ASTVผู้จัดการรายวัน -เอกชน 62 รายแห่ยื่นตรวจสอบคุณสมบัติเข้าร่วมประมูลข้าว 1.39 ล้านตัน “พาณิชย์”มั่นใจขายได้ หลังผลผลิตน้อย ภัยแล้งซ้ำเติม ระบุหากขายได้หมด จะเหลือข้าวดีไว้ขายอีกไม่ถึงล้านตัน ส่วนข้าวเสีย ข้าวเกรดซี 5.89 ล้านตัน รอตำรวจเก็บหลักฐานก่อนนำออกประมูล ผู้ส่งออกประเมินขายข้าวเสียไปเผา รัฐจ่อเจ๊ง 3 หมื่นล้าน
นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า วานนี้ (6 ก.ค.) กรมฯ ได้เปิดให้เอกชนยื่นซองเพื่อตรวจคุณสมบัติการเข้าร่วมประมูลข้าวสารสต๊อกรัฐบาลจำนวน 1.39 ล้านตัน ครั้งที่ 4/2558 โดยมีผู้สนใจยื่นซองตรวจสอบคุณสมบัติทั้งหมด 62 ราย ซึ่งกรมฯ จะมีการประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติและให้ยื่นซองเสนอราคาในวันนี้ (7 ก.ค.)พร้อมกับเปิดซองเสนอราคาในวันเดียวกัน
โดยการเปิดประมูลข้าวสต๊อกรัฐบาลครั้งนี้ ที่มีผู้เข้าร่วมสนใจเสนอซองตรวจสอบคุณสมบัติเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีความต้องการข้าวในตลาดมากขึ้น เพราะข้าวนาปรังรอบ 2 คาดว่าจะมีผลผลิตออกมาเพียงเล็กน้อย จากผลกระทบภัยแล้ง และหากรัฐบาลสามารถอนุมัติขายข้าวในครั้งนี้ได้ทั้งหมด
ก็จะทำให้เหลือข้าวคุณภาพดีที่จะนำมาเปิดประมูลในรอบต่อไปไม่ถึง 1 ล้านตัน จากที่มีข้าวคุณภาพดีอยู่ทั้งหมด 2.6 ล้านตัน โดยครั้งก่อนหน้านี้ ได้อนุมัติขายไปแล้ว 8 แสนตัน
นางดวงพรกล่าวว่า สำหรับการระบายข้าวในส่วนของข้าวเสียหาย เป็นฝุ่นผง ที่มีอยู่ 1.29 ล้านตัน และข้าวเกรดซี 4.6 ล้านตัน โดยมีข้าวเกรดซีล้วนๆ ที่อยู่ในคลังเดียวกัน 1.33 ที่เหลืออีก 3.3 ล้านตัน เป็นข้าวเกรดซีที่มีข้าวเกรดเอและบีปนอยู่ด้วย กรมฯต้องรอผลสรุปทางด้านคดีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังดำเนินการตามขั้นตอนในส่วนของการเก็บหลักฐานให้แล้วเสร็จก่อน คาดว่าภายในเดือนก.ค.นี้ น่าจะได้ข้อสรุปทางด้านหลักฐานจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงจะนำออกมาประมูลได้
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ขออนุมัติในหลักการจากคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ในการขายข้าวเสียหายเป็นฝุ่นผง 1.29 ล้านตัน โดยจะนำมาเปิดประมูลให้กับผู้ผลิตชีวมวล โรงไฟฟ้า หรือโรงงานผลิตปูน เป็นต้น ส่วนข้าวเกรดซี จะนำมาเปิดประมูลให้กับผู้ผลิตเอทานอล
“การขายข้าวเสียหายและข้าวเกรีดซี จะมีคณะกรรมการที่ประกอบด้วยตัวแทนจากหลายหน่วยงานทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำงานร่วมกันในการกำหนดราคากลาง โดยจะทำควบคู่ไปในระหว่างที่รอตำรวจสรุปผล ซึ่งจะมีหลายปัจจัยในการพิจารณากำหนดราคากลาง ทั้งค่าขนส่ง เนื่องจากแต่ละโกดังที่เก็บข้าวอยู่ในพื้นที่ห่างไกลกัน และจากนั้นเมื่อนำมาประมูลขายได้ราคาเท่าไร ส่วนต่างที่เกิดขึ้น ก็จะไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้รับผิดชอบ คือ เจ้าของโกดังและเซอร์เวเยอร์ต่อไป”นางดวงพรกล่าว
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ข้าวเสียหายเป็นฝุ่นผงปริมาณ 1.29 ล้านตัน ที่รัฐบาลจะนำมาเปิดประมูลเพื่อผลิตชีวมวล คาดว่าราคาประมูลไม่น่าจะเกินกิโลกรัม (กก.) ละ 1 บาท หรือตันละ 1,000 บาท หากคิดที่ราคารับจำนำข้าวเปลือกตันละ 1.5 หมื่นบาท หรือราคาต้นทุนข้าวสารตันละ 2.4 หมื่นบาท เท่ากับว่ารัฐจะขาดทุนประมาณตันละ 2.3 หมื่นบาท หรือคิดจากปริมาณข้าว 1.29 ล้านตัน จะขาดทุนเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นค่าเสียหายที่รัฐจะต้องไปฟ้องร้องจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า แนวโน้มราคาข้าวปรับตัวดีขึ้น โดยข้าวสารปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยตันละ 500 บาท เนื่องจากปริมาณข้าวในตลาดลดลง และยังมีปัญหาเรื่องภัยแล้ง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าภัยแล้งจะกระทบต่อการผลิตข้าวมากน้อยเพียงใด เพราะข้าวในหลายพื้นที่ยังไม่ปลูก
แต่ถ้าถึงช่วงเดือนส.ค.แล้วน้ำฝนยังน้อย ภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อการปลูกข้าวแน่ ส่วนการที่ราคาข้าวปรับลดลงก่อนหน้านี้ เป็นเพราะข้าวในสต๊อกมีจำนวนมากและเป็นข้าวเก่า ไม่มีกระบวนการทุบราคาแต่อย่างใด
รายงานข่าวแจ้งว่า ราคาข้าวสาร 5% ณ วันที่ 6 ก.ค.2558 ตันละ 11,700-11,800 บาท เพิ่มขึ้นจาก 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ตันละ 11,100-11,120 บาท ขณะที่ราคาข้าวเปลือกเจ้า (ความชื้น 15% ) ตันละ 8,000-7,800 บาท เพิ่มขึ้นจาก ตันละ 7,800-7,600 บาท
นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า วานนี้ (6 ก.ค.) กรมฯ ได้เปิดให้เอกชนยื่นซองเพื่อตรวจคุณสมบัติการเข้าร่วมประมูลข้าวสารสต๊อกรัฐบาลจำนวน 1.39 ล้านตัน ครั้งที่ 4/2558 โดยมีผู้สนใจยื่นซองตรวจสอบคุณสมบัติทั้งหมด 62 ราย ซึ่งกรมฯ จะมีการประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติและให้ยื่นซองเสนอราคาในวันนี้ (7 ก.ค.)พร้อมกับเปิดซองเสนอราคาในวันเดียวกัน
โดยการเปิดประมูลข้าวสต๊อกรัฐบาลครั้งนี้ ที่มีผู้เข้าร่วมสนใจเสนอซองตรวจสอบคุณสมบัติเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีความต้องการข้าวในตลาดมากขึ้น เพราะข้าวนาปรังรอบ 2 คาดว่าจะมีผลผลิตออกมาเพียงเล็กน้อย จากผลกระทบภัยแล้ง และหากรัฐบาลสามารถอนุมัติขายข้าวในครั้งนี้ได้ทั้งหมด
ก็จะทำให้เหลือข้าวคุณภาพดีที่จะนำมาเปิดประมูลในรอบต่อไปไม่ถึง 1 ล้านตัน จากที่มีข้าวคุณภาพดีอยู่ทั้งหมด 2.6 ล้านตัน โดยครั้งก่อนหน้านี้ ได้อนุมัติขายไปแล้ว 8 แสนตัน
นางดวงพรกล่าวว่า สำหรับการระบายข้าวในส่วนของข้าวเสียหาย เป็นฝุ่นผง ที่มีอยู่ 1.29 ล้านตัน และข้าวเกรดซี 4.6 ล้านตัน โดยมีข้าวเกรดซีล้วนๆ ที่อยู่ในคลังเดียวกัน 1.33 ที่เหลืออีก 3.3 ล้านตัน เป็นข้าวเกรดซีที่มีข้าวเกรดเอและบีปนอยู่ด้วย กรมฯต้องรอผลสรุปทางด้านคดีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังดำเนินการตามขั้นตอนในส่วนของการเก็บหลักฐานให้แล้วเสร็จก่อน คาดว่าภายในเดือนก.ค.นี้ น่าจะได้ข้อสรุปทางด้านหลักฐานจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงจะนำออกมาประมูลได้
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ขออนุมัติในหลักการจากคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ในการขายข้าวเสียหายเป็นฝุ่นผง 1.29 ล้านตัน โดยจะนำมาเปิดประมูลให้กับผู้ผลิตชีวมวล โรงไฟฟ้า หรือโรงงานผลิตปูน เป็นต้น ส่วนข้าวเกรดซี จะนำมาเปิดประมูลให้กับผู้ผลิตเอทานอล
“การขายข้าวเสียหายและข้าวเกรีดซี จะมีคณะกรรมการที่ประกอบด้วยตัวแทนจากหลายหน่วยงานทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำงานร่วมกันในการกำหนดราคากลาง โดยจะทำควบคู่ไปในระหว่างที่รอตำรวจสรุปผล ซึ่งจะมีหลายปัจจัยในการพิจารณากำหนดราคากลาง ทั้งค่าขนส่ง เนื่องจากแต่ละโกดังที่เก็บข้าวอยู่ในพื้นที่ห่างไกลกัน และจากนั้นเมื่อนำมาประมูลขายได้ราคาเท่าไร ส่วนต่างที่เกิดขึ้น ก็จะไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้รับผิดชอบ คือ เจ้าของโกดังและเซอร์เวเยอร์ต่อไป”นางดวงพรกล่าว
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ข้าวเสียหายเป็นฝุ่นผงปริมาณ 1.29 ล้านตัน ที่รัฐบาลจะนำมาเปิดประมูลเพื่อผลิตชีวมวล คาดว่าราคาประมูลไม่น่าจะเกินกิโลกรัม (กก.) ละ 1 บาท หรือตันละ 1,000 บาท หากคิดที่ราคารับจำนำข้าวเปลือกตันละ 1.5 หมื่นบาท หรือราคาต้นทุนข้าวสารตันละ 2.4 หมื่นบาท เท่ากับว่ารัฐจะขาดทุนประมาณตันละ 2.3 หมื่นบาท หรือคิดจากปริมาณข้าว 1.29 ล้านตัน จะขาดทุนเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นค่าเสียหายที่รัฐจะต้องไปฟ้องร้องจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า แนวโน้มราคาข้าวปรับตัวดีขึ้น โดยข้าวสารปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยตันละ 500 บาท เนื่องจากปริมาณข้าวในตลาดลดลง และยังมีปัญหาเรื่องภัยแล้ง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าภัยแล้งจะกระทบต่อการผลิตข้าวมากน้อยเพียงใด เพราะข้าวในหลายพื้นที่ยังไม่ปลูก
แต่ถ้าถึงช่วงเดือนส.ค.แล้วน้ำฝนยังน้อย ภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อการปลูกข้าวแน่ ส่วนการที่ราคาข้าวปรับลดลงก่อนหน้านี้ เป็นเพราะข้าวในสต๊อกมีจำนวนมากและเป็นข้าวเก่า ไม่มีกระบวนการทุบราคาแต่อย่างใด
รายงานข่าวแจ้งว่า ราคาข้าวสาร 5% ณ วันที่ 6 ก.ค.2558 ตันละ 11,700-11,800 บาท เพิ่มขึ้นจาก 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ตันละ 11,100-11,120 บาท ขณะที่ราคาข้าวเปลือกเจ้า (ความชื้น 15% ) ตันละ 8,000-7,800 บาท เพิ่มขึ้นจาก ตันละ 7,800-7,600 บาท
