**มีปฏิกิริยาจากพรรคเพื่อไทยที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเกมใหม่ของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่จะเอามาหักเหลี่ยมเฉือนคมกับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่การเลิกเล่นบทดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก หันกลับมาจ้อเพื่อส่งสัญญาณทางการเมืองอีกครั้ง
โดยประเดิมเวทีการประชุมผู้นำเอเชียครั้งที่ 6 ที่ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ในวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่น้องสาวในไส้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะต้องเดินทางไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นครั้งแรก
รวมไปถึงการคัมแบ็กสู่หน้าฉากทางการเมืองของ “2 ผู้เฒ่า”ของค่ายเพื่อไทย อย่าง “เฒ่าจิ๋ว”พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และ “เฒ่าเหนาะ”เสนาะ เทียนทอง แกนนำกลุ่มวังน้ำเย็น ที่กลับมาเคลื่อนไหวแบบถี่ยิบ โดยเฉพาะในรายของ“เฒ่าจิ๋ว”ที่เข้ามามีบทบาทในสนามการเมืองแบบเปิดหน้า จ้อการเมืองแทบจะรายวัน ลงพื้นที่พบปะชาวนา และอดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) แบบคิวแน่นเอี้ยด ยึดหน้าสื่อมาตลอดตั้งแต่เหตุการณ์คาร์บอมบ์ ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
แม้ “เฒ่าจิ๋ว”จะอ้างว่า ที่ผ่านมาลงพื้นที่มาตลอดอยู่แล้ว เหตุใดฝ่ายความมั่นคงเพิ่งมาติดตามเอาช่วงนี้ก็ตาม แต่ทุกคนทราบดีว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีนัยยะทางการเมืองที่สำคัญ โดยเฉพาะในภาวะที่พรรคเพื่อไทย แทบจะไม่มีที่ยืนบนเวทีทางการเมือง คนในตระกูลชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นยิ่งลักษณ์ “ชายจืด”สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตัวละครที่เหลือในมือหวังจะใช้เป็นตัวชูโรง ต่างปิดประตูตายทางการเมืองไปเรียบร้อย
**ขณะเดียวกัน ระยะหลัง “เฒ่าจิ๋ว”เองก็ไปคลุกคลีกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่กุมฐานมวลชนบ่อยขึ้น นั่นเป็นการสะท้อนได้ดีว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าว ไม่ใช่ภาวะปกติทั่วไป แต่อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยลดตัวมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกคำรบ กำลังเป็นหมากในกระดานตัวใหม่ของฝั่งพรรคเพื่อไทย ที่จะใช้ต่อกรกับรัฐบาลทหารของพี่น้องตระกูล“ป.”ซึ่งเป็นแผงอำนาจในปัจจุบัน
แม้อายุอานามจะปาเข้าไปหลักแปดสิบกว่า แถมระยะหลังถูกค่อนแคะว่าหมดน้ำยา เสียผู้เสียคนไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง“เฒ่าจิ๋ว” เองก็ยังมีเขี้ยวเล็บอยู่ โดยเฉพาะเหล่าแม่ทัพนายกอง ทั้งที่ยังอยู่ในราชการ และปลดระวางไปแล้วล้วนเป็นสมุนผู้ภักดี สามารถเรียกใช้งานได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นเกมเบื้องหน้าหรือเกมเบื้องหลัง บนดินไปกระทั่งใต้ดิน หรือแม้แต่ฐานมวลชนตัวเองอย่างพวก ผรท. ที่ผ่านเกมการเมืองมาโชกโชน สามารถเคลื่อนไหวให้เกิดผลตอบรับอย่างใดอย่างหนึ่งได้เสมอ หากมีการกดปุ่ม
ที่สำคัญ “เฒ่าจิ๋ว”เองเคยได้รับการยกย่องว่าเป็น“ขงเบ้ง”ของกองทัพ ถนัดเกมบุ๋นในทางการเมืองคนหนึ่ง แม้ปัจจุบันสมญานามนั้นอาจไม่เข้มขลังแล้วก็ตาม แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองมาโชกโชน เคยทำงานสำคัญๆในอดีตมามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อครั้งร่วมกันแก้ปัญหาประเทศกับ “ป๋าเปรม”พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายชิ้น มากไปกว่านั้น ขึ้น ทหารย่อมรู้ตับไตไส้พุงทหารด้วยกันเองว่า แต่ละย่างก้าวใครคิดอ่านอย่างไร
แม้จะมีการแบะท่าแบบไม่เก็บอาการถึงการกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จนคนตีความว่า“เฒ่าจิ๋ว”คือของเล่นชิ้นเก่าที่นักโทษชายทักษิณหันกลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง แต่นั่นเป็นเรื่องอนาคตที่ต้องดูกันยาวๆ สำคัญตรงปัจจุบันที่บทบาทของอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ กำลังส่งสัญญาณเปิดฉากใส่รัฐบาลของ “บิ๊กตู่”แบบไม่มีกั๊ก และไม่ยำเกรง มาตรา 44 ที่มีอยู่ในมือของ คสช. เห็นได้ชัดเมื่อครั้งที่ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พยายามปรามไม่ให้นักข่าวไปทำข่าวในวันคล้ายวันเกิด ลูกน้องคนสนิท ยังออกมาสวนกลับแบบไม่เกรงกระบองในมือคสช.เลย ว่า เป็นพวกไม่เคยรบ
**พรรคเพื่อไทยตอนนี้เหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอก สมุนลิ่วล้อในองคาพยพแทบไม่มีน้ำยาจะทำอะไรได้ การนำ“2 ผู้เฒ่า”กลับมาทรมานสังขาร จึงเป็นอาวุธสุดท้ายที่นักโทษชายทักษิณพอจะทำได้ อย่างน้อยในแง่ความเกรงอกเกรงใจ รัฐบาลก็ยังมีให้กับ“เฒ่าจิ๋ว”ในฐานะอดีตผู้บังคับบัญชา อดีตนายกรัฐมตรี รุ่นพี่ในกองทัพบ้าง เช่นเดียวกับ “เฒ่าเหนาะ”ที่เป็นนักการเมืองรุ่นลายคราม การที่ คสช.จะตัดสินใจทำอะไรกับทั้งสอง จึงไม่ง่ายเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับพวกขี้ข้าตัวเล็กๆ คนอื่นๆ ที่ซ่าเมื่อไหร่ ก็เรียกเอามาปรับทัศนคติในวันนี้ วันพรุ่งได้เลย
นอกจากนี้ ยังน่าสนใจว่า การเคลื่อนไหวของ “เฒ่าจิ๋ว”ช่วงนี้เกิดขึ้น ในสภาวะที่นักโทษชายทักษิณ แทบจะหมดหนทางในการกลับบ้าน เพราะท่าที “บิ๊กตู่”นั้นเด่นชัดเสมอว่า หากจะกลับมา ต้องรับโทษก่อนเท่านั้น ดังนั้นหากรัฐบาลชุดนี้ยังอยู่ การคัมแบ็ก สู่แผ่นดินแม่แบบเท่ๆ คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน เมื่อจนตรอกก็เหลือแค่ทางเดียวคือ สู้โดยใช้ตัวละครที่พอฟัดพอเหวี่ยงมาชนกันเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน ให้รัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้ ซึ่งเกมนี้ก็เหลือตัวเลือกเพียงอดีตนายทหาร ที่มีเครือข่ายหลายสายเท่านั้นที่พอจะทำได้ ลำพังนักการเมืองตอนนี้ง่อยเปลี้ยเสียขากันหมดแล้ว
กระนั้นก็ตาม ก็ไม่สามารถตัดประเด็นอื่นๆ ทิ้งไปได้เสียทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อมองกลับปูมหลังของ “เฒ่าจิ๋ว”เอง ทุกคนต่างทราบดีว่าทำงานใกล้ชิดผู้มากบารมีแห่งบ้านน้อยเสามาตลอด แม้ระยะหลังจะแสดงตัวว่าอยู่ฝั่งนักโทษชายทักษิณชัดเจน แต่คนอย่าง “เฒ่าจิ๋ว”เป็นพวกอ่านยากเหมือนกัน ว่าตกลงยืนอยู่ข้างไหน และกำลังจะทำอะไรกันแน่ บางทีหนังเรื่องนี้อาจหักมุมก็เป็นได้ ไปๆ มาๆ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป็นอาจเล่นสงครามจิตวิทยาจากคนกันเอง เพื่อส่งสัญญาณเตือนรัฐบาลเด็กดี ว่ากำลังทำตัวเป็นดื้อ
**ซึ่งการเตือนครั้งนี้น่าจะล่อเป้าไปทางฝั่ง“บิ๊กป้อม”มากกว่า“บิ๊กตู่” อย่างที่รู้ๆ กันว่า ผู้มากบารมีคนเก่าไม่ค่อยจะแฮปปี้กับผู้ที่กำลังทำตัวเป็นผู้มากบารมีคนใหม่เท่าใดนัก
ยิ่งส่องสถานการณ์ภายในกองทัพตอนนี้ที่ดูว่าเงียบสงบ อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น เพราะลือกันมาต่อเนื่องแล้วว่า กำลังคัดง้างอำนาจกันอยู่ มีความขัดแย้งและความไม่พอใจเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งเกิดการวัดพลังกันพอสมควร
**การเคลื่อนไหวของเหล่าขุนพลผู้เฒ่าครั้งนี้ จึงน่าจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ “รัฐบาลบิ๊กตู่”ได้ไม่น้อยทีเดียว
โดยประเดิมเวทีการประชุมผู้นำเอเชียครั้งที่ 6 ที่ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ในวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่น้องสาวในไส้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะต้องเดินทางไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นครั้งแรก
รวมไปถึงการคัมแบ็กสู่หน้าฉากทางการเมืองของ “2 ผู้เฒ่า”ของค่ายเพื่อไทย อย่าง “เฒ่าจิ๋ว”พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และ “เฒ่าเหนาะ”เสนาะ เทียนทอง แกนนำกลุ่มวังน้ำเย็น ที่กลับมาเคลื่อนไหวแบบถี่ยิบ โดยเฉพาะในรายของ“เฒ่าจิ๋ว”ที่เข้ามามีบทบาทในสนามการเมืองแบบเปิดหน้า จ้อการเมืองแทบจะรายวัน ลงพื้นที่พบปะชาวนา และอดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) แบบคิวแน่นเอี้ยด ยึดหน้าสื่อมาตลอดตั้งแต่เหตุการณ์คาร์บอมบ์ ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
แม้ “เฒ่าจิ๋ว”จะอ้างว่า ที่ผ่านมาลงพื้นที่มาตลอดอยู่แล้ว เหตุใดฝ่ายความมั่นคงเพิ่งมาติดตามเอาช่วงนี้ก็ตาม แต่ทุกคนทราบดีว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีนัยยะทางการเมืองที่สำคัญ โดยเฉพาะในภาวะที่พรรคเพื่อไทย แทบจะไม่มีที่ยืนบนเวทีทางการเมือง คนในตระกูลชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นยิ่งลักษณ์ “ชายจืด”สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตัวละครที่เหลือในมือหวังจะใช้เป็นตัวชูโรง ต่างปิดประตูตายทางการเมืองไปเรียบร้อย
**ขณะเดียวกัน ระยะหลัง “เฒ่าจิ๋ว”เองก็ไปคลุกคลีกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่กุมฐานมวลชนบ่อยขึ้น นั่นเป็นการสะท้อนได้ดีว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าว ไม่ใช่ภาวะปกติทั่วไป แต่อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยลดตัวมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกคำรบ กำลังเป็นหมากในกระดานตัวใหม่ของฝั่งพรรคเพื่อไทย ที่จะใช้ต่อกรกับรัฐบาลทหารของพี่น้องตระกูล“ป.”ซึ่งเป็นแผงอำนาจในปัจจุบัน
แม้อายุอานามจะปาเข้าไปหลักแปดสิบกว่า แถมระยะหลังถูกค่อนแคะว่าหมดน้ำยา เสียผู้เสียคนไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง“เฒ่าจิ๋ว” เองก็ยังมีเขี้ยวเล็บอยู่ โดยเฉพาะเหล่าแม่ทัพนายกอง ทั้งที่ยังอยู่ในราชการ และปลดระวางไปแล้วล้วนเป็นสมุนผู้ภักดี สามารถเรียกใช้งานได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นเกมเบื้องหน้าหรือเกมเบื้องหลัง บนดินไปกระทั่งใต้ดิน หรือแม้แต่ฐานมวลชนตัวเองอย่างพวก ผรท. ที่ผ่านเกมการเมืองมาโชกโชน สามารถเคลื่อนไหวให้เกิดผลตอบรับอย่างใดอย่างหนึ่งได้เสมอ หากมีการกดปุ่ม
ที่สำคัญ “เฒ่าจิ๋ว”เองเคยได้รับการยกย่องว่าเป็น“ขงเบ้ง”ของกองทัพ ถนัดเกมบุ๋นในทางการเมืองคนหนึ่ง แม้ปัจจุบันสมญานามนั้นอาจไม่เข้มขลังแล้วก็ตาม แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองมาโชกโชน เคยทำงานสำคัญๆในอดีตมามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อครั้งร่วมกันแก้ปัญหาประเทศกับ “ป๋าเปรม”พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายชิ้น มากไปกว่านั้น ขึ้น ทหารย่อมรู้ตับไตไส้พุงทหารด้วยกันเองว่า แต่ละย่างก้าวใครคิดอ่านอย่างไร
แม้จะมีการแบะท่าแบบไม่เก็บอาการถึงการกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จนคนตีความว่า“เฒ่าจิ๋ว”คือของเล่นชิ้นเก่าที่นักโทษชายทักษิณหันกลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง แต่นั่นเป็นเรื่องอนาคตที่ต้องดูกันยาวๆ สำคัญตรงปัจจุบันที่บทบาทของอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ กำลังส่งสัญญาณเปิดฉากใส่รัฐบาลของ “บิ๊กตู่”แบบไม่มีกั๊ก และไม่ยำเกรง มาตรา 44 ที่มีอยู่ในมือของ คสช. เห็นได้ชัดเมื่อครั้งที่ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พยายามปรามไม่ให้นักข่าวไปทำข่าวในวันคล้ายวันเกิด ลูกน้องคนสนิท ยังออกมาสวนกลับแบบไม่เกรงกระบองในมือคสช.เลย ว่า เป็นพวกไม่เคยรบ
**พรรคเพื่อไทยตอนนี้เหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอก สมุนลิ่วล้อในองคาพยพแทบไม่มีน้ำยาจะทำอะไรได้ การนำ“2 ผู้เฒ่า”กลับมาทรมานสังขาร จึงเป็นอาวุธสุดท้ายที่นักโทษชายทักษิณพอจะทำได้ อย่างน้อยในแง่ความเกรงอกเกรงใจ รัฐบาลก็ยังมีให้กับ“เฒ่าจิ๋ว”ในฐานะอดีตผู้บังคับบัญชา อดีตนายกรัฐมตรี รุ่นพี่ในกองทัพบ้าง เช่นเดียวกับ “เฒ่าเหนาะ”ที่เป็นนักการเมืองรุ่นลายคราม การที่ คสช.จะตัดสินใจทำอะไรกับทั้งสอง จึงไม่ง่ายเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับพวกขี้ข้าตัวเล็กๆ คนอื่นๆ ที่ซ่าเมื่อไหร่ ก็เรียกเอามาปรับทัศนคติในวันนี้ วันพรุ่งได้เลย
นอกจากนี้ ยังน่าสนใจว่า การเคลื่อนไหวของ “เฒ่าจิ๋ว”ช่วงนี้เกิดขึ้น ในสภาวะที่นักโทษชายทักษิณ แทบจะหมดหนทางในการกลับบ้าน เพราะท่าที “บิ๊กตู่”นั้นเด่นชัดเสมอว่า หากจะกลับมา ต้องรับโทษก่อนเท่านั้น ดังนั้นหากรัฐบาลชุดนี้ยังอยู่ การคัมแบ็ก สู่แผ่นดินแม่แบบเท่ๆ คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน เมื่อจนตรอกก็เหลือแค่ทางเดียวคือ สู้โดยใช้ตัวละครที่พอฟัดพอเหวี่ยงมาชนกันเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน ให้รัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้ ซึ่งเกมนี้ก็เหลือตัวเลือกเพียงอดีตนายทหาร ที่มีเครือข่ายหลายสายเท่านั้นที่พอจะทำได้ ลำพังนักการเมืองตอนนี้ง่อยเปลี้ยเสียขากันหมดแล้ว
กระนั้นก็ตาม ก็ไม่สามารถตัดประเด็นอื่นๆ ทิ้งไปได้เสียทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อมองกลับปูมหลังของ “เฒ่าจิ๋ว”เอง ทุกคนต่างทราบดีว่าทำงานใกล้ชิดผู้มากบารมีแห่งบ้านน้อยเสามาตลอด แม้ระยะหลังจะแสดงตัวว่าอยู่ฝั่งนักโทษชายทักษิณชัดเจน แต่คนอย่าง “เฒ่าจิ๋ว”เป็นพวกอ่านยากเหมือนกัน ว่าตกลงยืนอยู่ข้างไหน และกำลังจะทำอะไรกันแน่ บางทีหนังเรื่องนี้อาจหักมุมก็เป็นได้ ไปๆ มาๆ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป็นอาจเล่นสงครามจิตวิทยาจากคนกันเอง เพื่อส่งสัญญาณเตือนรัฐบาลเด็กดี ว่ากำลังทำตัวเป็นดื้อ
**ซึ่งการเตือนครั้งนี้น่าจะล่อเป้าไปทางฝั่ง“บิ๊กป้อม”มากกว่า“บิ๊กตู่” อย่างที่รู้ๆ กันว่า ผู้มากบารมีคนเก่าไม่ค่อยจะแฮปปี้กับผู้ที่กำลังทำตัวเป็นผู้มากบารมีคนใหม่เท่าใดนัก
ยิ่งส่องสถานการณ์ภายในกองทัพตอนนี้ที่ดูว่าเงียบสงบ อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น เพราะลือกันมาต่อเนื่องแล้วว่า กำลังคัดง้างอำนาจกันอยู่ มีความขัดแย้งและความไม่พอใจเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งเกิดการวัดพลังกันพอสมควร
**การเคลื่อนไหวของเหล่าขุนพลผู้เฒ่าครั้งนี้ จึงน่าจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ “รัฐบาลบิ๊กตู่”ได้ไม่น้อยทีเดียว