ASTV ผู้จัดการรายวัน - ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเร่งเครื่องจัดกิจกรรมทั้งโรดโชว์ และให้ความรู้นักลงทุนตั้งเป้าเพิ่มผู้ลงทุนหน้าใหม่ 95,000 บัญชี นักวิเคราห์ประเมินตลาดหุ้นไทยไตรมาสแรกทะยานสู่ดัชนีเป้าหมาย 1,640 จุด หลังเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณบวก คาดพรุ่งนี้ตลาดฯอาจพักฐานหลังขึ้นไปตอบรับราคาน้ำมันมากแล้ว พร้อมให้แนวรับ 1,600 แนวต้าน 1,620 จุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดตลาดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2558 ไปที่1,599.81 จุด ลดลง 2.73 จุด เปลี่ยนแปลง -0.17% มูลค่าการซื้อขาย 63,689.08 ล้านบาท โดยแตะจุดสูงสุดที่ 1,619.77 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,599.81 จุด โดบสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,853.32 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 327.06 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 256.09 ล้านบาท มีเพียงนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,436.47 ล้านบาท
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวกราว 0.5% ตอบรับาคาน้ำมันที่ดีดตัวขี้นต่อเนื่อง 4 วันซ้อนนอกจากนี้ ตลาดฯ ยังคลายกังวลเรื่องของกรีซ หลังจากรมว.คลังของกรีซออกมาระบุว่าจะไม่ลดหนี้ แต่จะใช้วิธีสวอปพันธบัตร ทำให้มองว่ากรีซคงจะไม่ออกจากยูโรโซน ซึ่งช่วยให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น
“หุ้นไทยยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับหุ้นภูมิภาคยกเว้นตลาดจีนที่ติดลบจากปัจจัยภายในของจีนเอง โดยรวมดัชนีปรับขึ้นมาตอบรับราคาน้ำมันที่ดีดตัวขี้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มของบมจ.ปตท. ที่มีแรงซื้อกลับเข้ามาหนาแน่น ถึงแม้ในช่วงบ่ายตลาดบ้านเราอ่อนตัวลง เป็นเพราะได้รับแรงขายทำกำไรออกมาบ้างหลังจากปรับขึ้นไปหลายวัน เป็นเรื่องทางเทคนิคเท่านั้น” นายชัยยศ
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (5 ก.พ.)นายชัยยศ กล่าวว่า ตลาดฯได้ตอบรับเรื่องราคาน้ำมันไปมากแล้ว ดังนั้นอาจจะพักฐานบ้างก็ได้ พร้อมให้แนวรับ 1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,620 จุด
ด้านนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาดดัชนีเดือนกุมภาพันธ์เคลื่อนไหวในลักษณ์ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายที่ 1,640 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุน 1.แนวโน้มราคาน้ำมันที่เริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด 2.กระแสเงินทุนต่างชาติที่มีแนวโน้มไหลเข้าจากปรากฎการณ์การกู้เงินในกลุ่มประเทศยุโรปที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำไปลงทุนในประเทศมีอัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนสูง 3.ประกอบกับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ หรือ GDP ของไทยประจำไตรมาสที่ 4/2557 ที่น่าจะเติบโตมากกว่าเกณฑ์ 2-3% เนื่องจากได้รับแรงผลักดันจากการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงคาดว่าผลการประชุมของธนาคารการญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ อาจมีสัญญาณการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม อาทิ การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยังคงมีแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงอยู่บ้าง ได้แก่ ความเสี่ยงที่การเจรจาประนอมหนี้ระหว่างรัฐบาลกรีซกับ Troika อาจมีความยืดเยื้อออกไปจนนำมาสู่ความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก, ปัญหาความเสี่ยงด้านเครดิตหรือ Credit risk ในรัสเซีย หลังทุนสำรองระหว่างประเทศได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง
นายณัฐชาต แนะนำการลงทุนในเดือนนี้ ควรทยอยเข้าซื้อและสะสมหุ้นเพิ่มในจังหวะที่ดัชนีมีการอ่อนตัวบริเวณแนวรับที่ 1,560-1,580 จุด โดยแนะนำนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในพอร์ทโฟลิโอให้ถือหุ้นเพื่อทำกำไรตามตลาด (Let profit run) ต่อไป สำหรับหุ้นแนะนำล่าสุดมี 19 บริษัท ได้แก่ BCP, IFEC, VGI, CSS, STEC, BTS, TMB, AAV, WHA, THAI, TRUE, ROBINS, IVL, TOP, STA, CPF, CCP, MONO, FOCUS
ขณะที่นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ สายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หริอ ตลท. กล่าวว่า ในปีนี้ ตลท. วางเป้าหมายเพิ่มจำนวนผู้ลงทุนคุณภาพหน้าใหม่ 95,000 บัญชี ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดผ่านกิจกรรมให้ความรู้ และการส่งเสริมการตลาดต่างๆ โดยมุ่งเน้นกิจกรรมการให้ความรู้ด้านการสร้างแผนการเงินที่เหมาะสมกับตนเองเพื่อสร้างผลตอบแทน ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีอยู่หลากหลาย ทั้งหุ้น อนุพันธ์ ทอง กองทุนรวม และเครื่องมือต่างๆ ที่จะสามารถเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทุน โดยเฉพาะเครื่องมือออนไลน์หวังสร้างผู้ลงทุนให้ก้าวสู่การเป็นผู้ลงทุนคุณภาพ
อนึ่ง ข้อมูล ณ สิ้นปี 57 มีจำนวนบัญชีผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วถึง 1,098,731 ราย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ ตลท. มีกิจกรรมโรดโชว์ให้ความรู้ด้านการวางแผนลงทุนเพื่อสร้างผู้ลงทุนคุณภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนมีความสนใจและเข้ามาเป็นผู้ลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง และมีจำนวนผู้ลงทุนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นับเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งของ ตลท. ในการเดินหน้าเพื่อขยายฐานผู้ลงทุนคุณภาพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดตลาดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2558 ไปที่1,599.81 จุด ลดลง 2.73 จุด เปลี่ยนแปลง -0.17% มูลค่าการซื้อขาย 63,689.08 ล้านบาท โดยแตะจุดสูงสุดที่ 1,619.77 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,599.81 จุด โดบสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,853.32 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 327.06 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 256.09 ล้านบาท มีเพียงนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,436.47 ล้านบาท
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวกราว 0.5% ตอบรับาคาน้ำมันที่ดีดตัวขี้นต่อเนื่อง 4 วันซ้อนนอกจากนี้ ตลาดฯ ยังคลายกังวลเรื่องของกรีซ หลังจากรมว.คลังของกรีซออกมาระบุว่าจะไม่ลดหนี้ แต่จะใช้วิธีสวอปพันธบัตร ทำให้มองว่ากรีซคงจะไม่ออกจากยูโรโซน ซึ่งช่วยให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น
“หุ้นไทยยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับหุ้นภูมิภาคยกเว้นตลาดจีนที่ติดลบจากปัจจัยภายในของจีนเอง โดยรวมดัชนีปรับขึ้นมาตอบรับราคาน้ำมันที่ดีดตัวขี้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มของบมจ.ปตท. ที่มีแรงซื้อกลับเข้ามาหนาแน่น ถึงแม้ในช่วงบ่ายตลาดบ้านเราอ่อนตัวลง เป็นเพราะได้รับแรงขายทำกำไรออกมาบ้างหลังจากปรับขึ้นไปหลายวัน เป็นเรื่องทางเทคนิคเท่านั้น” นายชัยยศ
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (5 ก.พ.)นายชัยยศ กล่าวว่า ตลาดฯได้ตอบรับเรื่องราคาน้ำมันไปมากแล้ว ดังนั้นอาจจะพักฐานบ้างก็ได้ พร้อมให้แนวรับ 1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,620 จุด
ด้านนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาดดัชนีเดือนกุมภาพันธ์เคลื่อนไหวในลักษณ์ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายที่ 1,640 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุน 1.แนวโน้มราคาน้ำมันที่เริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด 2.กระแสเงินทุนต่างชาติที่มีแนวโน้มไหลเข้าจากปรากฎการณ์การกู้เงินในกลุ่มประเทศยุโรปที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำไปลงทุนในประเทศมีอัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนสูง 3.ประกอบกับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ หรือ GDP ของไทยประจำไตรมาสที่ 4/2557 ที่น่าจะเติบโตมากกว่าเกณฑ์ 2-3% เนื่องจากได้รับแรงผลักดันจากการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงคาดว่าผลการประชุมของธนาคารการญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ อาจมีสัญญาณการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม อาทิ การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยังคงมีแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงอยู่บ้าง ได้แก่ ความเสี่ยงที่การเจรจาประนอมหนี้ระหว่างรัฐบาลกรีซกับ Troika อาจมีความยืดเยื้อออกไปจนนำมาสู่ความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก, ปัญหาความเสี่ยงด้านเครดิตหรือ Credit risk ในรัสเซีย หลังทุนสำรองระหว่างประเทศได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง
นายณัฐชาต แนะนำการลงทุนในเดือนนี้ ควรทยอยเข้าซื้อและสะสมหุ้นเพิ่มในจังหวะที่ดัชนีมีการอ่อนตัวบริเวณแนวรับที่ 1,560-1,580 จุด โดยแนะนำนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในพอร์ทโฟลิโอให้ถือหุ้นเพื่อทำกำไรตามตลาด (Let profit run) ต่อไป สำหรับหุ้นแนะนำล่าสุดมี 19 บริษัท ได้แก่ BCP, IFEC, VGI, CSS, STEC, BTS, TMB, AAV, WHA, THAI, TRUE, ROBINS, IVL, TOP, STA, CPF, CCP, MONO, FOCUS
ขณะที่นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ สายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หริอ ตลท. กล่าวว่า ในปีนี้ ตลท. วางเป้าหมายเพิ่มจำนวนผู้ลงทุนคุณภาพหน้าใหม่ 95,000 บัญชี ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดผ่านกิจกรรมให้ความรู้ และการส่งเสริมการตลาดต่างๆ โดยมุ่งเน้นกิจกรรมการให้ความรู้ด้านการสร้างแผนการเงินที่เหมาะสมกับตนเองเพื่อสร้างผลตอบแทน ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีอยู่หลากหลาย ทั้งหุ้น อนุพันธ์ ทอง กองทุนรวม และเครื่องมือต่างๆ ที่จะสามารถเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทุน โดยเฉพาะเครื่องมือออนไลน์หวังสร้างผู้ลงทุนให้ก้าวสู่การเป็นผู้ลงทุนคุณภาพ
อนึ่ง ข้อมูล ณ สิ้นปี 57 มีจำนวนบัญชีผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วถึง 1,098,731 ราย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ ตลท. มีกิจกรรมโรดโชว์ให้ความรู้ด้านการวางแผนลงทุนเพื่อสร้างผู้ลงทุนคุณภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนมีความสนใจและเข้ามาเป็นผู้ลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง และมีจำนวนผู้ลงทุนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นับเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งของ ตลท. ในการเดินหน้าเพื่อขยายฐานผู้ลงทุนคุณภาพ
