ศูนย์ข่าวหาดใหญ่-เผยหญิงอ้างเป็นเจ้าเป็นหน้าที่ "สลิม อัพ เซ็นเตอร์" ส่งข้อความสั้นและโทรข่มขู่ผู้สื่อข่าว "ASTVผู้จัดการ" ให้ถอดข่าวเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมสาธารณสุขสงขลา เข้าตรวจยึดสินค้ากลางห้างดังเมืองหาดใหญ่ไปตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.17 น. วานนี้ (18 มี.ค.) ได้มีผู้ที่อ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตัวแทนจากสลิม อัพ เซ็นเตอร์ (Slim Up Center) สถาบันลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วนชื่อดัง ส่งข้อความผ่านระบบ SMS เข้าเครื่องโทรศัพท์มือถือของผู้สื่อข่าว “ASTVผู้จัดการศูนย์ข่าวหาดใหญ่” โดยเป็นข้อความในเชิงข่มขู่ว่าต้องให้ร่วมมือด้วยการถอดข่าวที่เกี่ยวข้องต่อสถาบันสลิม อัพ เซ็นเตอร์ สาขาหาดใหญ่ ออกจากเว็บไซต์ “ASTVผู้จัดการภาคใต้” และหน้าแฟนเพจเฟซบุ๊ก “ASTV Manager ภาคใต้” ภายในวันที่ 18 มี.ค. มิฉะนั้นจะให้ทนายความดำเนินการฟ้องร้อง
ทั้งนี้ มีเนื้อหาโดยละเอียดตามตัวอักษรที่ส่งมาดังนี้ "เรียน คุณ ... ดิฉัน คือ ตัวแทนของ Slim Up Center เห็นข่าวที่มีการบุกจับที่สถาบันสลิมอัพหาดใหญ่ ลงในเว็บไซต์ และfacebook ของ ASTV Hatyai ทางเราขอความร่วมมือให้ท่านนำข่าวที่เผยแพร่ลงจากเว็ปไซต์ และ facebook ดังกล่าวภายในวันนี้ (18/3/58) เรื่องนี้ ทางเราคิดว่ามีการกลั่นแกล้งทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และตอนนี้ทางสถาบันกำลังอยู่ในระหว่างรวบรวมหลักฐานข้อเท็จจริงทั้งหมด ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าลูกค้าเกิดการแพ้เพราะเราหรือไม่ หากท่านไม่ให้ความร่วมมือดังกล่าว ทางเราขออนุญาติส่งเรื่องให้ทางทนายดำเนินการยื่นฟ้องต่อไปค่ะ หวังว่าท่านคงให้ความร่วมมือค่ะ ขอบคุณค่ะ สุพรรณิกา (เจ้าหน้าที่ตัวแทนจากสลิมอัพ)”
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนจะมีการส่งข้อความ SMS ผู้สื่อข่าวคนเดียวกันนี้ เคยได้รับโทรศัพท์เมื่อเวลา 18.15 น. ของวันที่ 17 มี.ค. จากเลขหมาย 08-4466-7770 เป็นเสียงผู้หญิงที่อ้างตนว่าชื่อ แจ็ก บอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่จากสถาบันสลิม อัพ เซ็นเตอร์ โดยได้แจ้งในทำนองเดียวกันว่า ขอให้ผู้สื่อข่าวให้ความร่วมมือถอดข่าวออกจากเว็บไซต์ และเฟซบุ๊ก ซึ่งผู้สื่อข่าวได้ตอบกลับไปว่าขอพิจารณาเนื้อหาข่าว และแจ้งผู้ใหญ่ที่มีอำนาจก่อนที่จะวางหูไป อย่างไรก็ตาม มีความพยายามโทรติดต่อกลับมาอีก 2 ครั้ง ในช่วงกลางดึกวันก่อน นี้ และช่วงเช้าวานนี้ ก่อนที่จะส่งเป็นข้อความสั้นผ่านโทรศัพท์มือถือดังกล่าว
สำหรับข่าวที่เจ้าหน้าที่สลิม อัพ เซ็นเตอร์ ต้องการให้มีการถอดออกจากเว็บไซต์ และเฟซบุ๊ก เป็นการรายงานข่าวที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างเป็นปกติ ซึ่งสื่อมวลชนหลายสำนักก็รายงานข่าวนี้กัน กล่าวคือ เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ของวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ ผกก.4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ร่วมกับนางวิไลวรรณ สาครินทร์ หัวหน้าฝ่ายอาหาร ยา และพัฒนาการแพทย์แผนไทย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา และ พ.ต.ท.ธีรภัทร ปิยะถาวร สว.สส.สภ.หาดใหญ่ เข้าตรวจสอบภายในสถานเสริมความงามชื่อดัง สลิม อัพ เซ็นเตอร์ ซึ่งได้เปิดสาขาภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
การตรวจสอบดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคใน อ.หาดใหญ่ เมื่อกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า ได้เข้าไปใช้บริการ แต่ผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ให้มาทำให้เกิดผลค้างเคียง มีผื่นคันสีแดงขึ้นตามร่างกาย และได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล พร้อมกับส่งเรื่องร้องเรียนไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้เข้าตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้รักษาลูกค้าว่าได้มาตรฐานหรือไม่
จากการตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการร้องเรียนว่ามีผลข้างเคียงนั้น แสดงฉลากไม่ถูกต้อง และระบุรายละเอียดของสินค้าเป็นภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว และบางส่วนเตรียมที่จะส่งให้ลูกค้า โดยเจ้าหน้าที่จึงยึดผลิตภัณฑ์ชุดนี้ที่อยู่ภายในร้านไว้ทั้งหมด จำนวน 3 ลัง เพื่อนำไปตรวจสอบมีสารต้องห้ามตามที่ถูกร้องเรียนหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.17 น. วานนี้ (18 มี.ค.) ได้มีผู้ที่อ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตัวแทนจากสลิม อัพ เซ็นเตอร์ (Slim Up Center) สถาบันลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วนชื่อดัง ส่งข้อความผ่านระบบ SMS เข้าเครื่องโทรศัพท์มือถือของผู้สื่อข่าว “ASTVผู้จัดการศูนย์ข่าวหาดใหญ่” โดยเป็นข้อความในเชิงข่มขู่ว่าต้องให้ร่วมมือด้วยการถอดข่าวที่เกี่ยวข้องต่อสถาบันสลิม อัพ เซ็นเตอร์ สาขาหาดใหญ่ ออกจากเว็บไซต์ “ASTVผู้จัดการภาคใต้” และหน้าแฟนเพจเฟซบุ๊ก “ASTV Manager ภาคใต้” ภายในวันที่ 18 มี.ค. มิฉะนั้นจะให้ทนายความดำเนินการฟ้องร้อง
ทั้งนี้ มีเนื้อหาโดยละเอียดตามตัวอักษรที่ส่งมาดังนี้ "เรียน คุณ ... ดิฉัน คือ ตัวแทนของ Slim Up Center เห็นข่าวที่มีการบุกจับที่สถาบันสลิมอัพหาดใหญ่ ลงในเว็บไซต์ และfacebook ของ ASTV Hatyai ทางเราขอความร่วมมือให้ท่านนำข่าวที่เผยแพร่ลงจากเว็ปไซต์ และ facebook ดังกล่าวภายในวันนี้ (18/3/58) เรื่องนี้ ทางเราคิดว่ามีการกลั่นแกล้งทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และตอนนี้ทางสถาบันกำลังอยู่ในระหว่างรวบรวมหลักฐานข้อเท็จจริงทั้งหมด ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าลูกค้าเกิดการแพ้เพราะเราหรือไม่ หากท่านไม่ให้ความร่วมมือดังกล่าว ทางเราขออนุญาติส่งเรื่องให้ทางทนายดำเนินการยื่นฟ้องต่อไปค่ะ หวังว่าท่านคงให้ความร่วมมือค่ะ ขอบคุณค่ะ สุพรรณิกา (เจ้าหน้าที่ตัวแทนจากสลิมอัพ)”
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนจะมีการส่งข้อความ SMS ผู้สื่อข่าวคนเดียวกันนี้ เคยได้รับโทรศัพท์เมื่อเวลา 18.15 น. ของวันที่ 17 มี.ค. จากเลขหมาย 08-4466-7770 เป็นเสียงผู้หญิงที่อ้างตนว่าชื่อ แจ็ก บอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่จากสถาบันสลิม อัพ เซ็นเตอร์ โดยได้แจ้งในทำนองเดียวกันว่า ขอให้ผู้สื่อข่าวให้ความร่วมมือถอดข่าวออกจากเว็บไซต์ และเฟซบุ๊ก ซึ่งผู้สื่อข่าวได้ตอบกลับไปว่าขอพิจารณาเนื้อหาข่าว และแจ้งผู้ใหญ่ที่มีอำนาจก่อนที่จะวางหูไป อย่างไรก็ตาม มีความพยายามโทรติดต่อกลับมาอีก 2 ครั้ง ในช่วงกลางดึกวันก่อน นี้ และช่วงเช้าวานนี้ ก่อนที่จะส่งเป็นข้อความสั้นผ่านโทรศัพท์มือถือดังกล่าว
สำหรับข่าวที่เจ้าหน้าที่สลิม อัพ เซ็นเตอร์ ต้องการให้มีการถอดออกจากเว็บไซต์ และเฟซบุ๊ก เป็นการรายงานข่าวที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างเป็นปกติ ซึ่งสื่อมวลชนหลายสำนักก็รายงานข่าวนี้กัน กล่าวคือ เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ของวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ ผกก.4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ร่วมกับนางวิไลวรรณ สาครินทร์ หัวหน้าฝ่ายอาหาร ยา และพัฒนาการแพทย์แผนไทย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา และ พ.ต.ท.ธีรภัทร ปิยะถาวร สว.สส.สภ.หาดใหญ่ เข้าตรวจสอบภายในสถานเสริมความงามชื่อดัง สลิม อัพ เซ็นเตอร์ ซึ่งได้เปิดสาขาภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
การตรวจสอบดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคใน อ.หาดใหญ่ เมื่อกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า ได้เข้าไปใช้บริการ แต่ผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ให้มาทำให้เกิดผลค้างเคียง มีผื่นคันสีแดงขึ้นตามร่างกาย และได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล พร้อมกับส่งเรื่องร้องเรียนไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้เข้าตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้รักษาลูกค้าว่าได้มาตรฐานหรือไม่
จากการตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการร้องเรียนว่ามีผลข้างเคียงนั้น แสดงฉลากไม่ถูกต้อง และระบุรายละเอียดของสินค้าเป็นภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว และบางส่วนเตรียมที่จะส่งให้ลูกค้า โดยเจ้าหน้าที่จึงยึดผลิตภัณฑ์ชุดนี้ที่อยู่ภายในร้านไว้ทั้งหมด จำนวน 3 ลัง เพื่อนำไปตรวจสอบมีสารต้องห้ามตามที่ถูกร้องเรียนหรือไม่