xs
xsm
sm
md
lg

ยอดกุนซือ ที่ไม่เคยเป็นนักเตะ

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ สิริรัตนจิตต์

อภินันท์ สิริรัตนจิตต์
มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

หากได้ติดตามข่าวการเป็นแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ของสโมสรเชลซี ในฐานะแฟนบอลคนหนึ่ง ขอร่วมแสดงความยินดีกับบรรดาสาวกสิงโตน้ำเงินครามทั้งหลาย ที่ประสบความสำเร็จในชัยชนะอันเหน็ดเหนื่อยยาวนานตลอด 9 เดือน ในหนึ่งฤดูกาล และเบื้องหลังให้ชัยชนะนี้ คงต้องให้เครดิตแก่ยอดกุนซือผู้ที่ไม่เคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อนเลย อย่างโชเซ่ มูรินโญ่

ผมชอบความชัดเจนอย่างตรงไปตรงมาของ โชเซ่ มูรินโญ่ ยอดกุนซือซึ่งให้สัมภาษณ์หลังเกมที่เชลซีบุกออกไปเสมอกับอาร์เซนอลมา 0-0 ประตู โดยรายงานของ espnfc เมื่อ 26 เม.ย. ที่ผ่านมา กล่าวว่า

ในระหว่างเกมการแข่งขันนั้น อาร์เซนอลเป็นฝ่ายเปิดฉากบุกอย่างหนัก แต่ทว่าเชลซี เตรียมทีมมาเน้นเกมรับ และรอสวนกลับ ส่งผลให้แฟนบอลไอ้ปืนใหญ่ รวมไปถึง อาร์แซน เวนเกอร์ ออกมาบ่นอุบกันว่า สิงห์บลูส์ เล่นบอลน่าเบื่อ

ในการนี้ ทาง โชเซ่ มูรินโญ่ ยอดกุนซือ ได้ออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน ว่า

“คุณรู้ไหมว่า อะไรกันแน่ที่น่าเบื่อ ที่ว่าน่าเบื่อนี่คือเล่นมา 10 ปี แล้วแต่กลับไม่มีแชมป์พรีเมียร์ลีกติดมือเลยต่างหาก เขาถึงเรียกว่าน่าเบื่อ แฟนๆ ก็ได้แต่เชียร์แล้วก็รอ ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วก็รอ แต่ก็ยังไม่มีแชมป์แบบนี้แถวบ้านผมเรียกว่า น่าเบื่อ”


หากได้ศึกษาประวัติโชเซ่ มูรินโญ่ ยอดกุนซือ จะพบว่า เขาเป็นกุนซือที่ไม่เคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อนคำถามที่เกิดขึ้นคือ เขาสามารถคุมทีมฟุตบอลได้อย่างไร จากความสามารถอันยอดเยี่ยมนี้ เขาจึงเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากแม้อายุยังน้อย ได้รับรางวัลมากมาย อาทิ รางวัลบีบีซี สปอร์ตส์ เพอร์ซันนอลลิตี้ ออฟ เดอะ เยียร์ สาขาโค้ชยอดเยี่ยม จนได้รับฉายาว่า “เดอะสเปเชียลวัน” ฉายานี้ ผู้เขียนคิดว่า เหมาะสมแล้ว เพราะนั่นหมายถึงความเป็นหนึ่งที่พิเศษของการเป็นกุนซือที่ไม่เคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อนเลย

กลยุทธ์การเป็นยอดกุนซือของโชเซ่ มูรินโญ่ ผู้เขียนคิดว่า อาจอยู่ในสองสิ่งสำคัญนี้ คือ หนึ่ง การบ่มเพาะประสบการณ์ และสอง การเรียนรู้ซ้ำๆ ผ่านการกระทำอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นโค้ชมืออาชีพ ซึ่งผู้เขียนแอบคิดสนุกๆ ไปว่า น่าจะมีมหาวิทยาลัยสักแห่งในโลกเปิดหลักสูตรการเป็นโค้ชฟุตบอล เพื่อผลิตยอดกุนซือต่างๆ ในโลกฟุตบอล

ข้อมูลทั่วไปที่สามารถเรียนรู้ได้เกี่ยวกับโชเซ่ มูรินโญ่ คือ เขาได้รับการบ่มเพาะประสบการณ์จากการเริ่มต้นเป็นล่ามให้กับ เซอร์บ็อบบี ร็อบสัน ในการคุมสปอร์ติง ลิสบอน ในปี 1992 ต่อมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมให้กับ เซอร์บ็อบบี ร็อบสัน ในการคุมบาร์เซโลนา ในปี 1996 และเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมให้ หลุยส์ ฟานกัล ในการคุมทีมบาร์เซโลนา

ประสบการณ์อันเข้มข้นที่ผ่านการบ่มเพาะของโชเซ่ มูรินโญ่ จากยอดกุนซือสองคนที่มีอิทธิพลต่อเขา คือช่วงเวลาที่ เซอร์บ็อบบี ร็อบสัน ออกจากการคุมทีมบาร์เซโลนา ไปคุมสโมสรพีเอสวี ไอนด์โฮเฟินในเนเธอร์แลนด์ แต่โชเซ่ มูรินโญ่ ยังคงอยู่บาร์เซโลนา โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ หลุย ฟัล กัล ผู้จัดการทีมชาวดัตช์ที่เข้ามาแทน และบาร์เซโลนาในขณะนั้น ได้แชมป์หลายรายการ จึงกล่าวได้ว่า การได้ร่วมงานที่สโมสรบาร์เซโลนานั้น ทำให้เขามีโอกาสในการศึกษาคุณลักษณะ อุปนิสัย บทบาท ทัศนคติ กลยุทธ์ และอื่นๆ จากผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ถึงสองคน

โชเซ่ มูรินโญ่ กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติ ว่า ผู้จัดการ 2 คนนี้แตกต่างกันมาก โดยเซอร์บ็อบบี้ ร็อบสัน แทบไม่สนใจแทกติกเลย ปล่อยหน้าที่ในการวางแผนให้เป็นของมูรินโญ่ แต่เซอร์บ็อบบี้ ร็อบสัน จะคุมทีมซ้อมด้วยตนเอง เพื่อแสดงให้นักเตะในทีมเห็นด้วยกับท่าทางที่ชัดเจน พร้อมกับจำลองเหตุการณ์ต่างๆ ในสนาม รวมทั้งเซอร์บ็อบบี้ ร็อบสัน ยังชอบทำทีมเน้นเกมรุกอย่างมากอีกด้วย ขณะที่ผู้จัดการทีมอย่างหลุย ฟัล กัล จะยกหน้าที่คุมทีมซ้อมให้กับมูรินโญ่ และตัวเขาเป็นผู้วางแผน ด้วยเหตุนี้ มูรินโญ่ จึงได้เรียนรู้ทั้งสองด้าน จากยอดผู้จัดการทีมทั้งสองคน และนั่นคือ การบ่มเพาะประสบการณ์ที่มีมูลค่าอันประเมินไม่ได้ ที่มูรินโญ่ได้รับและนำมาประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์ต่างๆ ในประเด็นนี้ ผู้เขียนเห็นพ้องด้วย ว่า การมีโอกาสได้ร่วมงานกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่ คนเก่ง มีความสามารถ เป็นคนดี และได้รับมอบหมายภารงานที่ผูกพันกับความคาดหวังที่มีแรงกดดันที่เหมาะสม ถือว่าเป็นกำไรของชีวิต

ส่วนการเรียนรู้ซ้ำๆ ผ่านการกระทำอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นโค้ชมืออาชีพ ของมูรินโญ่ ผู้ซึ่งเป็นกุนซือ ที่ไม่เคยเป็นนักเตะมาก่อน ผู้เขียนเห็นว่า เขาได้สร้างความศรัทธา ความยอมรับนับถือในตัวผู้จัดการทีม ว่า เป็นผู้นำ แล้วแสดงความสามารถในการบริหารและจัดการทีม ด้วยการเรียนรู้ซ้ำๆ จากปัญหาหรือสถานการณ์ที่ผ่านมา นำมาปรับปรุงแก้ไข วางแท็กติก ฝึกซ้อม ติวเข้ม กำชับ เสริมแรง กำกับนักฟุตบอลให้อยู่ในกรอบของ คำว่า “วินัยของนักฟุตบอลอาชีพ” จนกลายเป็นความเจนจัดของกุนซือที่มองเกม วิเคราะห์เกมฟุตบอล วิเคราะห์คู่ต่อสู้ และกำหนดเป้าหมายแห่งความสำเร็จไว้ โดยไม่ลืมสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักเตะร่วมกัน

แม้ว่า มูรินโญ่ผ่านการบ่มเพาะประสบการณ์กับสโมสรยักษ์ใหญ่หลากหลาย อาทิ เบนฟิกา ในปี 2000 คุมปอร์โต ในปี 2002-2004 เชลซี ในปี 2004-2007 อินเตอร์ มิลาน ในปี 2008 เรอัล มาดริด ในปี 2010-2013 และกลับมาคุมทีมเชลซีอีกครั้งในปี 2013 และกวาดแชมป์มาเกือบทุกรายการให้กับทุกสโมสรที่เข้าคุมทีม ทั้งระดับประเทศและระดับถ้วยนานาชาติในยุโรป

แต่ผู้เขียนมีอีกมุมที่อยากให้มองในมูรินโญ่ คือ ความเป็นกุนซือของเขา มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การสร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่นในภาวะผู้นำของตน เพราะนั่นคือ เงื่อนไขแรกในการสร้างทีมเวิร์ก เมื่อได้รับความเชื่อมั่น ไว้วางใจแล้ว การร่วมงานกันเป็นทีม ย่อมสามารถนำทีมไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง โดยคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมาเป็นผลสำคัญ และในเกมฟุตบอลนั้น คือ การเล่นเป็นทีม คือวิธีการที่อมตะที่สุดเพราะสิ่งนี้จะช่วยสร้างความสุขแก่ทุกคน โดยเฉพาะแฟนบอล ถึงแม้ว่า ผลการแข่งขันอาจไม่เป็นไปได้ดั่งใจ แต่ถ้าทีมเล่นกันเป็นทีมดีแล้ว ก็มีความสุข เพราะแพ้ชนะเป็นเรื่องของกีฬา
กำลังโหลดความคิดเห็น