ASTVผู้จัดการรายวัน-"พระสุเทพ"ไม่รอด อนุ ป.ป.ช. บรรยายชัด ปมอนุมัติก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างโดยไม่มีการเสนอ ครม. มีมติแจ้งข้อกล่าวหาฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ พร้อมนัดให้เข้าแก้ข้อกล่าวภายใน 15 วัน ส่วน "อภิสิทธิ์-เพรียวพันธ์-อดุลย์-สุพร" รอด
นายวิชา มหาคุณ กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสอบสวนกรณีการทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง ว่า ในการไต่สวนข้อเท็จจริงคณะอนุกรรมการไต่สวนพบว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือพระสุเทพ ขณะเป็นรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับการปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อยู่ในขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอเรื่องดังกล่าวให้พิจารณา และทราบอยู่แล้วว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องไปดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างเป็นรายภาค ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เสนอและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติไว้แล้ว หรือหากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องการเปลี่ยนแปลงวิธีการก่อสร้าง ก็ต้องนำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อน
ทั้งนี้ ในขณะนั้น นายสุเทพทราบอยู่แล้วว่า สตช. ต้องจัดจ้างก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) เป็นรายภาค ตามที่ได้นำเสนอต่อ ครม. แต่เมื่อ สตช. ขอเปลี่ยนวิธีการจัดจ้างก่อสร้าง โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของ ครม. นายสุเทพ กลับลงนามอนุมัติการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างดังกล่าว และไม่มีการเสนอให้ ครม. อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงวิธีการ ส่งผลให้ในการจัดจ้างดังกล่าวมีผู้รับจ้างเพียงรายเดียว ทำให้โครงการไม่แล้วเสร็จ เกิดความเสียหายต่อ สตช. และราชการ
"ท่านลงนามอนุมัติ ในวันที่ 20 พ.ย.2552 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้าง โดยห้ามรื้อถอนอาคารเดิม เพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป โดยไม่เสนอเรื่องดังกล่าวต่อ ครม. เพื่อให้ ครม. อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้าง จนกระทั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ไปดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างที่ส่วนกลาง โดยมีผู้รับจ้างเพียงรายเดียวก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 โรงพัก ทั่วประเทศ เป็นให้การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จก่อให้เกิดความเสียหายต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติและทางราชการอย่างร้ายแรง"
นายวิชากล่าวว่า อนุกรรมการไต่สวนฯ จึงมีมติแจ้งข้อกล่าวนายสุเทพ ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยทางอนุกรรมการฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้นายสุเทพทราบแล้ว และในปลายเดือน พ.ค. นี้ นายสุเทพ จะเข้ามาแก้ข้อกล่าวหากับอนุกรรมการฯ ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องรายอื่น ต้องรอตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อไป
โดยนายสุเทพมีเวลาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน หลังจากรับทราบข้อกล่าวหา โดยคณะอนุกรรมการไต่สวนได้ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว ซึ่งนายสุเทพได้ประสานมาแล้วมาจะชี้แจงในช่วงปลายเดือนนี้ โดยในครั้งนี้เป็นการแจ้งข้อกล่าวหาเพียงนายสุเทพคนเดียว ส่วนผู้ที่ถูกกล่าวหาคนอื่นนั้นยังไม่มีการสอบขยายผล สำหรับนายอภิสิทธิ์ ในชั้นนี้ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะไปถึงความผิดตามที่ถูกกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบกรณีดังกล่าวเป็นส่วนของโรงพักเท่านั้น ส่วนเรื่องการสร้างที่พักของตำรวจยังมีข้อมูลเพิ่มเติมที่ต้องไต่สวนเพิ่มเติมอยู่ จึงยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาในกรณีนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าย้ำว่าในกรณีนายอภิสิทธิ์ยังไม่ถือว่าตกไปใช่หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า ต้องรอดูว่าจะมีข้อมูลอะไรที่นายอภิสิทธิ์จะเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ แต่ในชั้นนี้ยังไม่พบพยานหลักฐานว่านายอภิสิทธิ์เป็นผู้อนุมัติสั่งการ เพราะนายอภิสิทธิ์ทราบว่ามีการจัดจ้างแบบรายภาค แต่ในการเปลี่ยนแปลงการจัดจ้างครั้งหลังนายอภิสิทธิ์ไม่ได้รับทราบ เพราะอำนาจสั่งการทั้งหมดเป็นของนายสุเทพ
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับกรณีดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริง ที่ 129/2556 ลงวันที่ 3 พ.ค.2556 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (พระสุเทพ) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ท.สุพร พันธ์เสือ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต กรณีปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง จากจัดจ้างเป็นรายภาค เปลี่ยนเป็นจัดจ้างรวมกันที่ส่วนกลางในครั้งเดียว เพื่อช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการรายหนึ่งรายใด ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันเป็นเหตุให้ผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง
นายวิชา มหาคุณ กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสอบสวนกรณีการทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง ว่า ในการไต่สวนข้อเท็จจริงคณะอนุกรรมการไต่สวนพบว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือพระสุเทพ ขณะเป็นรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับการปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อยู่ในขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอเรื่องดังกล่าวให้พิจารณา และทราบอยู่แล้วว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องไปดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างเป็นรายภาค ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เสนอและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติไว้แล้ว หรือหากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องการเปลี่ยนแปลงวิธีการก่อสร้าง ก็ต้องนำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อน
ทั้งนี้ ในขณะนั้น นายสุเทพทราบอยู่แล้วว่า สตช. ต้องจัดจ้างก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) เป็นรายภาค ตามที่ได้นำเสนอต่อ ครม. แต่เมื่อ สตช. ขอเปลี่ยนวิธีการจัดจ้างก่อสร้าง โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของ ครม. นายสุเทพ กลับลงนามอนุมัติการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างดังกล่าว และไม่มีการเสนอให้ ครม. อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงวิธีการ ส่งผลให้ในการจัดจ้างดังกล่าวมีผู้รับจ้างเพียงรายเดียว ทำให้โครงการไม่แล้วเสร็จ เกิดความเสียหายต่อ สตช. และราชการ
"ท่านลงนามอนุมัติ ในวันที่ 20 พ.ย.2552 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้าง โดยห้ามรื้อถอนอาคารเดิม เพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป โดยไม่เสนอเรื่องดังกล่าวต่อ ครม. เพื่อให้ ครม. อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้าง จนกระทั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ไปดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างที่ส่วนกลาง โดยมีผู้รับจ้างเพียงรายเดียวก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 โรงพัก ทั่วประเทศ เป็นให้การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จก่อให้เกิดความเสียหายต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติและทางราชการอย่างร้ายแรง"
นายวิชากล่าวว่า อนุกรรมการไต่สวนฯ จึงมีมติแจ้งข้อกล่าวนายสุเทพ ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยทางอนุกรรมการฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้นายสุเทพทราบแล้ว และในปลายเดือน พ.ค. นี้ นายสุเทพ จะเข้ามาแก้ข้อกล่าวหากับอนุกรรมการฯ ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องรายอื่น ต้องรอตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อไป
โดยนายสุเทพมีเวลาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน หลังจากรับทราบข้อกล่าวหา โดยคณะอนุกรรมการไต่สวนได้ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว ซึ่งนายสุเทพได้ประสานมาแล้วมาจะชี้แจงในช่วงปลายเดือนนี้ โดยในครั้งนี้เป็นการแจ้งข้อกล่าวหาเพียงนายสุเทพคนเดียว ส่วนผู้ที่ถูกกล่าวหาคนอื่นนั้นยังไม่มีการสอบขยายผล สำหรับนายอภิสิทธิ์ ในชั้นนี้ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะไปถึงความผิดตามที่ถูกกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบกรณีดังกล่าวเป็นส่วนของโรงพักเท่านั้น ส่วนเรื่องการสร้างที่พักของตำรวจยังมีข้อมูลเพิ่มเติมที่ต้องไต่สวนเพิ่มเติมอยู่ จึงยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาในกรณีนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าย้ำว่าในกรณีนายอภิสิทธิ์ยังไม่ถือว่าตกไปใช่หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า ต้องรอดูว่าจะมีข้อมูลอะไรที่นายอภิสิทธิ์จะเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ แต่ในชั้นนี้ยังไม่พบพยานหลักฐานว่านายอภิสิทธิ์เป็นผู้อนุมัติสั่งการ เพราะนายอภิสิทธิ์ทราบว่ามีการจัดจ้างแบบรายภาค แต่ในการเปลี่ยนแปลงการจัดจ้างครั้งหลังนายอภิสิทธิ์ไม่ได้รับทราบ เพราะอำนาจสั่งการทั้งหมดเป็นของนายสุเทพ
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับกรณีดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริง ที่ 129/2556 ลงวันที่ 3 พ.ค.2556 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (พระสุเทพ) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ท.สุพร พันธ์เสือ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต กรณีปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง จากจัดจ้างเป็นรายภาค เปลี่ยนเป็นจัดจ้างรวมกันที่ส่วนกลางในครั้งเดียว เพื่อช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการรายหนึ่งรายใด ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันเป็นเหตุให้ผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง