ญาติเหยื่อ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ที่ถูกยิงดับคาโรงพัก แห่ศพร้องนายกฯ ขอความเป็นธรรม ยันผู้ตายเป็นคนดี แต่ตร.ทำเกินกว่าเหตุ ด้านผบ.ตร.สั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง พร้อมให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เบื้องต้นให้การช่วยเหลือสำหรับครอบครัวผู้เสียชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี นายอัสนีชัยพล เจริญวินิจ อายุ 30 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเสียชีวิตบนโรงพักสถานีตำรวจภูธร (สภ.) ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อเวลา 13.20 น.วานนี้ (8 มิ.ย.) นายจีระพงษ์ เจริญวินิจ บิดาของผู้เสียชีวิตพร้อมญาติ และนายกิตติศักดิ์ ขุนทองไทย อดีตรองนายกเทศมนตรีธัญบุรี ได้ร่วมแห่โลงศพ ที่อ้างว่าบรรจุศพของนายอัสนีชัยพล มายังศูนย์บริการประชาชน สำนักงาน ก.พ. เพื่อร้องขอความเป็นธรรมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
โดยนายจีระพงษ์ เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนและภรรยา พร้อมด้วยลูกชายได้ไปเที่ยวห้างบิ๊กซี ย่านธัญบุรี ก่อนจะแยกกับลูกชาย โดยตนกับภรรยาได้กลับบ้านไปก่อน ซึ่งลูกชายจะเดินเล่นสักพัก แล้วจะกลับตามไป จนกระทั่งเมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 6 มิ.ย. ลูกชายได้โทรมาหา และบอกว่าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็กลับ จนกระทั่งช่วงเช้าวันที่ 7 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ได้โทรมาบอกตนว่า ลูกชายอยู่ที่โรงพัก แต่เมื่อตนเดินทางไปถึง กลับพาตนไปโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ เพื่อให้ดูศพลูกชาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า ลูกชายตนใช้มีดบุกขึ้นไปทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนทำให้ตำรวจต้องชักปืนยิงใส่เป็นการป้องกันตัว
"กระผมผู้เป็นพ่อ อยากจะร้องเรียนขอความเป็นธรรมว่า เหตุการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร และตำรวจต้องทำร้ายลูกผมขนาดนี้ ถึงขนาดยิงลูกผมตาย เกินกว่าเหตุ กับที่ทางตำรวจควรจะทำหรือเปล่า ถ้าลูกผมเป็นคนร้ายจริงๆ หรือโดยทั่วไปตำรวจยิงประชาชนได้ง่ายแบบนี้เลยหรือ ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้หรือ" นายจีระพงษ์ กล่าว และว่า ขอความเมตตาจากนายกฯ ช่วยทำความถูกต้องให้เกิดกับครอบครัวตน ตนมีลูกคนเดียว และลูกตนเป็นเด็กดีมาก
ด้านนายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าผู้เสียชีวิต เป็นคนดี และไม่มีอคติอะไรกับตำรวจ เพราะผู้เสียชีวิตเคยสอบตำรวจได้ แต่ติดที่ตาบอดสีจึงไม่ได้เป็น โดยวันที่เกิดเหตุ ผู้เสียชีวิตได้จ้างวินมอร์เตอไซค์ ให้ไปส่งที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ เพื่อจะไปแจ้งความว่า กำลังถูกคุกคาม ส่วนที่มีการระบุว่า พกอาวุธไปด้วยนั้น ตนไม่ทราบ แต่ถึงให้พกอาวุธไปด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สมควรที่จะยิง มันต้องมีขั้นตอน เป็นไปตามลำดับ หรือถ้ายิง ก็อาจเล็งไปที่แขน หรือขา เพื่อระงับเหตุ แต่กรณีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ และที่เราไม่ไปร้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากไม่แน่ใจในความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม พวกเราพยายามที่จะขอดูกล้องวงจรปิดบนโรงพัก เพื่อดูว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง โดยอ้างว่ายังดูไม่ได้
ด้านพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. กล่าวว่าทางท่าน ผบ.ตร สั่งการให้ตน ดำเนินการตั้งคณะกรรมการ เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเบื้องต้นได้ได้มีการดำเนินคดีกับส.ต.ต.ไพสิฏฐ์ แล้วในข้อหา "ดำเนินการโดยประมาท อ้างว่าอยู่ในหน้าที่" และจะต้องมีการสอบสวนต่อไป
ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.กล่าวเสริมว่า จากเหตุดังกล่าวจะต้องทำการสอบสวนด้วยความโปร่งใส ตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย สำหรับการวิสามัญปัจจัยทั่วไปคือ เมื่อคนเราทุกคนสามารถป้องกันตนเองได้หากมีอันตรายมาถึงตัว แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ต้องมีการฝึกทักษะ ในใช้อาวุธ ให้มีความชำนาญในการใช้อาวุธ เพื่อให้สามารถใช้อาวุธได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจิตใจคนเรานั้นไม่เหมือนกัน การตัดสินใจก็ไม่เหมือนกัน หากตัวผมเองก็บอกไม่ได้ว่า ถ้าต้องตกอยู่ในสถานะการณ์เช่นนั้นจะตัดสินใจยิงหรือไม่ยิง สำหรับครอบครัวของผู้ตายนั้น ขณะนี้ได้มีการช่วยเหลือดูแลครอบครัวของผู้ตายอย่างเต็มที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี นายอัสนีชัยพล เจริญวินิจ อายุ 30 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเสียชีวิตบนโรงพักสถานีตำรวจภูธร (สภ.) ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อเวลา 13.20 น.วานนี้ (8 มิ.ย.) นายจีระพงษ์ เจริญวินิจ บิดาของผู้เสียชีวิตพร้อมญาติ และนายกิตติศักดิ์ ขุนทองไทย อดีตรองนายกเทศมนตรีธัญบุรี ได้ร่วมแห่โลงศพ ที่อ้างว่าบรรจุศพของนายอัสนีชัยพล มายังศูนย์บริการประชาชน สำนักงาน ก.พ. เพื่อร้องขอความเป็นธรรมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
โดยนายจีระพงษ์ เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนและภรรยา พร้อมด้วยลูกชายได้ไปเที่ยวห้างบิ๊กซี ย่านธัญบุรี ก่อนจะแยกกับลูกชาย โดยตนกับภรรยาได้กลับบ้านไปก่อน ซึ่งลูกชายจะเดินเล่นสักพัก แล้วจะกลับตามไป จนกระทั่งเมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 6 มิ.ย. ลูกชายได้โทรมาหา และบอกว่าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็กลับ จนกระทั่งช่วงเช้าวันที่ 7 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ได้โทรมาบอกตนว่า ลูกชายอยู่ที่โรงพัก แต่เมื่อตนเดินทางไปถึง กลับพาตนไปโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ เพื่อให้ดูศพลูกชาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า ลูกชายตนใช้มีดบุกขึ้นไปทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนทำให้ตำรวจต้องชักปืนยิงใส่เป็นการป้องกันตัว
"กระผมผู้เป็นพ่อ อยากจะร้องเรียนขอความเป็นธรรมว่า เหตุการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร และตำรวจต้องทำร้ายลูกผมขนาดนี้ ถึงขนาดยิงลูกผมตาย เกินกว่าเหตุ กับที่ทางตำรวจควรจะทำหรือเปล่า ถ้าลูกผมเป็นคนร้ายจริงๆ หรือโดยทั่วไปตำรวจยิงประชาชนได้ง่ายแบบนี้เลยหรือ ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้หรือ" นายจีระพงษ์ กล่าว และว่า ขอความเมตตาจากนายกฯ ช่วยทำความถูกต้องให้เกิดกับครอบครัวตน ตนมีลูกคนเดียว และลูกตนเป็นเด็กดีมาก
ด้านนายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าผู้เสียชีวิต เป็นคนดี และไม่มีอคติอะไรกับตำรวจ เพราะผู้เสียชีวิตเคยสอบตำรวจได้ แต่ติดที่ตาบอดสีจึงไม่ได้เป็น โดยวันที่เกิดเหตุ ผู้เสียชีวิตได้จ้างวินมอร์เตอไซค์ ให้ไปส่งที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ เพื่อจะไปแจ้งความว่า กำลังถูกคุกคาม ส่วนที่มีการระบุว่า พกอาวุธไปด้วยนั้น ตนไม่ทราบ แต่ถึงให้พกอาวุธไปด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สมควรที่จะยิง มันต้องมีขั้นตอน เป็นไปตามลำดับ หรือถ้ายิง ก็อาจเล็งไปที่แขน หรือขา เพื่อระงับเหตุ แต่กรณีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ และที่เราไม่ไปร้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากไม่แน่ใจในความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม พวกเราพยายามที่จะขอดูกล้องวงจรปิดบนโรงพัก เพื่อดูว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง โดยอ้างว่ายังดูไม่ได้
ด้านพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. กล่าวว่าทางท่าน ผบ.ตร สั่งการให้ตน ดำเนินการตั้งคณะกรรมการ เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเบื้องต้นได้ได้มีการดำเนินคดีกับส.ต.ต.ไพสิฏฐ์ แล้วในข้อหา "ดำเนินการโดยประมาท อ้างว่าอยู่ในหน้าที่" และจะต้องมีการสอบสวนต่อไป
ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.กล่าวเสริมว่า จากเหตุดังกล่าวจะต้องทำการสอบสวนด้วยความโปร่งใส ตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย สำหรับการวิสามัญปัจจัยทั่วไปคือ เมื่อคนเราทุกคนสามารถป้องกันตนเองได้หากมีอันตรายมาถึงตัว แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ต้องมีการฝึกทักษะ ในใช้อาวุธ ให้มีความชำนาญในการใช้อาวุธ เพื่อให้สามารถใช้อาวุธได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจิตใจคนเรานั้นไม่เหมือนกัน การตัดสินใจก็ไม่เหมือนกัน หากตัวผมเองก็บอกไม่ได้ว่า ถ้าต้องตกอยู่ในสถานะการณ์เช่นนั้นจะตัดสินใจยิงหรือไม่ยิง สำหรับครอบครัวของผู้ตายนั้น ขณะนี้ได้มีการช่วยเหลือดูแลครอบครัวของผู้ตายอย่างเต็มที่
