“โบนันซ่า” รุกป่า “ไพวงษ์ เตชะณรงค์” กระอัก เครือข่าย “เสื้อแดง” สะเทือน

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ใครจะไปคาดคิดว่า คนอย่าง “ไพวงษ์ เตชะณรงค์” เจ้าของ “โบนันซ่า” อาณาจักรธุรกิจอันใหญ่โต จำนวน 11 บริษัท และมีสินทรัพย์รวมกันกว่า 3,245,884,319 บาท จะมีวันนี้

วันที่กระทรวงยุติธรรมสนธิกำลังกับกองทัพภาคที่ 2 และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบพื้นที่โบนันซ่าเขาใหญ่ เลขที่ 235 หมู่ 11 ถนนธนะรัชต์ ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ภายหลังได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่าที่ดังกล่าวบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา โดยเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ สนามโบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์(International Bonanza Speed Way) รวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 151 ไร่

สนามแข่งรถแห่งนี้มีนายภูผา เตชะณรงค์ (น้องชายนายสงกรานต์ เตชะณรงค์) ถือหุ้นใหญ่ 9,940 หุ้น (99.40%) นายนิธิศเชษฐ์ สุทธิเจริญกุล นายปรีชากรณ์ ปราบสงบ นางสาวพนารัตน์ วรรณศิริ นางสาวพัทธมน เตชะณรงค์ นางสาวมนันญา สุจิรภิญโญกุล และ นายสำเนาว์ สมบูรณ์ คนละ 10 หุ้น มี นายภูผา เตชะณรงค์ นายปรีชากรณ์ ปราบสงบ และ นายนิธิศเชษฐ์ สุทธิเจริญกุล เป็นกรรมการ

แน่นอน สังคมทราบดีว่า นายไพวงษ์คือใคร มีจุดยืนทางการเมืองที่แนบแน่นกับระบอบทักษิณและคนเสื้อแดงเพียงไร

เพราะนายไพวงษ์เคยได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายยงยุทธ วิชัยดิษฐ สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2554

เพราะหลายปีก่อน พื้นที่โบนันซ่า อ.ปากช่อง ถูกยืมใช้เป็นสถานที่จัดชุมนุมทางการเมืองของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อยู่บ่อยครั้ง

เพราะภายหลังรัฐประหาร 22 พ.ค.57 นายไพวงษ์เป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียกรายงานตัว

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่าทำไม “ตุ๊ดตู่” นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ถึงออกมาโวยวายเป็นยุทธการเช็กบิลเครือข่ายคนเสื้อแดง เช่นเดียวกับปิดพีชทีวีและการสึกพระครูวินัยธร (พชร) ฐานกโร หรือพระอาจารย์เพชร เจ้าอาวาสวัดประยงค์กิตติวนาราม แขวงคลองสิบสอง เขตหนองจอก กทม.

ทว่า ความจริงก็ย่อมเป็นความจริงวันยังค่ำ

เพราะความจริงก็คือ โบนันซ่าของนายไพวงษ์นั้นในส่วนพื้นที่บ้านพักติดกับเขาเสียดอ้า เขานกยูง เขาอ่างหิน และอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ไม่สามารถออกโฉนดหรือเอกสารสิทธิใดๆ ได้ ส่วนพื้นที่สนามแข่งรถ ประมาณปี 2545 เป็นพื้นที่ลำรางน้ำและทาง สาธารณะ ดังคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในขณะที่บุกเข้าไปตรวจสอบ

สำหรับรายละเอียดเรื่องการบุกรุกป่าของอาณาจักรโบนันซ่าและที่มาที่ไปของการบุกเข้าไปตรวจสอบ ตลอดรวมถึงการแจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีนั้น พ.อ.สมหมาย บุษบา ที่ปรึกษากฎหมาย กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและชาวบ้านในพื้นที่มานานแล้วว่าโบนันซ่าเขาใหญ่บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เบื้องต้นจากการเทียบเอกสารทางราชการพบว่าโบนันซ่าเขาใหญ่ ในส่วนสนามแข่งรถประมาณ 151 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ สกปก. 72 ไร่ น.ส.3 ก. 47 ไร่ และป่าสงวน 32 ไร่ อีกทั้งในส่วนที่พักยังติดพื้นที่ป่าถาวร ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิครอบครองใดๆ ได้เลย

อย่างไรก็ดี หลังจากนี้จะให้เจ้าของกิจการโบนันซ่าเอาเอกสารสิทธิมาให้ตรวสอบ หากพบว่ารุกพื้นที่ป่าสงวนจริงก็ผิด โดยการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ พร้อมแจ้งข้อหาแผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 มาตรา 54 และข้อหายึดถือครอบครองทำประโยชน์ แผ้วถาง เป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 มาตรา 14

แน่นอน อาณาจักรโบนันซ่าย่อมปฏิเสธว่า ไม่ได้บุกรุกป่าและยินดีให้ความร่วมมือกับทางราชการ

น.ส.พัทธมน เตชะณรงค์ บุตรสาวนายไพวงษ์ ชี้แจงว่า ตนเองเป็นผู้บริหารโบนันซ่าเขาใหญ่รุ่นที่ 2 ของตระกูล เข้ามาบริหารต่อจากพ่อ อยากจะขอความเป็นธรรมให้ธุรกิจของครอบครัวบ้าง และหากผิดหรือถูกก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ มั่นใจว่าพื้นที่ดังกล่าวได้มาโดยถูกกฎหมาย ยินดีให้เจ้าหน้าที่รัฐตรวจสอบเนื่องจากที่ดินและเอกสารสิทธิครอบครอบซื้อต่อมาจากชาวบ้าน บางรายมาร้องไห้ขอร้องให้ช่วยซื้อจึงซื้อที่ดินมาทีละแปลงต่อจากชาวบ้าน อย่างไรก็ตาม ในการซื้อที่ดินทุกครั้งจะได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตลอด ในส่วนสนามแข่งรถนั้นสร้างมา 3 ปีแล้ว และปีหนึ่งมีการใช้สนามแข่งรถประมาณ 2-3 ครั้ง

ส่วนบิ๊กบอสเจ้าของอาณาจักรอย่างนายไพวงษ์ ประกาศว่า ในส่วนของสนามแข่งรถได้ซื้อที่ดินสะสมจากชาวบ้านมาเป็นเวลา 20-30 ปี โดยเป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ นส.3ก. จำนวน 50 ไร่และเป็นที่ดิน ภ.บ.ท.5 จำนวน 70 ไร่ โดยที่ดินที่นำมาทำธุรกิจจะอยู่ในส่วน นส.3ก. ส่วนที่ดินในส่วน ภ.บ.ท.5 ใช้เพียงแค่ปลูกหญ้าและทำถนน ไม่ได้เอามาทำธุรกิจอะไรใหญ่โตเพราะรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ

“ผมยินดีให้ภารรัฐตัดสินว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะเข้าใจ ขณะนี้ได้ดำเนินการตรวจสอบที่ดินทั่วประเทศ ไม่ใช่ว่ามาเจาะจงตรวจสอบที่นี่เพียงแห่งเดียว แต่พอมีข่าวเป็นโบนันซ่าก็เลยดัง ผมไม่มีอะไรดื้อแพ่งอยู่แล้ว”นายไพวงษ์แจกแจง

ทว่า ความจริงก็ย่อมเป็นความจริงดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เพราะหลังจากที่ได้มีการตรวจสอบเอกสารสิทธิ ก็ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายสุนทร กันหาจันทร์ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นม.1 (ปากช่อง) เปิดเผยว่า ภายหลังการตรวจสอบรังวัดอย่างละเอียดของเจ้าหน้าที่พบว่าพื้นที่สนามแข่งรถอินเตอร์เนชั่นแนล โบนันซ่า สปีดเวย์ มีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาเสียดอ้า เขานกยูง เขาอ่างหิน จริงจำนวน 103 ไร่ จึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่องเพื่อให้ดำเนินคดีต่อผู้บุกรุก คือ นายนิธิศเชษฐ์ สิทธิเจริญกุล ผู้ดูแลสนามแข่งรถ ซึ่งมีความผิดในข้อหาบุกรุกแผ้วถางก่นสร้างครอบครองป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มีโทษจำคุก 20 ปี ปรับ 150,000 บาท/ไร่ พร้อมควบคุมตัวผู้ต้องหา ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวส่งพนักงานสอบสวนด้วย

ทั้งนี้ เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธว่าไม่ได้มีเจตนาบุกรุกและไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะดำเนินการสอบสวนต่อไป จากนี้คงต้องให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ในส่วนของป่าไม้จะเข้าไปติดป้ายประกาศบริเวณเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาเสียดอ้าฯ เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกอีก ส่วนการก่อสร้างอาคารที่พักนั้นจะต้องรอคำสั่งศาลก่อนจึงจะทำการรื้อถอนต่อไป

ด้าน นายคเชน ใยสุ่น ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล ( อบต.) ขนงพระ กล่าวว่า ในส่วนของการก่อสร้างอาคารที่พักโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างไม่มีเอกสารสิทธิ ส่วนสนามแข่งรถและอาคารต่างๆ กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเนื่องจากมีพื้นที่บางส่วนที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิ แต่หากไม่มีการดำเนินการที่ถูกต้องก็จะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป หากพบว่าไม่ปฏิบัติตามกฎหมายก็ต้องสั่งให้รื้อถอน แต่ยอมรับว่าบริเวณดังกล่าวเข้าไปตรวจสอบค่อนข้างยากจริงๆ แต่ไม่ได้หนักใจแต่อย่างใดเพราะทุกอย่างต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย

เมื่อหลักฐานเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการนำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งของโบนันซ่า หรือข้าราชการที่ให้ความร่วมมือในการกระทำผิด รวมทั้งยึดที่ดินอันเป็นสมบัติชาติกลับคืนมาโดยเร็ว ดังที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม(รมว.ยธ.) ประกาศชัดเจนว่า “ผิดว่าไปตามผิด ผมไม่ยอมอยู่แล้ว และไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมือง ความผิดชัดแจ้งอยู่แล้วและผู้ใหญ่ที่ไหนจะมาเคลียร์”