xs
xsm
sm
md
lg

“สงคราม” ของ “คนไม่รู้จักพอ”! สุดท้าย..ธรรมะ-ชนะ-อธรรม!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

สงคราม-ทำให้มนุษยทั้งโลกเห็นกับตาว่า “มด” ตัวกระจิริด-ล้ม- “ช้าง” ตัวมหึมาได้จริงๆ!

เพลงต่อต้านสงครามเวียดนาม ของศิลปินมะกันที่กระหึ่มไปทั้งโลก ส่งผลสะเทือนมาถึงศิลปินไทยผู้รักสันติภาพมากมาย โดยเฉพาะ “สุรชัย จันทิมาธร” หรือ “หงา คาราวาน” ศิลปินเพื่อชีวิตตัวพ่อของคนไทย ที่ดูหนัง Woodstock ถึง 4 ครั้ง หงาได้นำทำนองเพลงของ Stephen Stills ชื่อ Find the Cost of Freedom ที่ว่า Find the cost of freedom, buried in the ground Mother earth will swallow you, lay your body down มาแต่งเป็นเพลงชื่อ “สานแสงทอง” ที่ว่า “ขอผองเราจงมาร่วมกัน ผูกสัมพันธ์ยิ่งใหญ่ สานแสงทองของความเป็นไทย ด้วยหัวใจบริสุทธิ์”

ถือเป็นเพลงแรกที่หงาแต่งและร้องเป็นครั้งแรก ในช่วงนักศึกษาชุมนุม ขับไล่อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง “ดร.ศักดิ์ ผาสุกนิรันดร์” จากนั้นเพลงนี้ก็ถูกใช้ขับขานบนเวที แทบทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

เพลงฮิตของ CCR ที่วัยรุ่นทั่วโลกดิ้นกระจาย ยุคต่อต้านสงครามเวียดนามอีกเพลง คือ “Have You Ever Seen the Rain” หรือ “เธอเคยเห็นสายฝนไหม” ซึ่งมีเนื้อหาลึกซึ้งกินใจว่า

Someone told me long ago. There's a calm before the storm, I know; It's been comin' for some time. When it's over, so they say, It'll rain a sunny day, I know; Shinin' down like water. ใครบางคนเคยบอกฉันเมื่อนานมาแล้ว คลื่นลมสงบมักจะเกิดขึ้นก่อนพายุมาเยือนเสมอ ฉันรู้ บางทีพายุก็พัดโหมกระหน่ำเข้ามา เขาว่ากันว่าเมื่อมันสงบลง วันที่ฝนตกแดดออกก็จะมาเยือนเอง ฉันรู้ ส่องประกายลงมาเหมือนดั่งสายน้ำ

I want to know, have you ever seen the rain? I want to know, have you ever seen the rain. Comin' down on a sunny day? ฉันอยากจะรู้ว่าเธอเคยเห็นสายฝนมั้ย? ฉันอยากจะรู้ว่าเธอเคยเห็นสายฝนโปรยปรายในวันแดดจ้ามั้ย?

Yesterday, and days before. Sun is cold and rain is hard, I know; Been that way for all my time. 'Til forever, on it goes. Through the circle, fast and slow, I know; It can't stop, I wonder. วันวาน และวันก่อนหน้านี้ ดวงตะวันนั้นแสนเยือกเย็น และสายฝนกระหน่ำรุนแรง ฉันรู้ มันเป็นอย่างนั้นมาตลอดชีวิตฉันตลอดกาล ผ่านวัฏจักรต่างๆ ทั้งเร็วและช้า ฉันรู้ มันคงไม่มีวันหยุดหรอก ฉันสงสัยเหลือเกิน

I want to know, have you ever seen the rain? I want to know, have you ever seen the rain. Comin' down on a sunny day? ฉันอยากจะรู้ว่าเธอเคยเห็นสายฝนมั้ย? ฉันอยากจะรู้ว่า เธอเคยเห็นสายฝนโปรยปรายในวันแดดจ้ามั้ย?

“ฝน” ของเพลงนี้-คือ-ระเบิด! ที่เครื่องบินรบมะกันทิ้งใส่แผ่นดินอินโดจีน มากมายดุจสายฝนพร่างพรูนั่นเอง!

CCR ยังแต่งเพลงเกี่ยวกับ “ฝน” ที่หมายถึง “ระเบิด” ไว้ในเพลง “Who'll Stop the Rain” หรือ “ใครจะหยุดสายฝน” ที่มีเนื้อหาบางตอนกล่าวว่า Heard the singers playin’, How we cheered for more. The crowd had rushed together, Tryin’ to keep warm. Still the rain kept pourin’, Fallin’ on my ears. And I wonder, Still I wonder, Who'll stop the rain. ไม่ว่าผู้คนจะรวมตัวกันเรียกร้องขนาดไหน สายฝนนั้นก็ยังกระหน่ำในหูของผม และผมสงสัยจริงๆ ใครจะหยุดสายฝนนั้น ?

ยุคนั้น..ใครหนุนสงครามเวียดนาม รัฐบาลทุนสามานย์มะกันจะสรรเสริญว่า “รักชาติ”!

ใครต่อต้านสงครามเวียดนาม จะโดนรัฐบาลมะกันป้ายสีว่า “ทรยศชาติ” ก่อนจะยัดข้อหาเป็น “คอมมิวนิสต์” ให้อีกด้วย

ดังนั้น ขณะที่รัฐบาลมะกันขนสาวๆ แต่งตัวโป๊ๆ บินไป “ปลุกใจเสือป่า” หรือปลุกขวัญทหารมะกันในเวียดนามใต้ แต่ดาราสาวสวยอย่าง “เจน ฟอนดา” (Jane Fonda) ที่เป็นนักแสดง-นางแบบแฟชั่น-นักเขียน-นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ลูกของผู้กำกับชั้นครู “เฮนรี่ ฟอนด้า” ทำตรงกันข้าม

นั่นคือ นอกจากเจนจะตระเวนไปตามเมือง และมหาวิทยาลัยต่างๆในมะกัน เพื่อต่อต้านสงครามเวียดนามแล้ว เจนยังไปเยือนทหารถึงเวียดนามเช่นกัน แต่เป็นการไปเยี่ยมทหารของเวียดนามเหนือ แถมเจนยังไปออกรายการสถานีวิทยุที่ฮานอย วิพากษ์นโยบายรัฐบาลทุนสามานย์ของตนอีกด้วย

หลังมีภาพเจนอยู่หน้าปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ที่ดูเสมือนพร้อมยิงใส่เครื่องบินของสหรัฐฯออกเผยแพร่ เจนได้ให้คำอธิบายว่า..ภาพที่เห็นนั้น เธอต้องการประท้วงรัฐบาลมะกัน ที่เอาคนอเมริกันไปตายถึงประเทศเวียดนาม เพียงเพื่อผลประโยชน์ของคนไม่กี่คน โดยเธอมิได้ต่อต้านทหารมะกันแต่ประการใดเลย

เมื่อเจนกลับสู่บ้านเกิด เธอได้ถูกทางการเล่นงานอย่างหนักว่า “ไม่รักชาติ” และยังถูกเรียกอย่างประชดประชันว่า “ฮานอย เจน” รวมทั้งโดนกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” อีกด้วย

ห้วงนั้น..ฝ่ายมะกันและรัฐบาลเวียดนามใต้ ตกอยู่ในสภาพยิ่งรบ-ยิ่งยืดเยื้อ-ยิ่งเสียเปรียบ จนประธานาธิบดีนิกสันอุตริ คิดจะทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่เวียดนามเหนือ ภายใต้รหัส “ดั้ก ฮุก” เพื่อพิชิตศึก ดังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีคนตายเป็นเบือ แต่แผนชั่วนี้ถูกคัดค้านจนนิกสันต้องยกเลิกไป

ช่วงหาเสียงเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง ในปี 2515 นิกสันประกาศจะยุติสงครามเวียดนาม แต่เขากลับสั่งให้ทิ้งระเบิดหนักยิ่งขึ้น การเจรจาจึงล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า ท่ามกลางทหารเวียดนามเหนือรุกคืบ เข้ายึดพื้นที่ของรัฐบาลเวียดนามใต้มากขึ้นเรื่อยๆ

หลังได้เป็นประธานาธิบดีมะกันอีกครั้ง นิกสันได้เดินทางไปพบกับ “เหมาเจ๋อตุง” ผู้นำคอมมิวนิสต์ของจีน ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2515 ทันที

แม้นิกสันจะประกาศกร้าวว่า อเมริกาจะยังคงปกป้องเวียดนามใต้ต่อไป แต่รัฐสภาของมะกันกลับตัดความช่วยเหลือทางทหาร แก่รัฐบาลเวียดนามใต้ลง จนประธานาธิบดีเวียดนามใต้ระบุว่า บุคคลสำคัญทั้งหลายของมะกัน ที่สร้างปัญหาให้คนเวียดนามฆ่ากันเอง ได้ทรยศด้วยการปล่อยเกาะรัฐบาลเวียดนามใต้ ให้เผชิญกับการล่มสลายลงอย่างเลือดเย็น

แต่สถานการณ์ย่ำแย่อย่างหนักของรัฐบาลมะกัน ทำให้สหรัฐฯต้องเริ่มถอนทหารจากเวียดนามใต้ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2512 โดยกำลังรบชุดสุดท้าย ได้ออกจากเวียดนามเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2515 เหลือเพียงเจ้าหน้าที่ทางธุรการของมะกันเท่านั้น เมื่อมีการลงนามสงบศึกในสงครามเวียดนามที่กรุงปารีส นิกสันจึงได้ประกาศต่อโลกว่า

“การหยุดยิงจะเริ่มในเวลาเที่ยงคืน ของวันที่ 27 มกราคม ปี 2516 ตามเวลาสากลที่เมืองกรีนิช สหรัฐฯ และเวียดนามเหนือ มีความหวังว่า ข้อตกลงนี้จะสร้างความสงบสุขในเวียดนาม ตลอดจนประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"

หลังจากนั้นทหารสหรัฐฯคนสุดท้าย จึงเดินทางออกจากเวียดนามใต้ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2516

แต่รัฐบาลมะกันยังแอบช่วยเหลือรัฐบาลของเวียดนามใต้ แบบลับๆอย่างต่อเนื่อง ทว่ารัฐบาลไซ่ง่อนสิ้นสภาพจะยืนหยัดได้อีกต่อไปแล้ว เพราะรัฐบาลและผู้นำทหารทั้งหลาย ได้พากันคอร์รัปชั่นปล้นชาติกันอย่างมโหฬาร จนในที่สุด..ทหารเวียดนามเหนือก็ยาตราทัพ เข้ายึดกรุงไซ่ง่อนได้สำเร็จ

นั่นหมายถึง “กองทัพมด-เวียดนามเหนือ” ได้โค่น “กองทัพช้าง-มะกัน”ที่ยิ่งใหญ่ ปิดฉากสงครามเวียดนามลงได้ ในวันที่ 30 เมษายน 2518 นับเป็นบทพิสูจน์หนึ่งของเรื่องราว..ธรรมะ ชนะ อธรรม..!



กำลังโหลดความคิดเห็น