ผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกามต่อเนื่องกลับคำ นั่งแถลงร่วมตำรวจยันไม่ได้ถูกซ้อม อ้างให้ข่าวเพราะโมโหบวกตกใจ ส่วนที่รับสารภาพเพราะเมา-กลัว แต่ยังทิ้งท้าย"อยากให้เรื่องมันจบ" เผยเรื่องกลับตาลปัตรหลังชุดสืบสวนภาค 3 รับตัวมาปรับทัศนคติ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังกลัวไม่กล้าขึ้นรถตำรวจ ต้องขอมากับนักข่าวแทน สุดท้ายไม่ได้ตรวจร่างกาย ด้านญาติขอความเป็นธรรม ตกเป็นจำเลยสังคม-พี่น้องเสียหาย จี้ตร.แสดงความรับผิดชอบ
วานนี้ (26 ก.พ.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะโฆษกตร. กล่าวถึงกรณีนายตะวัน ทองยิ้ม อายุ 35 ปี อดีตลูกจ้างแขวงการทางจังหวัดนครปฐม ปัจจุบันเป็นคนงานโรงน้ำแข็งในอ.พิมาย จ.นครราชสีมา ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีข่มขืนหญิงชราต่อเนื่อง 10 คดีในท้องที่จ.นครปฐม สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ที่ต่อมาผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอยืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เนื่องจากไม่ตรงกับตัวอย่างดีเอ็นเอของคนร้าย จึงต้องปล่อยตัวนั้น
ต่อมา นายตะวันให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่ต้องรับสารภาพไปก่อน เพราะถูกตำรวจทำร้ายร่างกาย และบังคับให้รับสารภาพ เบื้องต้นได้เตรียมสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนายตะวันด้วยว่ามีพยานเห็นเหตุการณ์ขณะถูกซ้อมหรือไม่ พร้อมนำตัวผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจร่างกาย หากมีบาดแผลก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร ตนยืนยันว่าหากตำรวจกระทำผิดจริงจะดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายตะวันไม่มาทำงานที่โรงน้ำแข็งเอ็ม.พี. สอบถามเพื่อนพนักงานทราบว่า นายตะวันลาหยุด 1-2 วัน เนื่องจากตั้งแต่เกิดเหตุยังไม่ได้พักผ่อนต่อมา เวลา 15.00 น.
ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 3 นำโดยพ.ต.ท.สิทธิศักดิ์ พรหมเมืองโชติ สสว.สส.ภ. 3 ได้ประสานไปทางโรงน้ำแข็งตามตัวนายตะวันมาพบ เนื่องจากจะมาเชิญไปตรวจร่างกาย ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งนายตะวันที่ตัดผมทรงใหม่ได้มาพบเจ้าหน้าที่ แต่ปฏิเสธที่จะนั่งรถไปด้วย เพราะเกรงความไม่ปลอดภัย
พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก ผบช.ภ. 3 กล่าวว่า ตนอยู่ที่กรุงเทพฯเพราะลาราชการ 2 วัน แต่จากรายงานเบื้องต้นของผู้บังคับการศูนย์สืบสวนสอบสวนภาค 3 ทราบว่าชุดสืบสวนได้พาตัวนายตะวันมาสอบปากคำที่กองบัญชาการตำรวจภาค 3 ตามปกติ ไม่มีการซ้อมแต่อย่างใด ซึ่งผู้ต้องสงสัยสติไม่ค่อยดี พูดกลับไปกลับมา บางทีก็รับ บางทีก็ไม่รับ เจ้าหน้าที่ก็ปวดหัวเช่นกัน ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ซ้อม หรือทำร้ายร่างกาย
ด้านพล.ต.ต.ปกรณ์ เสริมสุวรรณ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 3 กล่าวว่า ข่าวที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง ไม่มีมูลเหตุใดที่ต้องไปซ้อมนายตะวัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือ เมื่อได้รับการประสานจากชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ให้เชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวน ชุดสืบสวนภาค 3 ก็มีมีหน้าที่แค่ไปเชิญตัวมา โดยได้นำตัวมาจากโรงน้ำแข็งพี.เอ็ม. และนำมาให้ชุดสืบสวนภาค 7 สอบปากคำ นายตะวันก็ให้การวงวนไปมาเหมือนคนสติไม่ดี บางทีก็รับสารภาพ บางทีก็ไม่รับ เจ้าหน้าที่จึงรอผลตรวจดีเอ็นเอ และเมื่อผลออกมาไม่ตรงกัน ก็ปล่อยตัวไป โดยชุดสืบสวนภาค 3 ยังต้องรับภาระขับรถมาส่งนายตะวันถึงโรงน้ำแข็งอีก
"ไม่มีเหตุผลที่เจ้าหน้าที่จะทำร้ายนายตะวันเพื่อให้รับสารภาพ เพราะสำนวนคดีไม่ได้อยู่ที่ภาค 3 แผลที่นายตะวันชี้ให้ผู้สื่อข่าวดูก็ไม่รู้ไปโดนอะไรมา เพราะนายตะวันมีหน้าที่ยกน้ำแข็ง อาจจะไปกระแทกอะไรก็เป็นได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความกระจ่างและเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ จึงได้ให้พ.ต.ท.สิทธิศักดิ์ไปเชิญตัวนายตะวันมาตรวจร่างกาย เบื้องต้นได้รับแจ้งว่านายตะวันไม่ยอมมา และบอกว่าจะให้ผู้สื่อข่าวขึ้นรถมาด้วยจึงจะยอม"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 16.30 น. นายตะวันยอมขึ้นรถเดินทางมาตรวจร่างกาย โดยมีเงื่อนไขต้องให้ผู้สื่อข่าวและเพื่อนร่วมงานตามไปด้วย โดยขอนั่งรถของโรงงานตามตามรถของเจ้าหน้าที่ไปแทน
ขณะที่นายตะวันกล่าวยืนยันว่า ถูกซ้อมจริง โดยถูกปิดตา ถูกทำร้ายที่ศรีษะและใต้ราวนมขวา แต่ก็ไม่อยากพูดถึงอีก ตำรวจจะพาตัวไปตรวจร่างกายก็ไม่อยากไป กลัว อยากกลับบ้านมากกว่า ซึ่งนายตะวันได้ชี้บริเวณที่ถูกทำร้ายให้ดูด้วย
ทั้งนี้ หลังจากตำรวจนำตัวนายตะวันเข้าไปพูดคุยปรับทัศนคติภายในศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 3 โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปสังเกตการณ์
เวลา 18.30 น. พล.ต.ต.เติมพงษ์ สิทธิประเสริฐ รองผบช.ภ. 3 แถลงข่าวพร้อมนายตะวัน โดยพล.ต.ต.เติมพงษ์ กล่าวว่า ได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดที่ควบคุมตัวนายตะวันมาสอบถามข้อเท็จจริง ได้รับการยืนยันชัดเจนว่าไม่ได้ซ้อม เพราะเป็นการไปควบคุมตัวตามภาพสเกตซ์ และวันนี้ได้เชิญตัวนายตะวันมาทำความเข้าใจ ซึ่งนายตะวันก็ยืนยันว่าไม่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อม ที่ให้ข่าวไปก่อนหน้านี้ว่าถูกซ้อมเพราะโมโหและตกใจ จึงสรุปว่าไม่มีเหตุเกิดขึ้น ส่วนที่รับสารภาพวันเกิดเหตุเพราะเมาสุราและกลัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้นำตัวนายตะวันไปตรวจร่างกายแต่อย่างใด ขณะที่นายตะวันให้สัมภาษณ์แบบถามคำตอบคำ และบอกว่า "อยากให้เรื่องมันจบ"
วันเดียวกัน ที่บ้านเลขที่ 12 หมู่ 8 บ้านบุตาแหบ ต.ตลาดโพธิ์ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ บ้านเกิดของนายตะวันมีเพียงญาติและเพื่อนบ้านต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยถึงกรณีที่เกิดขึ้น เนื่องจากนางบัวพันธ์ ทองยิ้ม อายุ 60 ปี มารดาไปรับจ้างตัดอ้อย พ่อเสียชีวิตเมื่อ 10 ปีก่อน พี่น้องอีก 3 คนแยกย้ายกันไปมีครอบครัวหมด ซึ่งนายสมศรี คำพิมูล อายุ 45 ปี น้าชายกล่าวว่า ทราบข่าวก็ตกใจและเป็นห่วงหลาน หลังถูกปล่อยตัวได้โทรศัพท์มาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ว่าสาเหตุที่ต้องยอมรับสารภาพเพราะถูกตำรวจซ้อม และยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิดตาม จึงขอความเป็นธรรมให้หลานชายด้วย เพราะขณะนี้ตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว
ขณะที่นางแตงอ่อน คำพิมูล พี่สะใภ้ กล่าวว่า อยากให้ตำรวจออกมาแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดเหตุ ไม่ใช่แค่ขอโทษแล้วจบกันไป เพราะหลานต้องตกเป็นจำเลยของสังคม เสียหายมาถึงญาติพี่น้องและครอบครัว หากกลับมาบ้านญาติพี่น้องก็จะทำพิธีสู่ขวัญให้ และขอฝากถึงตำรวจว่าทำงานให้รอบคอบมากกว่านี้
วานนี้ (26 ก.พ.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะโฆษกตร. กล่าวถึงกรณีนายตะวัน ทองยิ้ม อายุ 35 ปี อดีตลูกจ้างแขวงการทางจังหวัดนครปฐม ปัจจุบันเป็นคนงานโรงน้ำแข็งในอ.พิมาย จ.นครราชสีมา ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีข่มขืนหญิงชราต่อเนื่อง 10 คดีในท้องที่จ.นครปฐม สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ที่ต่อมาผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอยืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เนื่องจากไม่ตรงกับตัวอย่างดีเอ็นเอของคนร้าย จึงต้องปล่อยตัวนั้น
ต่อมา นายตะวันให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่ต้องรับสารภาพไปก่อน เพราะถูกตำรวจทำร้ายร่างกาย และบังคับให้รับสารภาพ เบื้องต้นได้เตรียมสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนายตะวันด้วยว่ามีพยานเห็นเหตุการณ์ขณะถูกซ้อมหรือไม่ พร้อมนำตัวผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจร่างกาย หากมีบาดแผลก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร ตนยืนยันว่าหากตำรวจกระทำผิดจริงจะดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายตะวันไม่มาทำงานที่โรงน้ำแข็งเอ็ม.พี. สอบถามเพื่อนพนักงานทราบว่า นายตะวันลาหยุด 1-2 วัน เนื่องจากตั้งแต่เกิดเหตุยังไม่ได้พักผ่อนต่อมา เวลา 15.00 น.
ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 3 นำโดยพ.ต.ท.สิทธิศักดิ์ พรหมเมืองโชติ สสว.สส.ภ. 3 ได้ประสานไปทางโรงน้ำแข็งตามตัวนายตะวันมาพบ เนื่องจากจะมาเชิญไปตรวจร่างกาย ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งนายตะวันที่ตัดผมทรงใหม่ได้มาพบเจ้าหน้าที่ แต่ปฏิเสธที่จะนั่งรถไปด้วย เพราะเกรงความไม่ปลอดภัย
พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก ผบช.ภ. 3 กล่าวว่า ตนอยู่ที่กรุงเทพฯเพราะลาราชการ 2 วัน แต่จากรายงานเบื้องต้นของผู้บังคับการศูนย์สืบสวนสอบสวนภาค 3 ทราบว่าชุดสืบสวนได้พาตัวนายตะวันมาสอบปากคำที่กองบัญชาการตำรวจภาค 3 ตามปกติ ไม่มีการซ้อมแต่อย่างใด ซึ่งผู้ต้องสงสัยสติไม่ค่อยดี พูดกลับไปกลับมา บางทีก็รับ บางทีก็ไม่รับ เจ้าหน้าที่ก็ปวดหัวเช่นกัน ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ซ้อม หรือทำร้ายร่างกาย
ด้านพล.ต.ต.ปกรณ์ เสริมสุวรรณ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 3 กล่าวว่า ข่าวที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง ไม่มีมูลเหตุใดที่ต้องไปซ้อมนายตะวัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือ เมื่อได้รับการประสานจากชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ให้เชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวน ชุดสืบสวนภาค 3 ก็มีมีหน้าที่แค่ไปเชิญตัวมา โดยได้นำตัวมาจากโรงน้ำแข็งพี.เอ็ม. และนำมาให้ชุดสืบสวนภาค 7 สอบปากคำ นายตะวันก็ให้การวงวนไปมาเหมือนคนสติไม่ดี บางทีก็รับสารภาพ บางทีก็ไม่รับ เจ้าหน้าที่จึงรอผลตรวจดีเอ็นเอ และเมื่อผลออกมาไม่ตรงกัน ก็ปล่อยตัวไป โดยชุดสืบสวนภาค 3 ยังต้องรับภาระขับรถมาส่งนายตะวันถึงโรงน้ำแข็งอีก
"ไม่มีเหตุผลที่เจ้าหน้าที่จะทำร้ายนายตะวันเพื่อให้รับสารภาพ เพราะสำนวนคดีไม่ได้อยู่ที่ภาค 3 แผลที่นายตะวันชี้ให้ผู้สื่อข่าวดูก็ไม่รู้ไปโดนอะไรมา เพราะนายตะวันมีหน้าที่ยกน้ำแข็ง อาจจะไปกระแทกอะไรก็เป็นได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความกระจ่างและเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ จึงได้ให้พ.ต.ท.สิทธิศักดิ์ไปเชิญตัวนายตะวันมาตรวจร่างกาย เบื้องต้นได้รับแจ้งว่านายตะวันไม่ยอมมา และบอกว่าจะให้ผู้สื่อข่าวขึ้นรถมาด้วยจึงจะยอม"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 16.30 น. นายตะวันยอมขึ้นรถเดินทางมาตรวจร่างกาย โดยมีเงื่อนไขต้องให้ผู้สื่อข่าวและเพื่อนร่วมงานตามไปด้วย โดยขอนั่งรถของโรงงานตามตามรถของเจ้าหน้าที่ไปแทน
ขณะที่นายตะวันกล่าวยืนยันว่า ถูกซ้อมจริง โดยถูกปิดตา ถูกทำร้ายที่ศรีษะและใต้ราวนมขวา แต่ก็ไม่อยากพูดถึงอีก ตำรวจจะพาตัวไปตรวจร่างกายก็ไม่อยากไป กลัว อยากกลับบ้านมากกว่า ซึ่งนายตะวันได้ชี้บริเวณที่ถูกทำร้ายให้ดูด้วย
ทั้งนี้ หลังจากตำรวจนำตัวนายตะวันเข้าไปพูดคุยปรับทัศนคติภายในศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 3 โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปสังเกตการณ์
เวลา 18.30 น. พล.ต.ต.เติมพงษ์ สิทธิประเสริฐ รองผบช.ภ. 3 แถลงข่าวพร้อมนายตะวัน โดยพล.ต.ต.เติมพงษ์ กล่าวว่า ได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดที่ควบคุมตัวนายตะวันมาสอบถามข้อเท็จจริง ได้รับการยืนยันชัดเจนว่าไม่ได้ซ้อม เพราะเป็นการไปควบคุมตัวตามภาพสเกตซ์ และวันนี้ได้เชิญตัวนายตะวันมาทำความเข้าใจ ซึ่งนายตะวันก็ยืนยันว่าไม่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อม ที่ให้ข่าวไปก่อนหน้านี้ว่าถูกซ้อมเพราะโมโหและตกใจ จึงสรุปว่าไม่มีเหตุเกิดขึ้น ส่วนที่รับสารภาพวันเกิดเหตุเพราะเมาสุราและกลัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้นำตัวนายตะวันไปตรวจร่างกายแต่อย่างใด ขณะที่นายตะวันให้สัมภาษณ์แบบถามคำตอบคำ และบอกว่า "อยากให้เรื่องมันจบ"
วันเดียวกัน ที่บ้านเลขที่ 12 หมู่ 8 บ้านบุตาแหบ ต.ตลาดโพธิ์ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ บ้านเกิดของนายตะวันมีเพียงญาติและเพื่อนบ้านต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยถึงกรณีที่เกิดขึ้น เนื่องจากนางบัวพันธ์ ทองยิ้ม อายุ 60 ปี มารดาไปรับจ้างตัดอ้อย พ่อเสียชีวิตเมื่อ 10 ปีก่อน พี่น้องอีก 3 คนแยกย้ายกันไปมีครอบครัวหมด ซึ่งนายสมศรี คำพิมูล อายุ 45 ปี น้าชายกล่าวว่า ทราบข่าวก็ตกใจและเป็นห่วงหลาน หลังถูกปล่อยตัวได้โทรศัพท์มาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ว่าสาเหตุที่ต้องยอมรับสารภาพเพราะถูกตำรวจซ้อม และยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิดตาม จึงขอความเป็นธรรมให้หลานชายด้วย เพราะขณะนี้ตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว
ขณะที่นางแตงอ่อน คำพิมูล พี่สะใภ้ กล่าวว่า อยากให้ตำรวจออกมาแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดเหตุ ไม่ใช่แค่ขอโทษแล้วจบกันไป เพราะหลานต้องตกเป็นจำเลยของสังคม เสียหายมาถึงญาติพี่น้องและครอบครัว หากกลับมาบ้านญาติพี่น้องก็จะทำพิธีสู่ขวัญให้ และขอฝากถึงตำรวจว่าทำงานให้รอบคอบมากกว่านี้