xs
xsm
sm
md
lg

บี้นปช.คืนอาวุธสงครามก่อนนิรโทษ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขานรับให้มีการนิรโทษกรรม ว่า ตนในฐานะอดีตประธานคณะอนุกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง และการสื่อสารมวลชน ได้มีการค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชายชุดดำ ในปี 2553 โดยมีการสรุปผลการดำเนินงานว่า "กลุ่ม นปช.ยังไม่ได้คืนอาวุธสงคราม ที่ยึดจากทหารในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 คือ อาวุธปืนทราโว่ 25 กระบอก เอ็มสิบหก 4 กระบอก ลูกซอง 39 กระบอก และกระสุนปืน กับซองกระสุนอีกจำนวนมาก
นายวัชระ กล่าวว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ยศในขณะนั้น ยังระบุว่า ภาพรวมการชุมนุม มีชายชุดดำอยู่จริง ดังนั้นหาก พล.อ.ประวิตรจะนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มบุคคลต่างๆ ก็ควรเรียกร้องให้ กลุ่มนปช. นำอาวุธปืนสงครามมาคืนกับทางราชการเสียก่อน
นอกจากนี้ นายคณิต ณ นคร อดีตประธาน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป.ได้ให้การต่ออนุกรรมาธิการฯ ว่า รายงานของ คอป. ที่ยืนยันว่ามีชายชุดดำ และใช้อาวุธสงครามนั้น เชื่อถือได้ และเป็นความจริง ส่วนนักโทษการเมืองนั้นไม่มี นี่คือความจริงที่บันทึกผ่านการตรวจสอบของสภา
" ผมไม่ขัดข้องถ้าจะนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองที่มาด้วยใจบริสุทธิ์ทุกฝ่าย แต่ไม่ควรรวมถึงผู้ใช้อาวุธสงคราม การทำผิดอาญาร้ายแรง การเผาบ้านเผาเมือง คดีทุจริต และการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยอาศัยเหตุการณ์ทางการเมือง จึงขอเรียกร้องให้ผู้ที่ยึดอาวุธเหล่านี้ นำมาคืนโดยเร็ว ตราบใดที่ยังไม่นำมาคืน ก็เร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนิรโทษกรรม เพราะอาวุธปืนสงคราม ยังตกอยู่ในกลุ่มผู้นิยมความรุนแรง และประชาชนจะตกเป็นเหยื่อในที่สุด" นายวัชระ กล่าว
ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่อาจมีความพยายามจะเชื่อมโยงเรื่องกฎอัยการศึก เป็นส่วนหนึ่งของการละเมิดสิทธิมนุษยชน ว่า กฎอัยการศึก มีไว้เพื่อป้องกันเหตุร้าย และควบคุมคนคิดร้าย ซึ่งนอกจากจะไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตของสุจริตชนแล้ว ยังช่วยสร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยให้กับทุกคนในประเทศไทย
ทั้งนี้ ข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นเด่นชัดที่สุดประการหนึ่ง คือ จำนวนนักท่องเที่ยงที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในช่วง 6 เดือนแรกของ ปี57 ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองมีเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง มีการก่อเหตุ การปะทะ การสร้างสถานการณ์ต่างๆ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทย จำนวน 11.47 ล้านคน ขณะที่ 6 เดือนหลังของปี 57 หรือ ตั้งแต่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก มีนักท่องเที่ยว เพิ่มขึ้น ประมาณ 2 ล้านคน เป็น 13.30 ล้านคน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 16 % ซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยว ถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ เพราะติดเป็นเม็ดเงินที่เข้าประเทศประมาณ 10% ของ GDP ดังนั้น จึงอยากทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายว่า กฎอัยการศึก ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน เพราะเป็นมาตรการที่เป็นคุณต่อประเทศโดยรวม อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ควบคุมและบังคับใช้กฎอย่างระมัดระวัง และเท่าที่จำเป็น ไม่ได้สร้างความรู้สึกอึดอัดต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่อย่างใด
กำลังโหลดความคิดเห็น