ASTV ผู้จัดการรายวัน – นักวิเคราะห์คาดดัชนีฯ สัปดาห์นี้เคลื่อนไหวเชิงบวก หลายปัจจัยลบเริ่มผ่อนคลายทั้งการที่ ECB ได้อนุมัติให้เพิ่มเพดานเงินช่วยเหลือฉุกเฉินแก่กรีช ไม่พบผู้ติดเชื้อเมอร์เพิ่ม แนะลงทุนหุ้น Domestic Play เกาะนโยบายรัฐ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดวันที่ 22 มิถุนายน 58 ไปที่ 1,504.06 จุด เพิ่มขึ้น 12.60 จุด เปลี่ยนแปลง +0.84% มูลค่าการซื้อขาย 33,046.05 จุด โดยดัชนีแตะจุดสูงสุดของวันที่ 1,509.39 จุด และต่ำสุดที่ 1,492.18 จุด โดยสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 884.49 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 328.97 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 95.33 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,308.79 ล้านบาท
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการสายงานวิจัยลูกค้าบุคคลบล.บัวหลวง สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (22 มิ.ย.) เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวแดนบวก เนื่องจากปัจจัยกดดันทั้งจากภายนอก และในประเทศเริมคลี่คลาย โดยเฉพาะความกังวลโรคเมอร์สที่ยังไม่มีพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม ส่วนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มสายการ กลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งฟื้นตัวขึ้นมาได้ มองว่าเป็นภาพของพฤติกรรมนักลงทุนที่เปลี่ยนไป โดยกลับมาซื้อหุ้นเร็วขึ้น มองว่าอาจจะเป็นเพราะประเมินจากผลกระทบต่อราคาหุ้นเทียบกับการปรับตัวลงที่รุนแรงกว่ามาก ดังนั้นการเข้าสะสมลงทึนในช่วงที่ราคาต่ำจึงมีโอกาสได้สะสมหุ้นที่ในราคาที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานและได้รับผลตอบแทนที่ดี
พร้อมกันนี้แนะนำให้เข้าลงทุนในหุ้น Domestic Play อิงการบริโภคภายในประเทศ โดยความคาดหวังแรงกระตุ้นจากการลงทุนภาครัฐซึ่งหากรัฐสามารถดำเนินนโยบายได้ตามกรอบ ด้านแนวโน้มของผลประกอบบจ.ในไตรมาส 2/58 คาดว่ากลุ่มปิโตรเคมีจะมีผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น กลุ่มโรงภาพยนตร์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงแรม ขณะที่กลุ่มแบงก์ จะมีผลการดำเนินทรงตัว
ด้านนายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นสัปดาห์นี้คาดปัจจัยภายในประเทศยังคงกดดันตลาดหุ้น ทั้งการที่องค์กรการบินระหว่างประเทศ หรือ ICAO ปักธงแดงกรมการบินพลเรือน (บพ.) ของไทยสู่สาธารณะว่ามีมาตรฐานการบินไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศ ปัญหาหนี้สินของกรีซยังคงกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ เพราะแม้ว่าจะมีรายงานข่าวสื่อต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB ได้อนุมัติให้เพิ่มเพดานเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือ Emergency Liquidity Assistance : ELA ในการประชุมเมื่อคืนนี้ และเตรียมพร้อมประเมินที่จะสภาพคล่องของธนาคารต่างๆ ของกรีซอีกครั้งเมื่อถึงเวลาที่จำเป็น แต่ ECB ก็ยังไม่ได้เปิดเผยวงเงินที่ปรับขึ้นล่าสุด
นายวรุตม์ มองกรอบ SET Index ที่ 1,470-1,510 จุดพร้อมแนะนำให้ลงทุนในหุ้น Defensive ที่ทนทานต่อความผันผวนต่อตลาดสูง และมี P/BV ต่ำ และหุ้นปันผล
นายพงษ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี จะปรับตัวดีขึ้นจากการลงทุนของรัฐบาลโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนและนักลงทุนไทย ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติ ยังรอความชัดเจนของรัฐธรรมนูญ และการกำหนดวันเลือกตั้ง เพื่อตัดสินใจกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
“ปัจจัยโรคระบาดเมอร์ส และกรณีที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ขึ้นธงแดงว่า ไทยไม่ผ่านมาตรฐานการบิน จะส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน และโรงแรม ในระยะสั้น และเชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถดูแลบริหารจัดการได้ ดังนั้น ถือเป็นจังหวะดีที่นักลงทุนจะทยอยสะสมหุ้นในระหว่างที่ราคาตกลงได้ สำหรับดัชนีหุ้นไทยปีนี้มองว่าจะอยู่ที่ 1,650 จุด” นายพงษ์พิเชษฐ์ กล่าว
สอดคล้องกับนายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังนี้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เนื่องจากตลาดฯจะได้รับปัจจัยหนุนหลังภาครัฐฯเริ่มมีความชัดเจนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการต่างๆ จึงแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวที่ได้รับผลดีจากการท่องเที่ยว และการลงทุนในโครงการขนาดใหญาของภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้น
“มองกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั้งปีที่ 1,500-1,600 จุด คาดว่าจะไม่ต่ำไปกว่า 1,470 จุด คาดว่าน่าจะมีเริ่มมีการประมูลโครงการใหม่เกิดขึ้นหลายๆโครงการในระยะเวลาต่อจากนี้ ส่วนผลกระทบจากไวรัสเมอร์สมองว่าจะเป็นผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้น เพราะเชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุขไทยจะสามารถควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวได้ ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้งติดต่อกันของ กนง.ธปท.เป็นผลดีที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ในขณะเดียวกันยังส่งดีต่อค่าเงินบาท ทำให้ปรับตัวอ่อนค่าลงมาในช่วงที่ผ่านมา และจะเป็นผลดีต่อการส่งออกในครึ่งปีหลังด้วย” นายบุญชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดวันที่ 22 มิถุนายน 58 ไปที่ 1,504.06 จุด เพิ่มขึ้น 12.60 จุด เปลี่ยนแปลง +0.84% มูลค่าการซื้อขาย 33,046.05 จุด โดยดัชนีแตะจุดสูงสุดของวันที่ 1,509.39 จุด และต่ำสุดที่ 1,492.18 จุด โดยสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 884.49 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 328.97 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 95.33 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,308.79 ล้านบาท
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการสายงานวิจัยลูกค้าบุคคลบล.บัวหลวง สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (22 มิ.ย.) เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวแดนบวก เนื่องจากปัจจัยกดดันทั้งจากภายนอก และในประเทศเริมคลี่คลาย โดยเฉพาะความกังวลโรคเมอร์สที่ยังไม่มีพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม ส่วนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มสายการ กลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งฟื้นตัวขึ้นมาได้ มองว่าเป็นภาพของพฤติกรรมนักลงทุนที่เปลี่ยนไป โดยกลับมาซื้อหุ้นเร็วขึ้น มองว่าอาจจะเป็นเพราะประเมินจากผลกระทบต่อราคาหุ้นเทียบกับการปรับตัวลงที่รุนแรงกว่ามาก ดังนั้นการเข้าสะสมลงทึนในช่วงที่ราคาต่ำจึงมีโอกาสได้สะสมหุ้นที่ในราคาที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานและได้รับผลตอบแทนที่ดี
พร้อมกันนี้แนะนำให้เข้าลงทุนในหุ้น Domestic Play อิงการบริโภคภายในประเทศ โดยความคาดหวังแรงกระตุ้นจากการลงทุนภาครัฐซึ่งหากรัฐสามารถดำเนินนโยบายได้ตามกรอบ ด้านแนวโน้มของผลประกอบบจ.ในไตรมาส 2/58 คาดว่ากลุ่มปิโตรเคมีจะมีผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น กลุ่มโรงภาพยนตร์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโรงแรม ขณะที่กลุ่มแบงก์ จะมีผลการดำเนินทรงตัว
ด้านนายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นสัปดาห์นี้คาดปัจจัยภายในประเทศยังคงกดดันตลาดหุ้น ทั้งการที่องค์กรการบินระหว่างประเทศ หรือ ICAO ปักธงแดงกรมการบินพลเรือน (บพ.) ของไทยสู่สาธารณะว่ามีมาตรฐานการบินไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศ ปัญหาหนี้สินของกรีซยังคงกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ เพราะแม้ว่าจะมีรายงานข่าวสื่อต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB ได้อนุมัติให้เพิ่มเพดานเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือ Emergency Liquidity Assistance : ELA ในการประชุมเมื่อคืนนี้ และเตรียมพร้อมประเมินที่จะสภาพคล่องของธนาคารต่างๆ ของกรีซอีกครั้งเมื่อถึงเวลาที่จำเป็น แต่ ECB ก็ยังไม่ได้เปิดเผยวงเงินที่ปรับขึ้นล่าสุด
นายวรุตม์ มองกรอบ SET Index ที่ 1,470-1,510 จุดพร้อมแนะนำให้ลงทุนในหุ้น Defensive ที่ทนทานต่อความผันผวนต่อตลาดสูง และมี P/BV ต่ำ และหุ้นปันผล
นายพงษ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี จะปรับตัวดีขึ้นจากการลงทุนของรัฐบาลโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนและนักลงทุนไทย ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติ ยังรอความชัดเจนของรัฐธรรมนูญ และการกำหนดวันเลือกตั้ง เพื่อตัดสินใจกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
“ปัจจัยโรคระบาดเมอร์ส และกรณีที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ขึ้นธงแดงว่า ไทยไม่ผ่านมาตรฐานการบิน จะส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน และโรงแรม ในระยะสั้น และเชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถดูแลบริหารจัดการได้ ดังนั้น ถือเป็นจังหวะดีที่นักลงทุนจะทยอยสะสมหุ้นในระหว่างที่ราคาตกลงได้ สำหรับดัชนีหุ้นไทยปีนี้มองว่าจะอยู่ที่ 1,650 จุด” นายพงษ์พิเชษฐ์ กล่าว
สอดคล้องกับนายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังนี้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เนื่องจากตลาดฯจะได้รับปัจจัยหนุนหลังภาครัฐฯเริ่มมีความชัดเจนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการต่างๆ จึงแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวที่ได้รับผลดีจากการท่องเที่ยว และการลงทุนในโครงการขนาดใหญาของภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้น
“มองกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั้งปีที่ 1,500-1,600 จุด คาดว่าจะไม่ต่ำไปกว่า 1,470 จุด คาดว่าน่าจะมีเริ่มมีการประมูลโครงการใหม่เกิดขึ้นหลายๆโครงการในระยะเวลาต่อจากนี้ ส่วนผลกระทบจากไวรัสเมอร์สมองว่าจะเป็นผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้น เพราะเชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุขไทยจะสามารถควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวได้ ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้งติดต่อกันของ กนง.ธปท.เป็นผลดีที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ในขณะเดียวกันยังส่งดีต่อค่าเงินบาท ทำให้ปรับตัวอ่อนค่าลงมาในช่วงที่ผ่านมา และจะเป็นผลดีต่อการส่งออกในครึ่งปีหลังด้วย” นายบุญชัย กล่าว