ASTVผู้จัดการรายวัน - "หม่อมอุ๋ย" คาดจีดีดีพปี 58-59 โต 3-4% โครงการลงทุนภาครัฐปัจจัยหนุนพร้อมลุ้นการส่งออกฟื้นตัว ส่วนคัดเลือกผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ให้รัฐมนตรีคลังตัดสินใจแต่ต้องให้ความสำคัญเรื่องค่าเงิน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาเปิดงาน ประชุมประจำปี ของกรรมการบริษัทไทย จัดโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.) ว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิของไทยในปี 58-59 คาดว่าจะขยายตัวได้ 3-4% ปัจจัยหนุนมาจากการลงทุนภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ซึ่งรัฐบาลมีการเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณออกมาเพื่อให้การลงทุนในโครงการต่างๆ เดินหน้า
ประกอบกับงบประมาณปี 59 รัฐบาลจะเร่งการเบิกจ่ายออกมาตั้งแต่เดือน ต.ค.ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลเป็นห่วงโซ่ทำให้การลงทุนของภาคเอกชนมีการขับเคลื่อนหลังจากภาครัฐมีการเริ่มใช้จ่ายเพื่อลงทุน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังมีตัวฉุดจากภาคการส่งออกที่ยังมีการชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจในต่างประเทศรวมไปถึงประเทศคู่ค้าไม่ดี ทำให้ตัวเลขการส่งออกในช่วงที่ผ่านมาไม่ดี แต่ในปัจจุบันมีปัจจัยที่ช่วยให้ภาคการส่งออกมีโอกาสจะฟื้นตัวขึ้น คือ เงินบาทที่อ่อนค่าลง จะทำให้การส่งออกได้มากขึ้น ซึ่งต้องมีการดูตัวเลขภลคการส่งออกอีกครั้งใน 3 เดือนให้หลัง หรือในเดือนกันยายนว่า ตัวเลขการส่งออกจะมีการฟื้นตัวขึ้นหรือไม่
"หากการส่งออกกลับมาขยายตัวได้ตามปกติที่มากกว่าร้อยละ 10 ซึ่งเป็นช่วงที่ภาคอุตสาหกรรมไทยมีการปรับสินค้าส่งออกให้ตรงความต้องการของตลาดโลก ก็จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4-5" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวและว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะต้องมีการขยายตัวอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แบบเมื่อก่อน อย่างโครงการรถคันแรกที่โตได้แค่ปีครึ่งแล้วหลังจากนั้นก็ตกลงมา เราต้องดูความถูกต้องไม่งั้นจะแย่ เอกชนก็ด้วย ควรเลิกการหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง อยากให้ทุกคนสนใจการเติบโตอย่างยั่งยืน และยึดหลักการมีธรรมภิบาล
ส่วนความเสียหายจากโครงการจำนำข้าวนั้น ประเมินความเสียหายอยู่ที่เกือบ 6 แสนล้านบาท ซึ่งมองว่าเป็นโครงการล้มเหลวของรัฐบาลชุดก่อนที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ นอกจากนี้รัฐบาลชุดนี้ยังได้เดินหน้าในการขจัดธุรกิจสีเทาต่างๆ ที่สร้างความเสียหายเกิดขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รวมไปถึงนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลจะออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นจะเริ่มหันมาสนใจการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักธรรมมาภิบาล
สำหรับการหาผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่นั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ตนจะไม่ยุ่งกับการตัดสินใจคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท. โดยจะให้นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เป็นผู้ตัดสินใจ โดยรายชื่อผู้สมัครผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ทั้ง 5 คน ถือเป็นบุคคลที่มีประวัติดี ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ที่ทดลองทฤษฎี ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงหากเข้ามารับตำแหน่ง
"จะเป็นคนนอกหรือคนในก็ได้ แต่ขอให้การทำงานแบบผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ดี บุคลากรของ ธปท.มีการทำงานกันเป็นทีมและมีความเข้มแข็ง พร้อมสนับสนุนการทำงานจึงไม่น่ากังวล" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว.
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาเปิดงาน ประชุมประจำปี ของกรรมการบริษัทไทย จัดโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.) ว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิของไทยในปี 58-59 คาดว่าจะขยายตัวได้ 3-4% ปัจจัยหนุนมาจากการลงทุนภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ซึ่งรัฐบาลมีการเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณออกมาเพื่อให้การลงทุนในโครงการต่างๆ เดินหน้า
ประกอบกับงบประมาณปี 59 รัฐบาลจะเร่งการเบิกจ่ายออกมาตั้งแต่เดือน ต.ค.ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลเป็นห่วงโซ่ทำให้การลงทุนของภาคเอกชนมีการขับเคลื่อนหลังจากภาครัฐมีการเริ่มใช้จ่ายเพื่อลงทุน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังมีตัวฉุดจากภาคการส่งออกที่ยังมีการชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจในต่างประเทศรวมไปถึงประเทศคู่ค้าไม่ดี ทำให้ตัวเลขการส่งออกในช่วงที่ผ่านมาไม่ดี แต่ในปัจจุบันมีปัจจัยที่ช่วยให้ภาคการส่งออกมีโอกาสจะฟื้นตัวขึ้น คือ เงินบาทที่อ่อนค่าลง จะทำให้การส่งออกได้มากขึ้น ซึ่งต้องมีการดูตัวเลขภลคการส่งออกอีกครั้งใน 3 เดือนให้หลัง หรือในเดือนกันยายนว่า ตัวเลขการส่งออกจะมีการฟื้นตัวขึ้นหรือไม่
"หากการส่งออกกลับมาขยายตัวได้ตามปกติที่มากกว่าร้อยละ 10 ซึ่งเป็นช่วงที่ภาคอุตสาหกรรมไทยมีการปรับสินค้าส่งออกให้ตรงความต้องการของตลาดโลก ก็จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4-5" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวและว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะต้องมีการขยายตัวอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แบบเมื่อก่อน อย่างโครงการรถคันแรกที่โตได้แค่ปีครึ่งแล้วหลังจากนั้นก็ตกลงมา เราต้องดูความถูกต้องไม่งั้นจะแย่ เอกชนก็ด้วย ควรเลิกการหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง อยากให้ทุกคนสนใจการเติบโตอย่างยั่งยืน และยึดหลักการมีธรรมภิบาล
ส่วนความเสียหายจากโครงการจำนำข้าวนั้น ประเมินความเสียหายอยู่ที่เกือบ 6 แสนล้านบาท ซึ่งมองว่าเป็นโครงการล้มเหลวของรัฐบาลชุดก่อนที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ นอกจากนี้รัฐบาลชุดนี้ยังได้เดินหน้าในการขจัดธุรกิจสีเทาต่างๆ ที่สร้างความเสียหายเกิดขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รวมไปถึงนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลจะออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นจะเริ่มหันมาสนใจการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักธรรมมาภิบาล
สำหรับการหาผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่นั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ตนจะไม่ยุ่งกับการตัดสินใจคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท. โดยจะให้นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เป็นผู้ตัดสินใจ โดยรายชื่อผู้สมัครผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ทั้ง 5 คน ถือเป็นบุคคลที่มีประวัติดี ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ที่ทดลองทฤษฎี ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงหากเข้ามารับตำแหน่ง
"จะเป็นคนนอกหรือคนในก็ได้ แต่ขอให้การทำงานแบบผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ดี บุคลากรของ ธปท.มีการทำงานกันเป็นทีมและมีความเข้มแข็ง พร้อมสนับสนุนการทำงานจึงไม่น่ากังวล" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว.