00 มองในมุมบวก กรณีของ วัดพระธรรมกาย และ "ธัมมชโย" ทำให้สังคมชาวพุทธ มีการตื่นตัว มีการพูดถึงวัตรปฏิบัติของสงฆ์ ว่ามีความถูกต้อง เหมาะควร แค่ไหน รวมไปถึงคิดไปไกลถึงขนาด ต้องมีการสังคายนาวงการสงฆ์กันแล้วหรือไม่ หมายความว่า ต้องมีการ "ปฏิรูปวงการสงฆ์" กันแล้ว เพราะระยะหลังวงการสงฆ์ ถูกวิจารณ์ เปิดโปง ถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระสงฆ์มากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงการเข้ามาอิงแอบในคราบของพระสงฆ์จนทำให้เสื่อมเสีย ดังนั้น จึงมีความเห็นร่วมกันมากขึ้นว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขระเบียบ กฏเกณฑ์กันใหม่ แม้กระทั่งต้องการ แก้ไของค์กรปกครองคณะสงฆ์อย่าง "มหาเถรสมาคม"ด้วย
00 แน่นอนว่า พระสงฆ์ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม และก่อเรื่องอื้อฉาว ย่อมเป็นส่วนน้อย แต่ด้วยสังคมที่เปลี่ยนไป มีสิ่งยั่วยุมากขึ้น ทำให้พระมีโอกาสที่จะเบี่ยงเบนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ด้วยระบบสื่อสารเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีสังคมออนไลน์ ทำให้มีการส่งต่อภาพถ่าย คลิปต่างออกมากระจานพระสงฆ์นอกรีตอยู่ทุกวัน ก็ยิ่งทำให้เป็นแรงกดันให้ต้องมีการปรับปรุงแก้ไข ก่อนที่จะทำลายความศรัทธา และในที่สุด เรื่องราวในวงการสงฆ์ก็อาจกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งรอบใหม่ ที่ปะทุขึ้นมาได้อย่างน่ากลัว ดังนั้นถึงเวลาที่รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงมาแก้ไขอย่างจริงจัง โดย เฉพาะ นายกรัฐมนตรี ต้องมาทำความเข้าใจกับปัญหา และที่มาของปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งพื้นๆที่ "น่ารำคาญ" อย่างที่ นายกฯ พยายามพูดให้ผ่านไป หรือแม้แต่การมอบหมายให้ รองนายกฯ วิษณุ เครืองาม มาแก้ไขปัญหาในกรณีของ "ลิขิตสมเด็จพระสังฆราช" เพราะต้องไม่ลืมว่า ในอดีต วิษณุ เครืองาม คนนี้แหละ เคยมีส่วนสำคัญในการสร้างปัญหา โดยเฉพาะในยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการแต่งตั้ง "ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" ในอดีต ดังนั้นเรื่องแบบนี้จึงละเอียดอ่อน จะทำแบบฉาบฉวย พื้นๆ ไม่ได้เป็นอันขาด !!
00 เรื่องพลังงาน ที่นับวันยิ่งมีการตื่นตัวจากสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ภาครัฐ ต้องฟังเสียงจากภายนอกมากขึ้น และคราวนี้อาจเป็นครั้งแรกที่มีข้อมูลหลั่งไหลเข้ามาจนไม่อาจทัดทานได้ โดยเฉพาะพลังจากเจ้าของทรัพยากรตัวจริง อย่างประชาชน ที่ไม่ยอมให้รัฐปิดบัง หรือคิดเองแต่ฝ่ายเดียว และการที่มีการชะลอการยื่นขอสิทธิ์ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รอบ 21 ออกไป อีกอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อรอให้มีการแก้ไข กม.ที่เกี่ยวข้องให้เรียบร้อยก่อนนั้น ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ต้องมีการระดมความเห็น เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด และมีประโยชน์สูงสุดเสียก่อน และคงไม่ใช่การหยุดชั่วคราวเพื่อรอให้มีการเปิดสัมปทานฯ หลัง 3 เดือนผ่านไปแล้วอย่างที่ รมว.พลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี พยายามให้ความหมายอย่างนั้น เพราะถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ยุ่ง และฝ่ายที่จะยุ่งก็คือ รัฐบาล และคสช. นั่นแหละ !!
00 จะเรียกว่าถึงเวลาต้อง "เคลียร์" ปัญหากันเสียที โดยเฉพาะเรื่องการ "สลายการชุมนุมปี 53" ที่ล่าสุด ป.ป.ช.ได้มีมติ แจ้งข้อกล่าวหา กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ส่อมีความผิดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และในจำนวนนั่นยังพ่วงเอา "บิ๊กทหาร" ในอดีต ที่ในปัจจันกลายมาเป็น "ซุปเปอร์บิ๊ก" นั่นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีต รอง ผบ.ทบ. ในขณะนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม โดย พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันล่าสุดว่า พร่อมไปเป็นพยานให้ และแถมยังให้ข้อมูลยืนยันว่า "มีคนชุดดำ ปะปนในคนเสื้อแดง ยิงใส่ทหาร " นี่มันสำคัญตรงนี้แหละ ที่ต้องการเคลียร์ !!
00 แน่นอนว่า พระสงฆ์ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม และก่อเรื่องอื้อฉาว ย่อมเป็นส่วนน้อย แต่ด้วยสังคมที่เปลี่ยนไป มีสิ่งยั่วยุมากขึ้น ทำให้พระมีโอกาสที่จะเบี่ยงเบนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ด้วยระบบสื่อสารเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีสังคมออนไลน์ ทำให้มีการส่งต่อภาพถ่าย คลิปต่างออกมากระจานพระสงฆ์นอกรีตอยู่ทุกวัน ก็ยิ่งทำให้เป็นแรงกดันให้ต้องมีการปรับปรุงแก้ไข ก่อนที่จะทำลายความศรัทธา และในที่สุด เรื่องราวในวงการสงฆ์ก็อาจกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งรอบใหม่ ที่ปะทุขึ้นมาได้อย่างน่ากลัว ดังนั้นถึงเวลาที่รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงมาแก้ไขอย่างจริงจัง โดย เฉพาะ นายกรัฐมนตรี ต้องมาทำความเข้าใจกับปัญหา และที่มาของปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งพื้นๆที่ "น่ารำคาญ" อย่างที่ นายกฯ พยายามพูดให้ผ่านไป หรือแม้แต่การมอบหมายให้ รองนายกฯ วิษณุ เครืองาม มาแก้ไขปัญหาในกรณีของ "ลิขิตสมเด็จพระสังฆราช" เพราะต้องไม่ลืมว่า ในอดีต วิษณุ เครืองาม คนนี้แหละ เคยมีส่วนสำคัญในการสร้างปัญหา โดยเฉพาะในยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการแต่งตั้ง "ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" ในอดีต ดังนั้นเรื่องแบบนี้จึงละเอียดอ่อน จะทำแบบฉาบฉวย พื้นๆ ไม่ได้เป็นอันขาด !!
00 เรื่องพลังงาน ที่นับวันยิ่งมีการตื่นตัวจากสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ภาครัฐ ต้องฟังเสียงจากภายนอกมากขึ้น และคราวนี้อาจเป็นครั้งแรกที่มีข้อมูลหลั่งไหลเข้ามาจนไม่อาจทัดทานได้ โดยเฉพาะพลังจากเจ้าของทรัพยากรตัวจริง อย่างประชาชน ที่ไม่ยอมให้รัฐปิดบัง หรือคิดเองแต่ฝ่ายเดียว และการที่มีการชะลอการยื่นขอสิทธิ์ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รอบ 21 ออกไป อีกอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อรอให้มีการแก้ไข กม.ที่เกี่ยวข้องให้เรียบร้อยก่อนนั้น ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ต้องมีการระดมความเห็น เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด และมีประโยชน์สูงสุดเสียก่อน และคงไม่ใช่การหยุดชั่วคราวเพื่อรอให้มีการเปิดสัมปทานฯ หลัง 3 เดือนผ่านไปแล้วอย่างที่ รมว.พลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี พยายามให้ความหมายอย่างนั้น เพราะถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ยุ่ง และฝ่ายที่จะยุ่งก็คือ รัฐบาล และคสช. นั่นแหละ !!
00 จะเรียกว่าถึงเวลาต้อง "เคลียร์" ปัญหากันเสียที โดยเฉพาะเรื่องการ "สลายการชุมนุมปี 53" ที่ล่าสุด ป.ป.ช.ได้มีมติ แจ้งข้อกล่าวหา กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ส่อมีความผิดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และในจำนวนนั่นยังพ่วงเอา "บิ๊กทหาร" ในอดีต ที่ในปัจจันกลายมาเป็น "ซุปเปอร์บิ๊ก" นั่นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีต รอง ผบ.ทบ. ในขณะนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม โดย พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันล่าสุดว่า พร่อมไปเป็นพยานให้ และแถมยังให้ข้อมูลยืนยันว่า "มีคนชุดดำ ปะปนในคนเสื้อแดง ยิงใส่ทหาร " นี่มันสำคัญตรงนี้แหละ ที่ต้องการเคลียร์ !!