ภาพหลุดหลวงลุงกำนัน แม้บวชเป็นพระยังหวาดผวาถูกตามเช็คบิล เผยผู้ปรารถนาดีส่งองค์รักษ์พร้อมอาวุธปืนกลเบาคุ้มครองชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง ตามประกบทุกฝีก้าวทั้งในวัดธารน้ำไหล และตอนติดกิจนิมนต์ญาติโยม ส่วนเรื่องสึกยังอีกยาว แม้จะบวชครบวันรวมพลคนนกหวีดแล้วก็ตาม
การเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ของคนทั่วไปแทบจะพูดได้ว่า ทุกคนต้องการหาทางสงบ เป็นการตัดขาดจากทางโลกที่มีแต่ความวุ่นวายเข้าสู่พระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผันตัวกลายมาเป็นผู้นำมวลชน โดยแต่งตั้งตัวเองเป็นเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป็น 1 ในจำนวนนั้น ซึ่งหลังสำเร็จภารกิจโค่นรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อันเกิดจากการเข้ายึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พ.ค.57
นายสุเทพ หรือกำนันสุเทพ ผู้นำมวลชนที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ได้ตกลงใจบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 15 ก.ค.57 ที่วัดท่าไทร ต.ท่าทองใหม่ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ได้ฉายา “พระปภากโร”หมายถึงผู้กระทำซึ่งแสงสว่าง และเข้าไปจำพรรษาที่ วัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) จนถึงปัจจุบัน
ตลอดเวลาของพระสุเทพ ได้เรียนรู้พระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ตื่นนอนแต่ตี 3 พอลงจากกุฏิ ก็จะมาพร้อมกันที่ลานหินโค้งเพื่อสวดมนต์ ทำวัตรเช้า ออกบิณบาตรโปรดญาติโยม ทำวัตรเย็น ปฏิบัติธรรม
“ตั้งแต่บวชมีญาติโยมมาเยี่ยมทุกวัน วันหนึ่งสองสามร้อยคน บางทีห้าร้อยคนบ้าง บางวันก็เป็นพัน อาตมาจะนั่งรับแขกตรงก้อนหินนี้ ญาติโยมก็ปูเสื่อนั่ง ถ้ามีไมรโครโฟน ก็พูดคุยกับญาติโยม ตอนบ่ายเปิดเทปอาจารย์พุทธทาส ตอนเย็นเตรียมตัวอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ทำวัตรเย็น ฟังเทปอาจารย์พุทธทาส อีกรอบกลับไปจำวัด แต่ก็หลับดี ต่างกับตอนเป็นฆราวาสหลับยาก มีนิวรณ์ มีความกังวล กลุ้มใจ เป็นพระไม่มีนิวรณ์ "
ในตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ พระสุเทพ ปภากโร กล่าวยืนยันเส้นทางการเมืองในอนาคตว่า ไม่มีเส้นทางการเมืองอีกต่อไป ก่อนออกมาต่อสู้กับ กปปส.ก็ประกาศชัดว่า ที่ออกมาเพราะมีคนชั่วมาปกครองบ้านเมือง ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ใช้อำนาจตามอำเภอใจ มีพฤติกรรมทำร้ายสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงจำเป็นต้องลุกมาต่อสู้รักษาชาติ รักษาแผ่นดิน มิได้สู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ หรือเพื่อนักการเมือง หรือพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง
“อาตมาเป็นผู้นำคนหนึ่งในการต่อสู้ร่วมกับบรรดาแกนนำทั้งหลาย ต้องลาจากส.ส. อาตมาลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ จะเห็นว่าหลายครั้งอาตมาคิดไม่เหมือนคนในพรรคประชาธิปัตย์ และแสดงออกมาอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นต้องแยกว่าเราไม่ได้ต่อสู้เพื่อพรรคการเมือง อาตมาถึงได้ประกาศว่าเมื่อผ่านพ้นการต่อสู้ครั้งนี้แล้วจะไม่สมัครรับเลือกตั้งอีก เมื่อโยมถามว่าเส้นทางการเมืองเป็นอย่างไร อาตมาจึงตอบว่า ไม่มีเส้นทางการเมือง วันนี้หน้าที่ปัจจุบันคือ เป็นพระ ทำหน้าที่พระภิกษุสงฆ์รับใช้พระศาสนา รับใช้สวนโมกข์ รับใช้ญาติโยม วัดวาอารามทั่วประเทศ ใครนิมนต์ไปไหนอาตมาก็ต้องไป ไปเป็นกำลังใจให้เขา”
นี่คือชีวิตประจำวันของพระสุเทพ ...ชีวิตที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจากการต่อต้านในทุกรุปแบบของฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นการลอบยิงด้วยระเบิดเอ็ม 79 ถูกปาด้วยระเบิดสังหาร แต่เขาก็รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้อย่างปฎิหาริย์ บางกระแสยืนยันว่า “ปฏิหาริย์”อาจไม่มีจริง ถ้าไม่ได้นักรบสีเขียวจำนวนหนึ่งมาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ และจนถึงทุกวันนี้เหล่าองค์รักษ์นิรนาม ยังคงห้อมล้อมปกป้องชีวิตพระสุเทพ ปภากโร อดีตนักการเมืองผู้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญอย่างเหนียวแน่น
จนมีภาพหลุดให้เห็นบ่อยครั้งว่า ทุกครั้งที่พระสุเทพ เยื้องกายไปที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นในวัดธารน้ำไหล หรือติดกิจนิมนต์ต้องเดินทางไปจังหวัดต่างๆ รวมทั้งการขึ้นโรงขึ้นศาล แก้คดีสำคัญๆ เหล่าองค์รักษ์นิรนามจำนวนหนึ่งพร้อมอาวุธปืนกลคู่ใจ จะคอยประกบใกล้ตัวไม่ยอมห่าง พระสุเทพ ราวกับไข่ในหิน
ปฏิบัติการคุ้มครองชีวิตอดีตแกนนำการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ ยังคงดำเนินการต่อไปอีกยาวนาน เป็นภารกิจสำคัญที่ไม่มีวันจบสิ้น พร้อมๆ กับคำสัมภาษณ์บางช่วงบางตอนของพระสุเทพ ที่ยืนยันว่า การบวชเป็นพระหลับสบายดีกว่าตอนเป็นฆราวาส “เป็นพระไม่มีนิวรณ์”เพียงแต่ว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยที่เห็นอยู่นี้ คือความไม่ประมาท และ “ผู้ปรารถนาดี” จัดคนมาดูแลพร้อมอาวุธครบเครื่อง คงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากบรรดาพี่ๆ น้องๆ ในราชการนั่นเอง
สำหรับประเด็นอื่นที่สังคมกำลังจับตานั่นคือ การลาสิกขาบท ซึ่งได้ผ่านมาแล้วเมื่อเดือนก.พ. แต่พระสุเทพ ยังคงครองผ้าเหลืองไม่ยอมสึกตามที่เคยเปรยๆไว้กับบรรดาคนสนิทและญาติโยม เกี่ยวกับเรื่องนี้บุคคลใก้ลชิดยืนยันว่า พระสุเทพ จะยังคงบวชต่อไปอีกระยะ แต่แรกที่ตั้งใจให้ครบวันชุมนุม กปปส. จนถึงวันสุดท้ายนับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.56 ที่สถานีรถไฟสามเสน เป็นการชุมนุมกันครั้งแรก และมาจบในวันยึดอำนาจคือ 22 พ.ค.57 เป็นเวลาประมาณ 7 เดือน และครบเวลาไปเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ท่านคงต่อเวลาไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนดในเร็ววันนี้
การเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ของคนทั่วไปแทบจะพูดได้ว่า ทุกคนต้องการหาทางสงบ เป็นการตัดขาดจากทางโลกที่มีแต่ความวุ่นวายเข้าสู่พระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผันตัวกลายมาเป็นผู้นำมวลชน โดยแต่งตั้งตัวเองเป็นเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป็น 1 ในจำนวนนั้น ซึ่งหลังสำเร็จภารกิจโค่นรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อันเกิดจากการเข้ายึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พ.ค.57
นายสุเทพ หรือกำนันสุเทพ ผู้นำมวลชนที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ได้ตกลงใจบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 15 ก.ค.57 ที่วัดท่าไทร ต.ท่าทองใหม่ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ได้ฉายา “พระปภากโร”หมายถึงผู้กระทำซึ่งแสงสว่าง และเข้าไปจำพรรษาที่ วัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) จนถึงปัจจุบัน
ตลอดเวลาของพระสุเทพ ได้เรียนรู้พระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ตื่นนอนแต่ตี 3 พอลงจากกุฏิ ก็จะมาพร้อมกันที่ลานหินโค้งเพื่อสวดมนต์ ทำวัตรเช้า ออกบิณบาตรโปรดญาติโยม ทำวัตรเย็น ปฏิบัติธรรม
“ตั้งแต่บวชมีญาติโยมมาเยี่ยมทุกวัน วันหนึ่งสองสามร้อยคน บางทีห้าร้อยคนบ้าง บางวันก็เป็นพัน อาตมาจะนั่งรับแขกตรงก้อนหินนี้ ญาติโยมก็ปูเสื่อนั่ง ถ้ามีไมรโครโฟน ก็พูดคุยกับญาติโยม ตอนบ่ายเปิดเทปอาจารย์พุทธทาส ตอนเย็นเตรียมตัวอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ทำวัตรเย็น ฟังเทปอาจารย์พุทธทาส อีกรอบกลับไปจำวัด แต่ก็หลับดี ต่างกับตอนเป็นฆราวาสหลับยาก มีนิวรณ์ มีความกังวล กลุ้มใจ เป็นพระไม่มีนิวรณ์ "
ในตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ พระสุเทพ ปภากโร กล่าวยืนยันเส้นทางการเมืองในอนาคตว่า ไม่มีเส้นทางการเมืองอีกต่อไป ก่อนออกมาต่อสู้กับ กปปส.ก็ประกาศชัดว่า ที่ออกมาเพราะมีคนชั่วมาปกครองบ้านเมือง ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ใช้อำนาจตามอำเภอใจ มีพฤติกรรมทำร้ายสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงจำเป็นต้องลุกมาต่อสู้รักษาชาติ รักษาแผ่นดิน มิได้สู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ หรือเพื่อนักการเมือง หรือพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง
“อาตมาเป็นผู้นำคนหนึ่งในการต่อสู้ร่วมกับบรรดาแกนนำทั้งหลาย ต้องลาจากส.ส. อาตมาลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ จะเห็นว่าหลายครั้งอาตมาคิดไม่เหมือนคนในพรรคประชาธิปัตย์ และแสดงออกมาอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นต้องแยกว่าเราไม่ได้ต่อสู้เพื่อพรรคการเมือง อาตมาถึงได้ประกาศว่าเมื่อผ่านพ้นการต่อสู้ครั้งนี้แล้วจะไม่สมัครรับเลือกตั้งอีก เมื่อโยมถามว่าเส้นทางการเมืองเป็นอย่างไร อาตมาจึงตอบว่า ไม่มีเส้นทางการเมือง วันนี้หน้าที่ปัจจุบันคือ เป็นพระ ทำหน้าที่พระภิกษุสงฆ์รับใช้พระศาสนา รับใช้สวนโมกข์ รับใช้ญาติโยม วัดวาอารามทั่วประเทศ ใครนิมนต์ไปไหนอาตมาก็ต้องไป ไปเป็นกำลังใจให้เขา”
นี่คือชีวิตประจำวันของพระสุเทพ ...ชีวิตที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจากการต่อต้านในทุกรุปแบบของฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นการลอบยิงด้วยระเบิดเอ็ม 79 ถูกปาด้วยระเบิดสังหาร แต่เขาก็รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้อย่างปฎิหาริย์ บางกระแสยืนยันว่า “ปฏิหาริย์”อาจไม่มีจริง ถ้าไม่ได้นักรบสีเขียวจำนวนหนึ่งมาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ และจนถึงทุกวันนี้เหล่าองค์รักษ์นิรนาม ยังคงห้อมล้อมปกป้องชีวิตพระสุเทพ ปภากโร อดีตนักการเมืองผู้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญอย่างเหนียวแน่น
จนมีภาพหลุดให้เห็นบ่อยครั้งว่า ทุกครั้งที่พระสุเทพ เยื้องกายไปที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นในวัดธารน้ำไหล หรือติดกิจนิมนต์ต้องเดินทางไปจังหวัดต่างๆ รวมทั้งการขึ้นโรงขึ้นศาล แก้คดีสำคัญๆ เหล่าองค์รักษ์นิรนามจำนวนหนึ่งพร้อมอาวุธปืนกลคู่ใจ จะคอยประกบใกล้ตัวไม่ยอมห่าง พระสุเทพ ราวกับไข่ในหิน
ปฏิบัติการคุ้มครองชีวิตอดีตแกนนำการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ ยังคงดำเนินการต่อไปอีกยาวนาน เป็นภารกิจสำคัญที่ไม่มีวันจบสิ้น พร้อมๆ กับคำสัมภาษณ์บางช่วงบางตอนของพระสุเทพ ที่ยืนยันว่า การบวชเป็นพระหลับสบายดีกว่าตอนเป็นฆราวาส “เป็นพระไม่มีนิวรณ์”เพียงแต่ว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยที่เห็นอยู่นี้ คือความไม่ประมาท และ “ผู้ปรารถนาดี” จัดคนมาดูแลพร้อมอาวุธครบเครื่อง คงเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากบรรดาพี่ๆ น้องๆ ในราชการนั่นเอง
สำหรับประเด็นอื่นที่สังคมกำลังจับตานั่นคือ การลาสิกขาบท ซึ่งได้ผ่านมาแล้วเมื่อเดือนก.พ. แต่พระสุเทพ ยังคงครองผ้าเหลืองไม่ยอมสึกตามที่เคยเปรยๆไว้กับบรรดาคนสนิทและญาติโยม เกี่ยวกับเรื่องนี้บุคคลใก้ลชิดยืนยันว่า พระสุเทพ จะยังคงบวชต่อไปอีกระยะ แต่แรกที่ตั้งใจให้ครบวันชุมนุม กปปส. จนถึงวันสุดท้ายนับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.56 ที่สถานีรถไฟสามเสน เป็นการชุมนุมกันครั้งแรก และมาจบในวันยึดอำนาจคือ 22 พ.ค.57 เป็นเวลาประมาณ 7 เดือน และครบเวลาไปเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ท่านคงต่อเวลาไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนดในเร็ววันนี้