ป.ป.ช.ขนสำนวน 2 แสนหน้ามอบ อสส.เอาผิด “บุญทรง” กับพวก รวม 21 คน ฐานโกงข้าวจีทูจี โฆษก อสส.ระบุ ตรวจสอบหลักฐานให้เสร็จภายใน 1 เดือน ก่อนเคาะฟ้องหรือไม่ อีกด้าน “ฉัตรชัย” เผย พณ.เคาะขายข้าวในสต๊อก 5 แสนตัน ให้เอกชน 38 ราย จากยอดเปิดประมูลเกือบล้านตัน เผยได้ตัดสิทธิ์นอมินีสยามอินดิก้าออก พร้อมนำข้าวส่วนที่เหลือรวมเปิดประมูลใหม่ปลาย ก.พ.นี้ คาดไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน ปลื้มจีนสัญญาซื้อข้าว-ยางพารา รอคุยอีกรอบกลาง มี.ค.
วานนี้ (16 ก.พ.) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ นายศักดิ์ชัย เมทินีพิศาลกุล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เดินทางมายื่นส่งสำนวนคดีอาญา นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กับพวก 21 ราย กรณีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยมิชอบ ต่อ นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ
ป.ป.ช.ขนสำนวนชี้มูลถึง อสส.
โดย นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า ทางสำนักงาน ป.ป.ช. ได้นำข้อมูล และเอกสารเกี่ยวกับสำนวนคดีอาญา การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ จำนวน 59 ลัง จำนวน 3 ชุด รวม 204,000 หน้ากระดาษ ซึ่งหลักฐานที่เรานำมามีหลายอย่าง ทางอัยการสูงสุดอาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควรที่จะดูเอกสารที่นำมาดังกล่าว ส่วนผู้ที่ถูกกล่าวหาก็มีทั้งภาครัฐ และเอกชน ทั้งนี้ การส่งสำนวนดังกล่าวเป็นเพียงเบื้องต้นของผู้ถูกกล่าวหา เพราะยังมีในส่วนของภาคเอกชนที่ทาง ป.ป.ช. กำลังตรวจสอบอยู่ และคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเอกชน พ่อค้าที่ทำการค้ากับรัฐบาลในสมัยนั้น
อสส.มีเวลาดูเอกสาร 30 วัน
ด้าน นายวันชัย ระบุว่า หลังจากนี้ จะตรวจสอบข้อมูล และเอกสารเกี่ยวกับคดีอาญาโดยใช้เวลาไม่นาน คาดว่า จะเสร็จภายในเดือนนี้ และไม่หนักใจในการพิจารณา 1 เรื่องดังกล่าวว่าจะส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ สำหรับพยานหลักฐานที่ทาง ป.ป.ช. นำมาในครั้งนี้เป็นสำนวนเกี่ยวกับการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับสำนวนคดีอาญาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว แต่ทั้งนี้ก็เป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องกัน
“ขั้นตอนหลังจากนี้ อัยการสูงสุด จะดำเนินการตั้งคณะทำงานพิจารณาสำนวนให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน หากพบข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนคดี ก็จะแจ้งกลับ ป.ป.ช. ให้หาพยานหลักฐานมาประกอบสำนวนเพิ่ม ก่อนที่อัยการสูงสุด จะมีความเห็น” นายวันชัยกล่าว
พณ.ขายข้าว 5 แสนตัน 7.8 พันล้าน
อีกด้าน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการประมูลข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล ครั้งที่ 1/2558 ปริมาณ 9.99 แสนตัน เมื่อวันที่ 29 ม.ค.58 ที่ผ่านมา ว่า ได้อนุมัติการขายข้าวให้กับผู้ชนะการประมูลจำนวน 38 ราย ปริมาณ 4.96 แสนตัน หรือคิดเป็น 49.64% ของปริมาณที่เปิดประมูลในรอบนี้ โดยคิดเป็นมูลค่า 7,853 ล้านบาท สำหรับปริมาณข้าวที่เหลือกว่า 4 แสนตัน จากการตรวจสอบพบว่าผู้เข้าร่วมประมูลไม่ผ่านคุณสมบัติ จึงระงับการขายให้ และจะนำข้าวในส่วนที่เหลือไปเปิดประมูลใหม่อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมูลรอบใหม่ได้ในช่วงปลายเดือน ก.พ.2558 นี้ รวมแล้วปริมาณเกือบ 1 ล้านตัน
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวถึงการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยว่า ได้มีการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน โดยได้มีการติดตามเรื่องการขายข้าวไทยให้จีน หลังจากที่จีนได้แสดงความสนใจที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากไทย แบ่งเป็นข้าวปริมาณ 2 ล้านตัน และยางพาราประมาณ 2 แสนตัน มีกรอบระยะเวลาส่งมอบภายใน 2 ปี ตั้งแต่ปี 58-59 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเชิญจีนมาประชุมหารือรายละเอียดร่วมกันอีกครั้งในช่วงกลางเดือน มี.ค.58 ทั้งนี้ ยังได้มีการหารือกรอบความร่วมมือโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ขนาดรางมาตรฐาน 1.435 เมตร โดยจะมีการดำเนินการเจรจาตามกรอบความร่วมมือที่ได้ตกลงกันไว้ แต่จะต้องมีการหารือในรายละเอียดร่วมกันอีกครั้ง
เอกชนเซ็งปล่อย บ.สีเทามั่วประมูล
ทางด้าน นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์สามารถระบายข้าวได้เกินครึ่งของที่เปิดประมูล ถือว่าประสบความสำเร็จ และแสดงว่าตลาดมีความต้องการข้าวสูง และขอให้รัฐบาลเร่งระบายข้าวอีกโดยเร็ว
เช่นเดียวกับ นายสมพงษ์ กิตติเรียงลาภ ประธานกรรมการ บริษัท พงษ์ลาภ จำกัด กล่าวว่า พร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลข้าวของรัฐบาลอีก และเห็นว่า การประมูลครั้งต่อไป ควรปรับปรุงเงื่อนไขให้มีความรัดกุมมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทที่ไม่พึงประสงค์เข้ามาสร้างปัญหาอีก เช่น การกำหนดเงินทุนจดทะเบียนบริษัท และการตรวจสอบประวัติการส่งออกข้าว เป็นต้น
แฉมีนอมินี “สยามอินดิก้า” แจม
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ปริมาณข้าวที่ไม่อนุมัติขายให้กับเอกชนที่ไม่ผ่านคุณสมบัติมีปริมาณ 4 แสนตัน โดยบริษัทดังกล่าว เป็นบริษัทที่มีข่าวว่าเป็นนอมินีให้กับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดสัญญาซื้อขายข้าวรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) และยังมีการตรวจสอบพบอีกว่าบริษัทที่ชนะการประมูลข้าวในส่วนของ 4 แสนตันนั้น ไม่ใช่บริษัทที่ค้าขายข้าว ไม่เคยมีประวัติการส่งออกข้าว แต่เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการขนถ่ายสินค้าท่าเรือให้กับ บริษัท สยามอินดิก้า เท่านั้น
โดยการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ คณะทำงานพิจารณาระบายข้าว ได้เสนอให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณาว่าบริษัทนี้ อาจจะเข้าข่ายเป็นนอมินีให้กับบริษัท สยามอินดิก้า และขอให้ นบข. พิจารณาชี้ขาดว่าจะอนุมัติขายหรือไม่ขายข้าวให้กับบริษัทดังกล่าว ซึ่ง นบข. ได้ให้ฝ่ายกฎหมายเข้าไปตรวจสอบแล้ว และผลออกมาอย่างที่เห็น
เผยเสนอราคาสูงกว่าเจ้าอื่นด้วย
ทั้งนี้มีข้อมูลจากสำนักข่าวอิศราว่า บริษัท เอ็มไพร์ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ยื่นประมูลข้าวสารสต๊อกรัฐบาล มีที่ตั้งของบริษัทตั้งอยู่ที่อาคารเลขที่ 48/7-8 (ชั้น 1, 4, 5) ซอยรัชดาภิเษก 20 แม้จะคนละชั้นกับบริษัท สยามอินดิก้า ที่เคยตั้งสำนักงานอยู่ที่ชั้น 2 แต่ก็เป็นตึกเดียวกัน คือ อาคาร 48/7-8 ซอยรัชดาภิเษก เหมือนกัน และที่ต้องจับตา คือกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในบริษัท เอ็มไพร์ดีเวลลอปเม้นท์ มีชื่อ สุดา คุณจักร ซึ่งเคยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทสยามอินดิก้า ในช่วงเดือน ธ.ค.52 ถึงเดือน มี.ค.54 ก่อนถอนหุ้นออกไป
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับบริษัทที่ชนะประมูลข้าวปริมาณสูงสุด ได้แก่ บริษัท เอเชีย โกลเด้นท์ ไรซ์ ปริมาณ 1 แสนตัน จากปริมาณเสนอซื้อ 3 แสนตัน รองลงมา คือ บริษัท พงษ์ลาภ ปริมาณ 3 หมื่นตัน จากที่เสนอซื้อ 3 แสนตัน บริษัท นครหลวงค้าข้าว 2 หมื่นตัน จากที่เสนอซื้อ 3 แสนตัน ส่วนผู้ชนะประมูลรายอื่นๆ มีทั้งผู้ส่งออกและโรงสีข้าว โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 9.5-10.3 บาท ใกล้เคียงกับราคาขั้นต่ำที่เฉลี่ยกก.ละ 9-10 บาท โดยบริษัทที่เป็นนอมินีของสยามอินดิก้าเสนอราคาเฉลี่ย กก.ละ 10-11 บาท แต่ก็ถูกตัดสิทธิ์
ไล่ล่าคู่สัญญาอคส.เก็บมันทำรัฐสูญ243ล้าน
จ.ชลบุรี พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พร้อมด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) พ.ต.ท.ปิยวิชญ์ วงศ์สวัสดิ์ รองผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า(อคส.) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตำรวจสภ.พนัสนิคม ทหารจากกองบัญชาการช่วยรบที่ 1 อ.เกาะจันทร์ ร่วมตรวจสอบโกดังเก็บแป้งมันสำปะหลังที่ 5 บริษัท ควอลิตี้เพลเลทส์ จำกัด เลขที่ 129 หมู่ 3 ต.หนองเหียง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ที่นายพิชัย พัฒนาพงศ์ชัย อายุ 34 ปี เป็นผู้เช่าช่วงต่อจากเจ้าของเดิม
พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า จากพบข้อมูลว่านายพิชัยทำสัญญารับฝากแป้งมันสำปะหลัง 11,000 ตันจากอคส. ในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 ตรวจสอบพบแป้งมันหายไป 4,700 ตัน ส่วนที่เหลือ 5,400 ตัน จำนวน 8,985 ถุง เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ใช้น้ำยาไอโอดีนหยด พบว่ามีส่วนผสมจากวัตถุสีขาวที่ไม่ใช่แป้งมัน 5,462 ถุง เป็นแป้งมันแท้ 3,523 ถุง รวมมูลค่ารัฐเสียหาย 130 ล้านบาท ซึ่งตำรวจได้ขออนุมัติหมายศาลจังหวัดชลบุรี เพื่อจับกุมนายพิชัยข้อหายักยอกทรัพย์แล้ว
ทั้งนี้ นายพิชัยมีคดียักยอกทรัพย์ที่โกดังที่ 7 เลขที่ 63 ต.หนองชาก อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เมื่อปลายปี 2556 โดยนำเอาเหล็กนั่งร้านไปตั้งไว้ภายในโกดัง แล้วนำถุงแป้งมันมากองทับตบตาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ พบว่าถุงแป้ง 2,200 ตันเป็นโซเดียมออกไซต์หรือสารฟอกขาวทั้งหมด และหายไปอีก 5,000 ตัน ซึ่งรัฐเสียหาย 113 ล้านบาท โดยตำรวจออกหมายจับไปแล้ว และเป็นคดีเชื่อมโยงมาถึงโกดัง 5 ต.หนองเหียง อ.พนัสนิคม รวม 2 ครั้งภาครัฐเสียหาย 243 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าขบวนการนี้น่าจะมีผู้กระทำความผิดหลายคน โดยเฉพาะนายบรรเลง อภิธนบาล หัวหน้าคลังสินค้าชลบุรี ที่ถูกสั่งให้พักราชการไปแล้ว และคดีนี้อยู่ในขั้นพิจารณาของศาล
วานนี้ (16 ก.พ.) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ นายศักดิ์ชัย เมทินีพิศาลกุล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เดินทางมายื่นส่งสำนวนคดีอาญา นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กับพวก 21 ราย กรณีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยมิชอบ ต่อ นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ
ป.ป.ช.ขนสำนวนชี้มูลถึง อสส.
โดย นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า ทางสำนักงาน ป.ป.ช. ได้นำข้อมูล และเอกสารเกี่ยวกับสำนวนคดีอาญา การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ จำนวน 59 ลัง จำนวน 3 ชุด รวม 204,000 หน้ากระดาษ ซึ่งหลักฐานที่เรานำมามีหลายอย่าง ทางอัยการสูงสุดอาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควรที่จะดูเอกสารที่นำมาดังกล่าว ส่วนผู้ที่ถูกกล่าวหาก็มีทั้งภาครัฐ และเอกชน ทั้งนี้ การส่งสำนวนดังกล่าวเป็นเพียงเบื้องต้นของผู้ถูกกล่าวหา เพราะยังมีในส่วนของภาคเอกชนที่ทาง ป.ป.ช. กำลังตรวจสอบอยู่ และคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเอกชน พ่อค้าที่ทำการค้ากับรัฐบาลในสมัยนั้น
อสส.มีเวลาดูเอกสาร 30 วัน
ด้าน นายวันชัย ระบุว่า หลังจากนี้ จะตรวจสอบข้อมูล และเอกสารเกี่ยวกับคดีอาญาโดยใช้เวลาไม่นาน คาดว่า จะเสร็จภายในเดือนนี้ และไม่หนักใจในการพิจารณา 1 เรื่องดังกล่าวว่าจะส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ สำหรับพยานหลักฐานที่ทาง ป.ป.ช. นำมาในครั้งนี้เป็นสำนวนเกี่ยวกับการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับสำนวนคดีอาญาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว แต่ทั้งนี้ก็เป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องกัน
“ขั้นตอนหลังจากนี้ อัยการสูงสุด จะดำเนินการตั้งคณะทำงานพิจารณาสำนวนให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน หากพบข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนคดี ก็จะแจ้งกลับ ป.ป.ช. ให้หาพยานหลักฐานมาประกอบสำนวนเพิ่ม ก่อนที่อัยการสูงสุด จะมีความเห็น” นายวันชัยกล่าว
พณ.ขายข้าว 5 แสนตัน 7.8 พันล้าน
อีกด้าน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการประมูลข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล ครั้งที่ 1/2558 ปริมาณ 9.99 แสนตัน เมื่อวันที่ 29 ม.ค.58 ที่ผ่านมา ว่า ได้อนุมัติการขายข้าวให้กับผู้ชนะการประมูลจำนวน 38 ราย ปริมาณ 4.96 แสนตัน หรือคิดเป็น 49.64% ของปริมาณที่เปิดประมูลในรอบนี้ โดยคิดเป็นมูลค่า 7,853 ล้านบาท สำหรับปริมาณข้าวที่เหลือกว่า 4 แสนตัน จากการตรวจสอบพบว่าผู้เข้าร่วมประมูลไม่ผ่านคุณสมบัติ จึงระงับการขายให้ และจะนำข้าวในส่วนที่เหลือไปเปิดประมูลใหม่อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมูลรอบใหม่ได้ในช่วงปลายเดือน ก.พ.2558 นี้ รวมแล้วปริมาณเกือบ 1 ล้านตัน
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวถึงการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยว่า ได้มีการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน โดยได้มีการติดตามเรื่องการขายข้าวไทยให้จีน หลังจากที่จีนได้แสดงความสนใจที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากไทย แบ่งเป็นข้าวปริมาณ 2 ล้านตัน และยางพาราประมาณ 2 แสนตัน มีกรอบระยะเวลาส่งมอบภายใน 2 ปี ตั้งแต่ปี 58-59 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเชิญจีนมาประชุมหารือรายละเอียดร่วมกันอีกครั้งในช่วงกลางเดือน มี.ค.58 ทั้งนี้ ยังได้มีการหารือกรอบความร่วมมือโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ขนาดรางมาตรฐาน 1.435 เมตร โดยจะมีการดำเนินการเจรจาตามกรอบความร่วมมือที่ได้ตกลงกันไว้ แต่จะต้องมีการหารือในรายละเอียดร่วมกันอีกครั้ง
เอกชนเซ็งปล่อย บ.สีเทามั่วประมูล
ทางด้าน นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์สามารถระบายข้าวได้เกินครึ่งของที่เปิดประมูล ถือว่าประสบความสำเร็จ และแสดงว่าตลาดมีความต้องการข้าวสูง และขอให้รัฐบาลเร่งระบายข้าวอีกโดยเร็ว
เช่นเดียวกับ นายสมพงษ์ กิตติเรียงลาภ ประธานกรรมการ บริษัท พงษ์ลาภ จำกัด กล่าวว่า พร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลข้าวของรัฐบาลอีก และเห็นว่า การประมูลครั้งต่อไป ควรปรับปรุงเงื่อนไขให้มีความรัดกุมมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทที่ไม่พึงประสงค์เข้ามาสร้างปัญหาอีก เช่น การกำหนดเงินทุนจดทะเบียนบริษัท และการตรวจสอบประวัติการส่งออกข้าว เป็นต้น
แฉมีนอมินี “สยามอินดิก้า” แจม
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ปริมาณข้าวที่ไม่อนุมัติขายให้กับเอกชนที่ไม่ผ่านคุณสมบัติมีปริมาณ 4 แสนตัน โดยบริษัทดังกล่าว เป็นบริษัทที่มีข่าวว่าเป็นนอมินีให้กับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดสัญญาซื้อขายข้าวรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) และยังมีการตรวจสอบพบอีกว่าบริษัทที่ชนะการประมูลข้าวในส่วนของ 4 แสนตันนั้น ไม่ใช่บริษัทที่ค้าขายข้าว ไม่เคยมีประวัติการส่งออกข้าว แต่เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการขนถ่ายสินค้าท่าเรือให้กับ บริษัท สยามอินดิก้า เท่านั้น
โดยการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ คณะทำงานพิจารณาระบายข้าว ได้เสนอให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณาว่าบริษัทนี้ อาจจะเข้าข่ายเป็นนอมินีให้กับบริษัท สยามอินดิก้า และขอให้ นบข. พิจารณาชี้ขาดว่าจะอนุมัติขายหรือไม่ขายข้าวให้กับบริษัทดังกล่าว ซึ่ง นบข. ได้ให้ฝ่ายกฎหมายเข้าไปตรวจสอบแล้ว และผลออกมาอย่างที่เห็น
เผยเสนอราคาสูงกว่าเจ้าอื่นด้วย
ทั้งนี้มีข้อมูลจากสำนักข่าวอิศราว่า บริษัท เอ็มไพร์ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ยื่นประมูลข้าวสารสต๊อกรัฐบาล มีที่ตั้งของบริษัทตั้งอยู่ที่อาคารเลขที่ 48/7-8 (ชั้น 1, 4, 5) ซอยรัชดาภิเษก 20 แม้จะคนละชั้นกับบริษัท สยามอินดิก้า ที่เคยตั้งสำนักงานอยู่ที่ชั้น 2 แต่ก็เป็นตึกเดียวกัน คือ อาคาร 48/7-8 ซอยรัชดาภิเษก เหมือนกัน และที่ต้องจับตา คือกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในบริษัท เอ็มไพร์ดีเวลลอปเม้นท์ มีชื่อ สุดา คุณจักร ซึ่งเคยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทสยามอินดิก้า ในช่วงเดือน ธ.ค.52 ถึงเดือน มี.ค.54 ก่อนถอนหุ้นออกไป
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับบริษัทที่ชนะประมูลข้าวปริมาณสูงสุด ได้แก่ บริษัท เอเชีย โกลเด้นท์ ไรซ์ ปริมาณ 1 แสนตัน จากปริมาณเสนอซื้อ 3 แสนตัน รองลงมา คือ บริษัท พงษ์ลาภ ปริมาณ 3 หมื่นตัน จากที่เสนอซื้อ 3 แสนตัน บริษัท นครหลวงค้าข้าว 2 หมื่นตัน จากที่เสนอซื้อ 3 แสนตัน ส่วนผู้ชนะประมูลรายอื่นๆ มีทั้งผู้ส่งออกและโรงสีข้าว โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 9.5-10.3 บาท ใกล้เคียงกับราคาขั้นต่ำที่เฉลี่ยกก.ละ 9-10 บาท โดยบริษัทที่เป็นนอมินีของสยามอินดิก้าเสนอราคาเฉลี่ย กก.ละ 10-11 บาท แต่ก็ถูกตัดสิทธิ์
ไล่ล่าคู่สัญญาอคส.เก็บมันทำรัฐสูญ243ล้าน
จ.ชลบุรี พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พร้อมด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) พ.ต.ท.ปิยวิชญ์ วงศ์สวัสดิ์ รองผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า(อคส.) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตำรวจสภ.พนัสนิคม ทหารจากกองบัญชาการช่วยรบที่ 1 อ.เกาะจันทร์ ร่วมตรวจสอบโกดังเก็บแป้งมันสำปะหลังที่ 5 บริษัท ควอลิตี้เพลเลทส์ จำกัด เลขที่ 129 หมู่ 3 ต.หนองเหียง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ที่นายพิชัย พัฒนาพงศ์ชัย อายุ 34 ปี เป็นผู้เช่าช่วงต่อจากเจ้าของเดิม
พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า จากพบข้อมูลว่านายพิชัยทำสัญญารับฝากแป้งมันสำปะหลัง 11,000 ตันจากอคส. ในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 ตรวจสอบพบแป้งมันหายไป 4,700 ตัน ส่วนที่เหลือ 5,400 ตัน จำนวน 8,985 ถุง เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ใช้น้ำยาไอโอดีนหยด พบว่ามีส่วนผสมจากวัตถุสีขาวที่ไม่ใช่แป้งมัน 5,462 ถุง เป็นแป้งมันแท้ 3,523 ถุง รวมมูลค่ารัฐเสียหาย 130 ล้านบาท ซึ่งตำรวจได้ขออนุมัติหมายศาลจังหวัดชลบุรี เพื่อจับกุมนายพิชัยข้อหายักยอกทรัพย์แล้ว
ทั้งนี้ นายพิชัยมีคดียักยอกทรัพย์ที่โกดังที่ 7 เลขที่ 63 ต.หนองชาก อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เมื่อปลายปี 2556 โดยนำเอาเหล็กนั่งร้านไปตั้งไว้ภายในโกดัง แล้วนำถุงแป้งมันมากองทับตบตาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ พบว่าถุงแป้ง 2,200 ตันเป็นโซเดียมออกไซต์หรือสารฟอกขาวทั้งหมด และหายไปอีก 5,000 ตัน ซึ่งรัฐเสียหาย 113 ล้านบาท โดยตำรวจออกหมายจับไปแล้ว และเป็นคดีเชื่อมโยงมาถึงโกดัง 5 ต.หนองเหียง อ.พนัสนิคม รวม 2 ครั้งภาครัฐเสียหาย 243 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าขบวนการนี้น่าจะมีผู้กระทำความผิดหลายคน โดยเฉพาะนายบรรเลง อภิธนบาล หัวหน้าคลังสินค้าชลบุรี ที่ถูกสั่งให้พักราชการไปแล้ว และคดีนี้อยู่ในขั้นพิจารณาของศาล