ASTVผู้จัดการรายวัน- ตลาดขายตรงปีแพะคาดแข่งขันรุนแรงมากขึ้น เหตุเศรษฐกิจยังไม่ค่อยดี เปิดเออีซีดันตลาดแข่งหนัก คาดโตแค่ 3% ด้านนูสกินไทยเพิ่มประสิทธิภาพผู้ทำธุรกิจ ออกสินค้าใหม่ เพิ่มศูนย์กระจายสินค้า ดันปีนี้โต 20%
นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพรส์ ประเทศไทย และเวียดนาม เปิดเผยว่า ตลาดรวมขายตรงในไนไทยปี 2558 นี้คงจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นกว่าปี 2557 มาจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ค่อยดี ผู้ประกอบการทุกรายย่อมต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆในการผลักดันยอดขาย รวมถึงผลจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีปีนี้ด้วยที่จะทำให้การแข่งขันเสรีขึ้น แต่น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว ซึ่งคาดว่ามูลค่าตลาดรวมขายตรงในไทยปีนี้จะมีการเติบโตประมาณ2-3% เท่านั้นจากตลาดรวมปีที่แล้ว 70,000 กว่าล้านบาท จากปกติจะเติบโต 5-7%
สำหรับนูสกิน การทำธุรกิจในปี 2558 นี้ ตั้ง เป้าหมายรายได้เติบโต 20% จากปี 2557 ที่มีรายได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปี 2556 ประมาณ 23% แม้ว่าปีนี้จะไม่ได้ปรับกลยุทธ์หลักจากเดิม แต่ก็มีการเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดมากขึ้นโดยเฉพาะการให้อินเซนทีฟต่างๆ โดยปีนี้ใช้งบตลาดรวม 150 ล้านบาทจากปีที่แล้วที่ใช้ 120 ล้านบาท รวมทั้งออกสินค้าใหม่ การขยายฐานนักธุรกิจ
อีกทั้งปีนี้ลงทุน 10 ล้านบาท ก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าที่นครปฐม พื้นที่ 300 ตารางเมตร จากเดิมมี 8 แห่ง เช่น เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ซึ่งปีนี้จะขยายฐานกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ และคนรุ่นใหม่มากขึ้น เดิมกลุ่มนี้มีสัดส่วน 20%
นางวิภาดา ตั้งปกรณ์ รองประธานฝ่ายขายและปฎิบัติการ กล่าวว่า ปีนี้ยังคงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมบรา โดยล่าสุดบริษัทแม่ของนูสกินในต่างประเทศลงทุน 3,000 ล้านบาทก่อสร้างนูสกิน อินโนเวนชั่นเซ็นเตอร์ที่มลรัฐยูท่าห์ อเมริกา เพื่อคิดค้นนวัคกรรมใหม่ๆ และปีนี้จะออกสินค้าใหม่กลุ่มเอจล็อคอีก 1-2 รายการ ล่าสุดนำเข้าเครื่องตรวจวัดระดับแคโรทีนอยด์และอื่นๆ ที่จะทำให้ผู้แทนของนูสกินมีประสิทธิภาพในการทำงานและให้บริการกับผู้บริโภคดีขึ้น
นางภคพรรณ กล่าวต่อว่า ปี 2557 นูสกินไทย มีรายได้เติบโต 23% มียอดสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น 20% มียอดจำนวนผู้ทำธุรกิจเติบโต 52% โดยมีผู้ทำธุรกิจ 230,000 ราย ซึ่งแอคทีฟ 15% โดยมีผู้บริหารทำเนียบเงินล้านเพิ่มขึ้น 51% ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายมาจากกลุ่มเอจล็อค 70% และที่เหลือ 30% เป็นอื่นๆ โดยที่กลุ่มเอจล็อคสัดส่วนยอดขายมาจากผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 70% และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 30% และหากมองเป็นพื้นที่พบว่าสัดส่วนยอดขายมาจากกรุงเทพฯ 55% และต่างจังหวัด 45% เปลี่ยนจากปี 2556 มาจากกรุงเทพฯ60% และต่างจังหวัด 40%
นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพรส์ ประเทศไทย และเวียดนาม เปิดเผยว่า ตลาดรวมขายตรงในไนไทยปี 2558 นี้คงจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นกว่าปี 2557 มาจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ค่อยดี ผู้ประกอบการทุกรายย่อมต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆในการผลักดันยอดขาย รวมถึงผลจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีปีนี้ด้วยที่จะทำให้การแข่งขันเสรีขึ้น แต่น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว ซึ่งคาดว่ามูลค่าตลาดรวมขายตรงในไทยปีนี้จะมีการเติบโตประมาณ2-3% เท่านั้นจากตลาดรวมปีที่แล้ว 70,000 กว่าล้านบาท จากปกติจะเติบโต 5-7%
สำหรับนูสกิน การทำธุรกิจในปี 2558 นี้ ตั้ง เป้าหมายรายได้เติบโต 20% จากปี 2557 ที่มีรายได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปี 2556 ประมาณ 23% แม้ว่าปีนี้จะไม่ได้ปรับกลยุทธ์หลักจากเดิม แต่ก็มีการเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดมากขึ้นโดยเฉพาะการให้อินเซนทีฟต่างๆ โดยปีนี้ใช้งบตลาดรวม 150 ล้านบาทจากปีที่แล้วที่ใช้ 120 ล้านบาท รวมทั้งออกสินค้าใหม่ การขยายฐานนักธุรกิจ
อีกทั้งปีนี้ลงทุน 10 ล้านบาท ก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าที่นครปฐม พื้นที่ 300 ตารางเมตร จากเดิมมี 8 แห่ง เช่น เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ซึ่งปีนี้จะขยายฐานกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ และคนรุ่นใหม่มากขึ้น เดิมกลุ่มนี้มีสัดส่วน 20%
นางวิภาดา ตั้งปกรณ์ รองประธานฝ่ายขายและปฎิบัติการ กล่าวว่า ปีนี้ยังคงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมบรา โดยล่าสุดบริษัทแม่ของนูสกินในต่างประเทศลงทุน 3,000 ล้านบาทก่อสร้างนูสกิน อินโนเวนชั่นเซ็นเตอร์ที่มลรัฐยูท่าห์ อเมริกา เพื่อคิดค้นนวัคกรรมใหม่ๆ และปีนี้จะออกสินค้าใหม่กลุ่มเอจล็อคอีก 1-2 รายการ ล่าสุดนำเข้าเครื่องตรวจวัดระดับแคโรทีนอยด์และอื่นๆ ที่จะทำให้ผู้แทนของนูสกินมีประสิทธิภาพในการทำงานและให้บริการกับผู้บริโภคดีขึ้น
นางภคพรรณ กล่าวต่อว่า ปี 2557 นูสกินไทย มีรายได้เติบโต 23% มียอดสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น 20% มียอดจำนวนผู้ทำธุรกิจเติบโต 52% โดยมีผู้ทำธุรกิจ 230,000 ราย ซึ่งแอคทีฟ 15% โดยมีผู้บริหารทำเนียบเงินล้านเพิ่มขึ้น 51% ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายมาจากกลุ่มเอจล็อค 70% และที่เหลือ 30% เป็นอื่นๆ โดยที่กลุ่มเอจล็อคสัดส่วนยอดขายมาจากผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 70% และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 30% และหากมองเป็นพื้นที่พบว่าสัดส่วนยอดขายมาจากกรุงเทพฯ 55% และต่างจังหวัด 45% เปลี่ยนจากปี 2556 มาจากกรุงเทพฯ60% และต่างจังหวัด 40%