ASTVผู้จัดการรายวัน - “สิงห์ เอสเตท” เปิดแผนธุรกิจปี58 วางงบลงทุน 20,000 ล้านบาท เดินหน้าหาพันธมิตรร่วมทุน พร้อมเทคโอเวอร์ หากเจ้าของธุรกิจต้องการขายขาด คาด5ปีขนาดธุรกิจไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท แจงอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุน-ซื้อโรงแรมในจังหวัดท่องเที่ยว 2แห่ง คุยร่วมทุนออฟฟิศเช่า2-3แห่ง แย้มหากเป็นไปตามเป้าจะเริ่มรับรู้รายได้ในปลายปีนี้
นายล่องลม บุญนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ "S" กล่าวว่าในปีนี้ ตั้งเป้ามีอัตราการขยายตัวทั้งในส่วนของการลงทุนและรายได้แบบก้าวกระโดด โดยกำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 3 ระยะ แบ่งเป็น 1-3ปี เน้นการลงทุนในธุรกิจที่เกาะติดกับธุรกิจที่มีอัตราการขยายตัวที่ดี คือกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเพียงเซ็กเตอร์เดียวที่ยังมีการขยายตัวในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เนื่องจากภาครัฐสนับสนุน ประกอบกับการท่องเที่ยวภายในประเทศเติบโตอย่างมาก มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในทุกๆปี รวมถึงการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยน หรือ AEC จะทำให้การท่องเที่ยวขยายตัวอีกหลายเท่าตัวในอนาคต
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจสนามกอล์ฟ เป็นอีกธุรกิจที่ขยายตัวที่ดี ดังนั้น การลงทุนในช่วงแรกจึงเน้นไปที่อสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าว โดยในปีนี้ วางงบลงทุนซื้อธุรกิจ ร่วมลงทุน ซื้อที่ดินสะสม และพัฒนาโครงการใหม่รวม 20,000 ล้านบาท ล่าสุด อยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนหรือซื้อธุรกิจโรงแรมในเมืองท่องเที่ยว 2แห่ง คาดว่าจะบรรลุข้อตกลงในปีนี้ ขณะเดียวกันก็มีการเจรจาซื้อหรือร่วมทุนในโครงการอาคารสำนักงานให้เช่า(ออฟฟิศ) 2-3แห่ง ซึ่งหากสามารถดำเนินการสำเร็จ จะสร้างรายได้จากการลงทุนภายในปีนี้ทันที
ระยะกลาง 3-5 ปี วางเป้าขนาดของธุรกิจที่มีการลงทุนจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นลงทุนเข้าซื้อหรือร่วมทุนรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในธุรกิจออฟฟิศเช่า เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว และลงทุนในคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ รวมถึงการก้าวเข้าไปลงทุนในธุรกิจค้าปลีก ( รีเทล) ทั้งในและต่างประเทศด้วย สำหรับในระยะยาว 6-10 ปีนั้น บริษัทจะเข้าซื้อหรือลงทุนในธุรกิจ โรงแรม รีเทล เรสซิเด้นท์ ทั้งในและต่างประเทศซึ่งการลงทุนทั้งหมดจะเป็นการลงทุนในระยะยาวหรือซื้อขาด
“นโยบายการร่วมทุนธุรกิจของสิงห์ฯ นั้นจะเป็นลักษณะ Synergy Partnership คือ การเข้าไปร่วมทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น ไม่จำเป็นต้องเข้าไปซื้อขาด หรือ ควบรวมกิจการ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องดูด้วยว่าความต้องการของเจ้าของธุรกิจนั้น ต้องการรูปแบบใด บางรายอาจต้องการพันธมิตรเข้าไปเสริมความแข็งแกร่ง ซึ่งหากบริษัทพันธมิตรต้องการรูปแบบนี้ สิงห์ ก็จะเข้าไปร่วมทุนและนำจุดแข็งเข้าไปช่วยในการพัฒนาธุกิจ แต่หากบริษัทพันธมิตรต้องการขายขาด สิงห์ฯ ก็จะเข้าซื้อกิจการและซื้อขาด ดังนั้นในการร่วมทุนจึงมีความเป็นไปได้ทั้ง2รูปแบบ”
อย่างไรก็ดี ในการร่วมทุนนั้หรือเข้าไปลงทุนในธุรกิจประเภทต่างๆ นั้น บริษัทจะพิจารณาหรือเลือกเข้าไปลงทุนในบริษัท หรือธุรกิจที่ให้อัตราผลตอบแทน(IRR) ที่ดี หรือ IRR ควรมีค่ามากกว่า ต้นทุนทางการเงิน10% ขึ้นไป สำหรับงบลงทุน 20,000 ล้านบาท
ในปีนี้ สิงห์ จะแบ่งสัดส่วนในการลงทุนคราวๆ เป็น 2 ส่วน คือการลงทุนซื้อที่ดิน และพัฒนาโครงการ ทั้งแนวราบและแนวสูง ซึ่งจะเน้นจับกลุ่มตลาดกลาง-บนขึ้นไปไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นการเข้าซื้อหุ้น และลงทุนซื้อโครงการที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว ทั้งในส่วนของโรงแรม ออฟฟิศเช่า รีเทล อย่างไรก็ตาม บริษัท ไม่ได้กำหนดสัดส่วนหรือวงเงินในลงทุนของทั้ง2ธุรกิจนั้นไว้ตายตัว เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนไปตามความจำเป็นในการลงทุนได้
นายล่องลม บุญนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ "S" กล่าวว่าในปีนี้ ตั้งเป้ามีอัตราการขยายตัวทั้งในส่วนของการลงทุนและรายได้แบบก้าวกระโดด โดยกำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 3 ระยะ แบ่งเป็น 1-3ปี เน้นการลงทุนในธุรกิจที่เกาะติดกับธุรกิจที่มีอัตราการขยายตัวที่ดี คือกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเพียงเซ็กเตอร์เดียวที่ยังมีการขยายตัวในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เนื่องจากภาครัฐสนับสนุน ประกอบกับการท่องเที่ยวภายในประเทศเติบโตอย่างมาก มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในทุกๆปี รวมถึงการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยน หรือ AEC จะทำให้การท่องเที่ยวขยายตัวอีกหลายเท่าตัวในอนาคต
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจสนามกอล์ฟ เป็นอีกธุรกิจที่ขยายตัวที่ดี ดังนั้น การลงทุนในช่วงแรกจึงเน้นไปที่อสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าว โดยในปีนี้ วางงบลงทุนซื้อธุรกิจ ร่วมลงทุน ซื้อที่ดินสะสม และพัฒนาโครงการใหม่รวม 20,000 ล้านบาท ล่าสุด อยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนหรือซื้อธุรกิจโรงแรมในเมืองท่องเที่ยว 2แห่ง คาดว่าจะบรรลุข้อตกลงในปีนี้ ขณะเดียวกันก็มีการเจรจาซื้อหรือร่วมทุนในโครงการอาคารสำนักงานให้เช่า(ออฟฟิศ) 2-3แห่ง ซึ่งหากสามารถดำเนินการสำเร็จ จะสร้างรายได้จากการลงทุนภายในปีนี้ทันที
ระยะกลาง 3-5 ปี วางเป้าขนาดของธุรกิจที่มีการลงทุนจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นลงทุนเข้าซื้อหรือร่วมทุนรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในธุรกิจออฟฟิศเช่า เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว และลงทุนในคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ รวมถึงการก้าวเข้าไปลงทุนในธุรกิจค้าปลีก ( รีเทล) ทั้งในและต่างประเทศด้วย สำหรับในระยะยาว 6-10 ปีนั้น บริษัทจะเข้าซื้อหรือลงทุนในธุรกิจ โรงแรม รีเทล เรสซิเด้นท์ ทั้งในและต่างประเทศซึ่งการลงทุนทั้งหมดจะเป็นการลงทุนในระยะยาวหรือซื้อขาด
“นโยบายการร่วมทุนธุรกิจของสิงห์ฯ นั้นจะเป็นลักษณะ Synergy Partnership คือ การเข้าไปร่วมทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น ไม่จำเป็นต้องเข้าไปซื้อขาด หรือ ควบรวมกิจการ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องดูด้วยว่าความต้องการของเจ้าของธุรกิจนั้น ต้องการรูปแบบใด บางรายอาจต้องการพันธมิตรเข้าไปเสริมความแข็งแกร่ง ซึ่งหากบริษัทพันธมิตรต้องการรูปแบบนี้ สิงห์ ก็จะเข้าไปร่วมทุนและนำจุดแข็งเข้าไปช่วยในการพัฒนาธุกิจ แต่หากบริษัทพันธมิตรต้องการขายขาด สิงห์ฯ ก็จะเข้าซื้อกิจการและซื้อขาด ดังนั้นในการร่วมทุนจึงมีความเป็นไปได้ทั้ง2รูปแบบ”
อย่างไรก็ดี ในการร่วมทุนนั้หรือเข้าไปลงทุนในธุรกิจประเภทต่างๆ นั้น บริษัทจะพิจารณาหรือเลือกเข้าไปลงทุนในบริษัท หรือธุรกิจที่ให้อัตราผลตอบแทน(IRR) ที่ดี หรือ IRR ควรมีค่ามากกว่า ต้นทุนทางการเงิน10% ขึ้นไป สำหรับงบลงทุน 20,000 ล้านบาท
ในปีนี้ สิงห์ จะแบ่งสัดส่วนในการลงทุนคราวๆ เป็น 2 ส่วน คือการลงทุนซื้อที่ดิน และพัฒนาโครงการ ทั้งแนวราบและแนวสูง ซึ่งจะเน้นจับกลุ่มตลาดกลาง-บนขึ้นไปไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นการเข้าซื้อหุ้น และลงทุนซื้อโครงการที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว ทั้งในส่วนของโรงแรม ออฟฟิศเช่า รีเทล อย่างไรก็ตาม บริษัท ไม่ได้กำหนดสัดส่วนหรือวงเงินในลงทุนของทั้ง2ธุรกิจนั้นไว้ตายตัว เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนไปตามความจำเป็นในการลงทุนได้