xs
xsm
sm
md
lg

ห่วงพระเป็นเบาหวาน สธ.ขอตักบาตรเมนูสุขภาพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สธ.ระบุพระสงฆ์ ร้อยละ 55 เสี่ยงป่วยด้วยโรคโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ โรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ชวนคนไทยทำบุญตักบาตรด้วยเมนูชูสุขภาพ ลดหวาน มัน เค็มป้องกันการเกิดโรค ด้าน กรมควบคุมโรค เข้มวิสาขบูชาไม่ขายเหล้า ส่งทีมเจ้าหน้าที่ตรวจเข้ม พร้อมตั้งรางวัลนำจับฝากปชช.แจ้งเบาะแส

วานนี้ (31 พ.ค.) ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า เนื่องในวันวิสาขบูชา ประชาชนส่วนใหญ่จะนิยมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับตนเอง แต่หากไม่ใส่ใจและคำนึงถึงเมนูที่จะนำมา การตักบาตรก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพพระสงฆ์ได้ โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูงและโรคหัวใจ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการเมนูอาหารที่ไม่หลากหลายและมักประกอบด้วยแป้ง น้ำตาล ไขมัน และกะทิที่ให้พลังงานสูงมากเกินความต้องการของร่างกาย ก่อให้เกิดการสะสมไขมันส่วนเกินเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งจากการตรวจสุขภาพพระสงฆ์ใน 2554 จำนวน 98,561 รูป พบว่า พระสงฆ์ร้อยละ 5 หรือ 5,381 รูป อยู่ในภาวะอ้วน ร้อยละ 55 ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูงและเบาหวาน พระสงฆ์บางรูปป่วยมากกว่า 1 โรค ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการฉันอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดีของพระสงฆ์ประชาชนจึงควรทำบุญตักบาตรด้วยอาหารเมนูชูสุขภาพ ลดหวาน มัน เค็ม

ด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า อาหารเมนูชูสุขภาพ ได้แก่ การเลือกใช้ข้าวกล้องแทนข้าวขาว เมนูที่ให้ใยอาหารสูง เช่น ผักและผลไม้ต่าง ๆ เพื่อจะได้มีกากอาหารช่วยในการขับถ่าย เมนูที่ให้แคลเซียมสูง เช่น นมจืดหรือนมพร่องมันเนย ปลาเล็กปลาน้อย ผัดผักที่มีใบเขียวเข้ม เต้าหู้แข็ง เพื่อช่วยเสริมสร้างกระดูกไม่ให้เปราะบาง แตกหรือหักง่าย เมนูที่ให้ไขมันต่ำ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา เพื่อลดพลังงานส่วนเกินที่จะไปสะสมในร่างกายซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน หากต้องการปรุงอาหารประเภทผัดหรือกะทิก็ต้องใช้น้ำมันและกะทิแต่น้อย เน้นการต้ม นึ่ง อบ ยำ หรือทำเป็นน้ำพริก ปรุงจากอาหารอย่างน้อยครบ 4 หมู่ และเพิ่มผลไม้เพื่อให้ครบ 5 หมู่

ขณะที่ นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 กำหนดการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา โดยวันวิสาขบูชา ที่กำลังจะมาถึงตรงกับวันที่1 มิ.ย.ซึ่งห้ามขายสุราตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่31พ.ค.จนถึงเวลา24.00 น.ของวันที่1มิ.ย. ฝ่าฝืนโทษจำคุก6เดือน ปรับ1หมื่น หรือทั้งจำทั้งปรับ หากใครพบการจำหน่ายสุรา สามารถแจ้งมาได้ที่สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โทร.02-5903342 ได้ตลอด24ชั่วโมง ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเฝ้าระวังอีกแรง ทางกรมจะมีรางวัลนำจับ หากประชาชนแจ้งเบาะแส ก็มีเงินรางวัลให้กับผู้แจ้งด้วย เพราะลำพังเฉพาะเจ้าหน้าที่อาจไม่ทั่วถึง คงต้องอาศัยประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา

“จากการเฝ้าระวังที่ผ่านมาทุกปี ยังพบการทำผิดกฎหมาย คือ ร้านอาหารขนาดเล็ก ยังลักลอบขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึง โชว์ห่วยรายย่อย ร้านค้าในชุมชนหมู่บ้าน ส่วนใหญ่อ้างว่าไม่ทราบกฎหมาย ซึ่งหลังจากนี้ทางกรมจะส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจเข้มระหว่างวันที่ 31พ.ค.-2มิ.ย.หากพบว่าผิดจะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้นอกจากวันเวลาที่ห้ามขายแล้ว ต้องเฝ้าระวังอายุของผู้ซื้อต้องไม่ต่ำกว่า20ปี หรือสถานที่ห้ามขาย ได้แก่ วัด โรงพยาบาล ร้านขายยา สถานที่ราชการ สถานศึกษา หอพัก ปั๊มน้ำมัน บนถนน สถานีขนส่งทางบก ทางเรือ รถไฟ สวนสาธารณะ อุทยานแห่งชาติ” นายแพทย์โสภณ กล่าว

นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า โดยภาพรวมถือว่าคนไทยให้ความสำคัญกับวันพระใหญ่และถือโอกาสงดดื่มหันมาเข้าวัดทำบุญ ซึ่งกฎหมายจะบังคับได้ดีหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนและเทคโนโลยีในการตรวจจับอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องเคารพกฎหมายเมื่อมีกติกาก็ต้องปฏิบัติตาม โดยเฉพาะการคำนึงถึงสุขภาพของลูกค้า ส่วนผู้ดื่มต้องตระหนักว่าแอลกอฮอล์ไม่ได้ดีกับสุขภาพ มีแต่สร้างความแตกแยกในครอบครัว เกิดความรุนแรง อุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บในระยะยาว โดยเฉพาะตับแข็ง เบาหวานความดัน หัวใจ ตามมามากมาย ทั้งนี้ยืนยันว่า พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ ออกมาเมื่อปกป้องสุขภาพ ปกป้องคนในสังคม ไม่มีเจตนาที่จะไปกลั่นแกล้งใคร

** เด็กสวดโอ้เอ้วัดบวรเจ๋งสอบ “จุฬา-สวนสุนันทา”

วันเดียวกัน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชาและอัฏฐมีบูชา ประจำปี 2558 ระหว่างวันที่ 29 พ.ค.-9 มิ.ย. ศูนย์จริยศึกษา กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม จัดสาธิตสวดโอ้เอ้วิหารรายของน้องๆเยาวชนระดับประถมศึกษาตามโครงการประกวดสวดโอ้เอ้วิหารราย ประจำปี 2558 เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 63 พรรษา 28 กรกฎาคม 2558 โดยนายอนุสรณ์ กะดามัน อาจารย์ผู้ฝึกสอนสวดโอ้เอ้วิหารรายโรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร กล่าวว่า ทางโรงเรียนได้ให้ความร่วมมือกับกรมการศาสนา จัดสอนเด็กสวดโอ้เอ้วิหารรายมาตั้งแต่ปี 2553 แล้วนำเด็กเข้าประกวดตั้งแต่ปี 2555 ถึงปี 2558 ผลปรากฏว่าได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทชายล้วนติดต่อกันมา 4 สมัย

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่เปิดสอนการสวดโอ้เอ้วิหารรายในวิชาภาษาไทยมา 6 ปี ได้รับความสนใจจากนักเรียนเป็นจำนวนมาก จากเด็กที่เรียนภาษาไทยไม่เก่ง มีปัญหาเรื่องสะกดคำ ก็พูดภาษาไทยดีขึ้น จนเรียกได้ว่าเรียนภาษาไทยได้เกรดที่ดีเลยทีเดียว นอกจากนี้การสวดโอ้เอ้วิหารรายยังช่วยให้เด็กมีสมาธิ เรียนหนังสือเก่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นใบเบิกทางให้ลูกศิษย์ได้เข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น นายธงไชย กาญจนบำรุงสกุล ที่ใช้ผลงานและผลงานในการสอบสัมภาษณ์เข้าคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 แล้ว ล่าสุดนายสุรพันธ์ พงษ์พิยเดช วัย 18 ปี เพิ่งเรียนจบชั้น ม.6 นำผลงานและความสามารถพิเศษเรื่องการสวดโอ้เอ้วิหารราย ไปสอบเข้าโครงการช้างเผือกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ ขณะนี้เป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นตัวอย่างที่ดีต่อเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่

ด้านนายสุรพันธ์ ซึ่งได้เข้ามาช่วยฝึกสอนน้องๆโรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร ในโอกาสวันวิสาขบูชาฯ ครั้งนี้ เปิดเผยว่า หากมีเวลาว่างก็จะมาช่วยคุณครูสอนน้องๆ และร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหารตลอด ตอนไปสมัครสอบเข้าโครงการช้างเผือกของจุฬาลงกรณ์วิทยาลัย ได้นำเสนอผลงานตัวเองว่าเป็นเด็กที่อยู่ในโครงการสวดโอ้เอ้วิหารราย ซึ่งเป็นทางความสามารถพิเศษ ทำให้เรารู้จักการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง นอกจากการสวดโอ้เอ้วิหารรายจะช่วยให้ประสบความสำเร็จเรื่องการเรียนแล้ว ยังช่วยทางด้านสุขภาพด้วย สมัยเด็กๆ เป็นเด็กสมาธิสั้น อยู่นิ่งไม่ได้ แต่เมื่อเริ่มเข้ามาสวดโอ้เอ้วิหารราย การท่องบทสวดนาน ทำให้เกิดสมาธิ ทำอะไรช้าลง จนขณะนี้หายจากอาการสมาธิสั้น ไม่ต้องใช้ยารักษาอีกต่อไปแล้ว

นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า ทางกรมการศาสนาให้การสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนฝึกสวดโอ้เอ้วิหารรายมาหลายปี ให้เยาวชนได้ใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ ตลอดจนให้เยาวชนได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สืบทอดการสวดโอ้เอ้วิหารรายที่ถูกต้องตามโบราณราชประเพณีตามแบบแผน อักขรวิธี และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้เป็นต้นแบบให้กับเยาวชนไทยในการอนุรักษ์และสืบทอดการสวดโอ้เอ้วิหารรายให้คงอยู่ต่อไป ดังนั้น ศน.จะส่งเสริมและฟื้นฟูสวดโอ้เอ้วิหารต่อไปโดยขยายพื้นที่ไปในต่างจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้เด็กเห็นความสำคัญและเรียนรู้หลักการสวดโอ้เอ้วิหารอย่างถูกต้องตามประเพณีโบราณ ที่สำคัญหันมาสวดโอ้เอ้วิหารเพิ่มมากขึ้น.
กำลังโหลดความคิดเห็น