วานนี้ (18มี.ค.) ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ โฆษกสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ตรวจสอบการใช้เงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐตามข้อบังคับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) 75 ล้านบาท ที่ให้แก่สปสช. ว่า เรื่องดังกล่าวสืบเนื่องจากสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) เสนอให้ดีเอสไอ ตรวจสอบตั้งแต่ 3 ก.ย. 56 และได้รายงานผลสอบสวนไปยัง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดสธ. และ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สธ. ในขณะนั้น ซึ่งสั่งให้นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ประธานบอร์ดอภ.ขณะนั้น หารือกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ตรวจสอบ ซึ่งได้ข้อสรุปแนวทางเดียวกับดีเอสไอว่า ไม่พบพิรุธ หรือทุจริตในการใช้เงิน แต่ให้ดำเนินการให้ถูกตามระเบียบ โดยสตง.แจ้งให้ อภ.ทราบว่า เงินที่ อภ.จัดสรรให้ สปสช. เป็นเงินที่มาจากการที่ สปสช. จัดซื้อผลิตภัณฑ์ยาด้วยเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพฯที่ได้รับตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี จึงเป็นสิทธิของสปสช. ที่จะพิจารณาจัดสรรเงินที่ได้รับให้หน่วยบริการในระบบหลักประกันฯซึ่งมีทั้งหน่วยบริการสังกัดสป.สธ. และภาคเอกชน ซึ่งหาก สปสช.พิจารณาให้สป.สธ. เป็นผู้ดำเนินการแทนอาจเป็นการขัดต่อข้อบังคับของอภ. ไม่ตรงตามข้อเสนอแนะของสตง. และขัดต่อ พ.ร.บ.หลักประกันฯ
“สปสช.ก็ทำตามข้อเสนอแนะของสตง. ไม่มีการโอนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ สป.สธ. แต่อย่างใด ทั้งนี้ สปสช. ขอชี้แจงว่า สตง.ไม่ได้ท้วงติงว่า สปสช. มิได้ส่งเงินนี้ให้กับหน่วยบริการ และนำไปจัดสรรให้กลุ่มบุคคลและองค์กรอื่นที่ไม่ใช่หน่วยบริการแต่อย่างใด ประเด็นนี้เป็นการเข้าใจผิด นอกจากนั้น บอร์ด สปสช. ยังได้กำหนดหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐที่ได้รับจากอภ.ให้เป็นการนำไปใช้เพื่อประโยชน์โดยตรงต่อหน่วยบริการ ตามที่ สตง. ได้เสนอแนะเพิ่มเติมอีกด้วย” ทพ.อรรถพร กล่าว
ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ทั้งนี้ เงินดังกล่าวไม่ใช่เงินที่ได้จากส่วนลดในการซื้อยา และเป็นเงินคนละส่วนกับส่วนลดจากการซื้อยา ที่ผ่านมาสปสช.มีการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์รวม ซึ่งวิธีการนี้สามารถซื้อยาได้ราคาถูกลง และเงินที่ประหยัดได้หรือที่หลายฝ่ายอาจจะเรียกว่าเป็นเงินส่วนลดนั้นก็กลับเข้าสู่กองทุนหลักประกันสุขภาพในรูปแบบว่า การซื้อยาได้ราคาถูกลง ก็ทำให้ซื้อได้มากขึ้น และทำให้มีจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับยานั้นเพิ่มมากขึ้น แต่เงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐนี้ เป็นไปตามข้อบังคับของอภ.ที่มอบให้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการบริหาร การพัฒนาวิชาการ การศึกษาวิจัย รวมทั้งสนับสนุนกิจกรรมสาธารณประโยชน์อื่น
ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ในการจัดสรรนั้นจะมีคณะกรรมการบริหารเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐที่ตั้งขึ้นตามระเบียบคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่าด้วยเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐ ทำหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบสนับสนุนงบประมาณให้หน่วยบริการ หรือหน่วยงานภาครัฐ หรือองค์กรภาคีเครือข่าย รวมถึงผู้ปฏิบัติงานของสำนักงาน ซึ่งประเด็นนี้ จะเห็นได้ว่า เป็นเงินที่สนับสนุนให้แก่องค์กรที่นอกเหนือจากหน่วยบริการได้ และใช้เป็นสวัสดิการสำหรับสำนักงานได้ ซึ่งสวัสดิการสำนักงานนี้ เป็นไปตามระเบียบการดำเนินงานที่หน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล กระทรวง กรมต่างๆต่างมีงบประมาณสวัสดิการ ดังนั้นการที่มีการอ้างระบุว่า สตง.ทักท้วงว่าสปสช. มิได้ส่งเงินนี้ให้กับหน่วยบริการและนำไปจัดสรรให้กลุ่มบุคคล และองค์กรอื่นที่ไม่ได้ จึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
“สปสช.ก็ทำตามข้อเสนอแนะของสตง. ไม่มีการโอนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ สป.สธ. แต่อย่างใด ทั้งนี้ สปสช. ขอชี้แจงว่า สตง.ไม่ได้ท้วงติงว่า สปสช. มิได้ส่งเงินนี้ให้กับหน่วยบริการ และนำไปจัดสรรให้กลุ่มบุคคลและองค์กรอื่นที่ไม่ใช่หน่วยบริการแต่อย่างใด ประเด็นนี้เป็นการเข้าใจผิด นอกจากนั้น บอร์ด สปสช. ยังได้กำหนดหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐที่ได้รับจากอภ.ให้เป็นการนำไปใช้เพื่อประโยชน์โดยตรงต่อหน่วยบริการ ตามที่ สตง. ได้เสนอแนะเพิ่มเติมอีกด้วย” ทพ.อรรถพร กล่าว
ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ทั้งนี้ เงินดังกล่าวไม่ใช่เงินที่ได้จากส่วนลดในการซื้อยา และเป็นเงินคนละส่วนกับส่วนลดจากการซื้อยา ที่ผ่านมาสปสช.มีการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์รวม ซึ่งวิธีการนี้สามารถซื้อยาได้ราคาถูกลง และเงินที่ประหยัดได้หรือที่หลายฝ่ายอาจจะเรียกว่าเป็นเงินส่วนลดนั้นก็กลับเข้าสู่กองทุนหลักประกันสุขภาพในรูปแบบว่า การซื้อยาได้ราคาถูกลง ก็ทำให้ซื้อได้มากขึ้น และทำให้มีจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับยานั้นเพิ่มมากขึ้น แต่เงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐนี้ เป็นไปตามข้อบังคับของอภ.ที่มอบให้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการบริหาร การพัฒนาวิชาการ การศึกษาวิจัย รวมทั้งสนับสนุนกิจกรรมสาธารณประโยชน์อื่น
ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ในการจัดสรรนั้นจะมีคณะกรรมการบริหารเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐที่ตั้งขึ้นตามระเบียบคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่าด้วยเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐ ทำหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบสนับสนุนงบประมาณให้หน่วยบริการ หรือหน่วยงานภาครัฐ หรือองค์กรภาคีเครือข่าย รวมถึงผู้ปฏิบัติงานของสำนักงาน ซึ่งประเด็นนี้ จะเห็นได้ว่า เป็นเงินที่สนับสนุนให้แก่องค์กรที่นอกเหนือจากหน่วยบริการได้ และใช้เป็นสวัสดิการสำหรับสำนักงานได้ ซึ่งสวัสดิการสำนักงานนี้ เป็นไปตามระเบียบการดำเนินงานที่หน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล กระทรวง กรมต่างๆต่างมีงบประมาณสวัสดิการ ดังนั้นการที่มีการอ้างระบุว่า สตง.ทักท้วงว่าสปสช. มิได้ส่งเงินนี้ให้กับหน่วยบริการและนำไปจัดสรรให้กลุ่มบุคคล และองค์กรอื่นที่ไม่ได้ จึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง