ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีกำหนดการ เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 2/2558 ที่ จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 29-30 มิ.ย.นี้ โดยในวันที่ 29 ม.ย. นายกฯจะเดินทางถึง จ.เชียงใหม่ ในเวลาประมาณ 16.20 น. จากนั้นจะขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร และเยี่ยมชมตลาดหน้าศาลากลาง จ.เชียงใหม่ ก่อนที่จะเข้าพักที่โรงแรม กรีนเลค รีสอร์ท เชียงใหม่
ในวันที่ 30 มิ.ย. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมครม. ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติเชียงใหม่ ก่อนที่ช่วงบ่าย นายกฯและคณะจะเดินทางต่อไปยัง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก เพื่อติดตามการบริหารจัดการน้ำ โครงการข้าว และการทวงคืนผืนป่าก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันเดียวกัน
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนากยรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุม ครม.สัญจร ครั้งนี้ เป็นความต้องการของพล.อ.ประยุทธ์ ที่พยายามลงพื้นที่ต่างๆ เพื่อพบปะ และรับรู้ถึงความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งยังเป็นการติดตามความคืบหน้าในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล ว่าเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้กำหนด และเร่งรัดหรือไม่ ซึ่งหากพบว่ามีปัญหาติดขัด ก็จะได้หาวิธีการแก้ไข นอกจากนี้ การประชุมครม.นอกสถานยังส่งผลให้จังหวัดนั้นๆ มีบรรยากาศที่ดี เป็นที่สนใจ และมีผลต่อการท่องเที่ยวด้วย
อย่างไรก็ตามการลงพื้นที่ครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะหาแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง เพราะถือเป็นปัญหาสำคัญ เรื่องนี้อยู่ในความเป็นห่วงของนายกฯ อย่างมาก และได้สั่งการในการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม ทั้งการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนหลัก ให้สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการอุปโภค บริโภค การเกษตร และน้ำสำหรับรักษาระบบนิเวศน์ ซึ่งคาดการว่าฝนน่าจะตกในช่วงเดือนสิงหาคม เกษตรกรโดยเฉพาะชาวนา ก็สามารถเริ่มปลูกข้าวได้ในช่วงนั้น นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายกฯ ยังได้สั่งการให้อธิบดีกรมชลประทาน และกรมอุตุนิยมวิทยา เร่งประสานงานพร้อมชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างครอบคลุม
ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยของ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะนั้น ไม่ได้มีการเตรียมการ หรือกำชับอะไรเป็นพิเศษ ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ รัฐบาลมั่นใจว่าการลงพื้นที่นั้น เป็นการลงไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ซึ่งเป็นประโยชน์ จึงมีความมั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความเข้าใจถึงปัญหา และรัฐบาลกำหนดดำเนินการแก้ไขอย่างไร
"เราไม่ได้มองว่าเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ของคนเสื้อแดง หรือสีอะไร ถ้าจะมีคนที่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง รายสองราย หรือจำนวนหนึ่ง ก็เป็นสิ่งที่สังคมต้องพิจารณาเอา เพราะวันนี้ประเทศไทยต้องอธิบายด้วยเหตุผล ข้อเท็จจริง จะเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งแล้วบอกว่าต่อต้านการทำรัฐประหาร มันไม่ใช่เวลา" พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
** "แดงภาคเหนือ"งดเคลื่อนไหว
ด.ต.พิชิต ตามูล แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงเชียงใหม่ เผยกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีประชุมครม.สัญจร ที่ จ.เชียงใหม่ ว่า นปช.แดงเชียงใหม่ และ 17 จังหวัดภาคเหนือ ไม่เคลื่อนไหวต่อต้าน เพราะยังไม่ถึงเวลาต่อต้านหรือคัดค้าน ยังให้โอกาสรัฐบาลทำงานแก้ปัญหาประเทศ และเศรษฐกิจ แต่ขอให้ดำเนินการตามแผนโรดแมป มีการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนเท่านั้น
ด.ต.พิชิต กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับ พล.ต.โกศล ปทุมชาติ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จ.เชียงใหม่แล้วว่า พร้อมร่วมมือ ไม่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน วุ่นวาย อยากเห็นความสงบเรียบร้อย ส่วนกลุ่มสิทธิทำกิน และที่ดินจะเคลื่อนไหว ให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายป่าชุมชน เป็นเอกสิทธิแต่ละกลุ่ม ไม่สามารถก้าวก่ายได้
ด.ต.พิชิตกล่าวอีกว่า ส่วนแผนและโครงการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ เพื่อนำเสนอเข้า ครม.สัญจรนั้น ทราบว่า เป็นโครงการที่พรรคเพื่อไทยริเริ่มไว้ น่าจะมีการสานต่อโครงการดังกล่าว โดยเฉพาะสนามบินแห่งที่ 2 พื้นที่ อ.ดอยหล่อ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากปีละ 7 ล้านคน เป็น 10 ล้านคน ในกลุ่มอาเซียน หรือเออีซี เพื่อสร้างงานและรายได้สู่ท้องถิ่น
ในวันที่ 30 มิ.ย. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมครม. ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติเชียงใหม่ ก่อนที่ช่วงบ่าย นายกฯและคณะจะเดินทางต่อไปยัง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก เพื่อติดตามการบริหารจัดการน้ำ โครงการข้าว และการทวงคืนผืนป่าก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันเดียวกัน
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนากยรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุม ครม.สัญจร ครั้งนี้ เป็นความต้องการของพล.อ.ประยุทธ์ ที่พยายามลงพื้นที่ต่างๆ เพื่อพบปะ และรับรู้ถึงความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งยังเป็นการติดตามความคืบหน้าในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล ว่าเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้กำหนด และเร่งรัดหรือไม่ ซึ่งหากพบว่ามีปัญหาติดขัด ก็จะได้หาวิธีการแก้ไข นอกจากนี้ การประชุมครม.นอกสถานยังส่งผลให้จังหวัดนั้นๆ มีบรรยากาศที่ดี เป็นที่สนใจ และมีผลต่อการท่องเที่ยวด้วย
อย่างไรก็ตามการลงพื้นที่ครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะหาแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง เพราะถือเป็นปัญหาสำคัญ เรื่องนี้อยู่ในความเป็นห่วงของนายกฯ อย่างมาก และได้สั่งการในการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม ทั้งการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนหลัก ให้สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการอุปโภค บริโภค การเกษตร และน้ำสำหรับรักษาระบบนิเวศน์ ซึ่งคาดการว่าฝนน่าจะตกในช่วงเดือนสิงหาคม เกษตรกรโดยเฉพาะชาวนา ก็สามารถเริ่มปลูกข้าวได้ในช่วงนั้น นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายกฯ ยังได้สั่งการให้อธิบดีกรมชลประทาน และกรมอุตุนิยมวิทยา เร่งประสานงานพร้อมชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างครอบคลุม
ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยของ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะนั้น ไม่ได้มีการเตรียมการ หรือกำชับอะไรเป็นพิเศษ ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ รัฐบาลมั่นใจว่าการลงพื้นที่นั้น เป็นการลงไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ซึ่งเป็นประโยชน์ จึงมีความมั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความเข้าใจถึงปัญหา และรัฐบาลกำหนดดำเนินการแก้ไขอย่างไร
"เราไม่ได้มองว่าเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ของคนเสื้อแดง หรือสีอะไร ถ้าจะมีคนที่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง รายสองราย หรือจำนวนหนึ่ง ก็เป็นสิ่งที่สังคมต้องพิจารณาเอา เพราะวันนี้ประเทศไทยต้องอธิบายด้วยเหตุผล ข้อเท็จจริง จะเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งแล้วบอกว่าต่อต้านการทำรัฐประหาร มันไม่ใช่เวลา" พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
** "แดงภาคเหนือ"งดเคลื่อนไหว
ด.ต.พิชิต ตามูล แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงเชียงใหม่ เผยกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีประชุมครม.สัญจร ที่ จ.เชียงใหม่ ว่า นปช.แดงเชียงใหม่ และ 17 จังหวัดภาคเหนือ ไม่เคลื่อนไหวต่อต้าน เพราะยังไม่ถึงเวลาต่อต้านหรือคัดค้าน ยังให้โอกาสรัฐบาลทำงานแก้ปัญหาประเทศ และเศรษฐกิจ แต่ขอให้ดำเนินการตามแผนโรดแมป มีการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนเท่านั้น
ด.ต.พิชิต กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับ พล.ต.โกศล ปทุมชาติ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จ.เชียงใหม่แล้วว่า พร้อมร่วมมือ ไม่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน วุ่นวาย อยากเห็นความสงบเรียบร้อย ส่วนกลุ่มสิทธิทำกิน และที่ดินจะเคลื่อนไหว ให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายป่าชุมชน เป็นเอกสิทธิแต่ละกลุ่ม ไม่สามารถก้าวก่ายได้
ด.ต.พิชิตกล่าวอีกว่า ส่วนแผนและโครงการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ เพื่อนำเสนอเข้า ครม.สัญจรนั้น ทราบว่า เป็นโครงการที่พรรคเพื่อไทยริเริ่มไว้ น่าจะมีการสานต่อโครงการดังกล่าว โดยเฉพาะสนามบินแห่งที่ 2 พื้นที่ อ.ดอยหล่อ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากปีละ 7 ล้านคน เป็น 10 ล้านคน ในกลุ่มอาเซียน หรือเออีซี เพื่อสร้างงานและรายได้สู่ท้องถิ่น