้งชาติมายาวนาน ไม่เหมือนประเทศอื่น ก่อนหน้านี้ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ การประปา และอื่นๆ จากนั้นจึงมีรัฐบาลมาทำต่อ แต่สิ่งที่สำคัญคือหลายๆ คน หลายๆ พวก พยายามที่จะนำสถาบันของเราไปเปรียบเทียบกับที่อื่น ซึ่งคงไม่ได้ เพราะของเรามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เก่าแก่ เปรียบเหมือนสมมุติเทพ พระมหากษัตริย์ ไม่เกี่ยวข้องกับใคร อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง เมื่อมีคนเข้าไปก้าวล่วง จึงต้องมีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งคล้ายกับกฎหมายหมิ่นประมาท เพราะเมื่อใครมาหมิ่นเรา เราสามารถฟ้องร้องได้ แต่ถ้าเป็นสถาบันฯ จะไม่สามารถฟ้องร้องได้ เพราะพระองค์ท่านไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ กฎหมายดังกล่าวทุกรัฐบาลสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องพระองค์ แต่คนกลับมองในเรื่องของสิทธิมนุษยชน
"ถามว่า ถ้ามีใครมาว่าพ่อของคุณ คุณยอมไหม เราก็ไม่ยอมเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นพ่อแม่เรา เราฟ้องได้ แต่พระมหากษัตริย์ไม่ได้ยุ่งเกี่ยว จึงฟ้องไม่ได้ แล้วใครจะดูแลท่าน ก็ต้องเป็นคนไทย ใครที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ผมว่าไม่ใช่คนไทย แย่ เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จึงฝากคณะทำงานชี้แจงด้วยว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยไม่เหมือนที่อื่น" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
** คสช.ยันไม่มีส่วนรู้เห็นจับกุมนศ.
ในวันเดียวกันนี้ คณะอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง ในสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่มี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิฯ เป็นประธาน ได้ประชุมกรณีการจับกุมนักศึกษา14 คน ข้อหาทำผิดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 116 และขัดคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3/2558 โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการชี้แจง อาทิ พ.อ.นุรัช กองแก้ว รอง ผอ.สำนักงานพระธรรมนูญ ในฐานะตัวแทน คสช. นายสมพร มูสิกะ กรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ อนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน และ นายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะฝ่ายพยานผู้เชี่ยวชาญ
ทั้งนี้ อนุกรรมการฯ และพยานผู้เชี่ยวชาญได้ซักถามตัวแทน คสช.ว่า ทหารมีส่วนเกี่ยวข้อง หรืออยู่ในพื้นที่ ขณะที่มีการจับกุมนักศึกษาหรือไม่ คสช.ได้มีการพิจารณาหรือไม่ว่า ความผิดในเชิงสิทธิเสรีภาพไม่จำเป็นต้องขึ้นศาลทหาร และกรณีมีการกล่าวอ้างว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ทหาร ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ไปพบผู้ปกครองของนักศึกษาในลักษณะข่มขู่คุกคาม กรณีพยายามตรวจค้นรถทนายความของนักศึกษากลุ่มดังกล่าว อีกทั้งหลังจากนี้หากมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองเกิดขึ้นอีก คสช. จะมีนโยบายในการจัดการเรื่องดังกล่าวอย่างไร
พ.อ.นุรัช กองแก้ว กล่าวยืนยันว่า ในขั้นตอนการจับกุม มีแต่เจ้าหน้าตำรวจปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ทหารไม่ส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งที่อ้างว่า ทหารในนอกเครื่องแบบไปสะกดรอยตาม ไปพบผู้ปกครองนักศึกษา พูดจาในลักษณะคุกคามก็ยืนยันว่าไม่มี ส่วนความผิดในเชิงสิทธิเสรีภาพจะต้องขึ้นศาลทหารหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของนโยบายไม่สามารถตอบได้
อย่างไรก็ตาม คสช.ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนเรื่องนโยบาย คสช.จะเป็นอย่างไรนั้น ขอให้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรสอบถามไปยัง คสช.โดยตรง ส่วนตัวเห็นว่า เมื่อกฎหมายมีอย่างไรก็ให้ปฏิบัติไปตามกฎหมาย
** จี้นายกฯหาตัวทหารปลอมข่มขู่นศ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำชี้แจงของผู้แทนฝ่ายคสช. ทำให้ นายวีระ สมความคิด อนุกรรมการฯ กล่าวว่า หากยืนยันว่า ไม่มีทหารเกี่ยวข้องทั้งในการจับกุมนักศึกษา หรือการไปคุกคามผู้ปกครอง แต่เมื่อทั้งนักศึกษา และผู้ปกครองต่างยืนยันเช่นกันว่า มีจริง และยังจำหน้าได้ แสดงว่าทหารที่ตามคำกล่าวอ้างนั้น เป็นทหารปลอม จึงอยากฝากให้ไปเรียนนายกฯ ว่าควรรีบดำเนินการหาตัวทหารปลอม เพราะนี่เป็นเรื่องแปลก ไม่รู้สึกเสียหาย หรือคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรรีบจัดการบ้างหรือไม่
** ชี้การบังคับใช้กฎหมายมีปัญหา
นายกิตติศักดิ์ เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายกำลังมีปัญหาในทางปฏิบัติ หากจะกล่าวหาว่า นักศึกษากระทำการขัดต่อคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3/2558 ประกาศดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 44 ซึ่งดูแล้วประกาศนี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ศาลทหาร แต่ควรเป็นศาลยุติธรรมในการพิจารณาคดี โดยก่อนหน้านั้นคดีอื่นที่มีการขึ้นศาลทหาร เนื่องจากในช่วงนั้นยังมีกฎอัยการศึก และยังมีประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557 จึงเห็นว่า การนำตัวนักศึกษามาขึ้นศาลทหารนี้ จะทำให้การใช้กฎหมายขัดแย้งกันเอง อยากทราบว่า ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้มีการศึกษาบ้างหรือไม่ว่า ถ้าใช้กฎหมายสับสนจะทำให้เกิดปัญหาอย่างไร
นอกจากนี้ ประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องมีความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 116 ตนได้เคยคุยกับผู้ใหญ่ด้านความมั่นคง ซึ่งเขายืนยันว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่หวังจะก่อให้เกิดความรุนแรง และรัฐบาลก็ยืนยันในเรื่องดังกล่าว หากเป็นเช่นนั้น คสช. ควรดำเนินคดี ถ้ามีหลักฐานมัดตัวผู้ที่จงใจก่อเหตุร้าย แต่ในกรณีของนักศึกษากลุ่มนี้ ต้องแยกให้ดีว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือ หรือแสดงความเห็นโดยสุจริต ถ้าเป็นสุจริตชนก็ไม่ควรควบคุมตัว ซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นไปตามแนวทางนี้ เพราะศาลทหารก็พิจารณาไม่ฝากขังต่อ เพราะยังไม่ปรากฏหลักฐานตามข้อกล่าวหาที่ทางราชการได้ยืนยัน
จากนั้น นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า กสม. ไม่ได้ตรวจสอบเพื่อจับผิด หากแต่เป็นการสร้างความชอบธรรมให้หน่วยงานรัฐที่ต้องใช้หลักนิติรัฐนิติธรรม ความสำคัญของ คสช. คือ ต้องเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเห็นต่างทางการเมือง ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนข้นพื้นฐาน แม้แต่รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ก็ให้การรับรองเรื่องดังกล่าวไว้ แม้คำสั่งหรือประกาศ คสช. รวมทั้งกฎอัยการศึก จะเคยใช้แก้ปัญหาความรุนแรงที่มีอยู่จริงในช่วงแรก แต่จากวันนี้ รัฐบาลต้องเข้าใจว่าการแสดงความเห็นต่างทางการเมืองเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ต้องไม่ให้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว โดยสังคมก็ต้องไม่ผลักให้คนที่เห็นต่าง กลายเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นความรุนแรง และการจัดการปัญหาก็ต้องมีวิธีการที่อยู่ในขอบเขตของสันติวิธี ไม่ใช่การใช้อำนาจเด็ดขาดทางการเมือง ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายอาญา มาตรา 116 ก็ต้องยึดหลักความเป็นธรรม ซึ่งประเด็นทั้งหมดนี้ กสม. จะทำหนังสือไปยัง คสช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้พิจารณาเรื่องดังกล่าว
***ผบ.ตร. ยันไม่ถึงขึ้นส่งสันติบาลประกบ
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึง กรณีที่กลุ่ม 14นักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่รับการปล่อยตัว และยังคงมีความเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่า ทราบดีและคิดว่าทั้งนักศึกษาและประชาชนทุกคนล้วนทราบดีว่ากฎหมายเป็นอย่างไร การกระทำใดที่ผิดกฎหมายจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยวิธีการที่จะปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมายกับนักศึกษาหรือผู้กระทำความผิดนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังยึดนโยบายของรัฐบาลว่าปฏิบัติจากเบาไปหาหนัก และปฏิบัติกับประชาชนด้วยความสุภาพอ่อนโยน หลีกเลี่ยงการใช้กำลังกระทบกระทั่ง ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาบานปลาย ตำรวจสนองนโยบายรัฐบาลตลอด
อย่างไรก็ตาม คงไม่ต้องถึงขนาดส่งกำลังตำรวจสันติบาลตามประกบ ตนเชื่อว่านักศึกษามีความเข้าใจ แต่ด้วยความคิด ความคึกคะนองถูกยุแหย่ ปลุกปั่นจึงหลงผิด แต่คิดว่าจะมีการพูดคุยทำความเข้าใจ มีหน่วยงานรัฐเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจแล้ว คนไทยพูดคุยกันได้ ที่สำคัญคือนักศึกษาจำนวนเท่านี้มีความเห็นแตกต่างจากคนไทย กว่า70 ล้านคน เราไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่คิดกัน ถือว่าการพิจารณาหรือดำเนินการใดๆ ต้องฟังเสียงคนส่วนใหญ่
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังนักศึกษากลุ่มนี้ หรือ ไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ไม่อยากให้ร้ายปรามาสความคิดของน้องๆ นักศึกษา เพราะเขาอาจมีความคิดเป็นของตัวเองส่วนหนึ่ง แต่บางส่วน บางกลุ่มถูกปลุกปั่น ยุยงให้กระทำในสิ่งไม่ถูกต้อง แต่บุคคลที่อยู่ข้างหลังใช้กุศโลบายยุยงทำให้นักศึกษาทำในสิ่งที่เป็นความผิด เมื่อผิดกฎหมายมีประวัติติดตัวต่อไปไปทำงานลำบาก