00 วันนี้ 21 ม.ค. เป็นกำหนดวันที่ นิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ต้องไปแถลงปิดคดีแก้ไข รธน.ในประเด็นที่มา ส.ว.โดยมิชอบ จากนั้นวันถัดไปก็จะถึงคิวของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งรายการแบบนี้จะเป็นการ "อ่านโพย"ได้ ซึ่งก็ยังเชื่อว่าเธอน่าจะเข้าไป "อ่านเอง" และตามบท ก็จะมาแบบออดอ้อน ชี้ให้เห็นว่า "ถูกรังแก" ยิ่งถ้าให้ดี ก็คงต้อง ให้มีน้ำตาซึม มีเสียงปนสะอื้นแบบกลั้นอารมณ์อย่างเต็มที่ ประมาณนั้น และเชื่อว่าทีมงานด้านการแสดงคงเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว
00 แต่ที่น่าจับตาก็คือ ผลสรุปของคดีที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดข้าราชการและเอกชนที่ร่วมกันฉ้อฉล ด้วยการตบตาตั้งบริษัทเพื่อทำสัญญาซื้อขายกับกับจีนแบบจีทูจี ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งคนพวกนี้ล้วนเป็นเครือข่ายนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่า ดังนั้น แม้ว่าทางป.ป.ช. อย่าง วิชา มหาคุณ ย้ำว่า การชี้มูลคดีในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการลงมติถอดถอน ยิ่งลักษณ์ แต่ทำไปตามกำหนดเวลาล่วงหน้า แต่ถึงอย่างไรมันก็ย่อมมีผลต่อการตัดสินใจของ สนช. ก่อนการลงมติถอดถอนได้ไม่มากก็น้อยแหละ เพราะถ้าผิดกันเห็นๆ แต่ยังยกมือให้ผ่าน หรือยังทำซื่อบื้อไม่รู้เหนือรู้ใต้ งดออกเสียงเสียอีก มันก็สมควรไล่กลับไปอยู่บ้าน เพราะเปลืองค่าน้ำค่าไฟ ไร้ประโยชน์
00 ทำท่าจะกลายเป็นเรื่องบานปลาย และส่งผลต่อความศรัทธาที่เคยมีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งในฐานะหัวหน้า คสช. และในฐานผู้นำรัฐบาล หลังจากประกาศท่าทีไม่ยอมรับฟังมติของ สปช. โดยให้เดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 โดยอ้างผลประโยชน์ด้านการลงทุน ลดความเสี่ยงด้านพลังงานในอนาคต และยังกล่าวหาว่า ทั้ง สปช. และฝ่ายที่ต้องการให้ "หยุด" เอาไว้ก่อน เป็นพวกที่รับข้อมูลมาผิดเพี้ยน อย่างไรก็ดี นาทีนี้แม้จะยังเดาไม่ออกว่าในที่สุดแล้วจะหยุดทบทวนหรือไม่ กระแสต้านจะแรงจริงหรือไม่ แต่รับรองว่าถ้าเดินหน้า รัฐบาลและ คสช. จะเหนื่อยมากกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะความศรัทธามีแต่หดหายไม่มีมาเพิ่ม และที่สำคัญไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ตาม ต่อให้มีอำนาจมากแค่ไหน หากชาวบ้านไม่เชื่อเถือศรัทธาแล้ว ต่อให้มีอำนาจมากกว่านี้อีกร้อยเท่า พันเท่า มันก็อยู่ยาก ซึ่งเชื่อว่าน่าจะรู้ความจริงข้อนี้กันดี
00 นอกจากนี้ "สัจจะ" ก็ถือว่าสำคัญสำหรับผู้นำ จากเดิมที่เคยบอกให้คนอื่นเคารพกติกา รักษาคำพูด เคยบอกว่าจะรับฟังมติของ สปช. ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร รวมทั้งยังตัดบทให้คนอื่น พวกนี้คัดค้านให้รอฟังข้อสรุปจาก สปช. มีอะไรจะแสดงเสนอข้อมูลเหตุผลอย่างไรก็ให้เสนอผ่านไปทางนั้น อย่ามาพูดข้างนอก แต่เมื่อผลออกมา คนที่ทำให้ผิดหวัง กลับเป็นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง !!
00 ที่ผ่านมาเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นมีเสียงคัดค้านหนาหูไม่ให้กระทรวงพลังงานเปิดสัมปทานรอบ 21 รอบล่าสุด โดยให้ชะลอออกไปก่อน จนกว่าจะได้ข้อสรุปจาก สปช. ที่มีเรื่องการปฏิรูปพลังงานเป็นหนึ่งใน 11 เรื่อง แต่ก็ไม่เป็นผล ทาง รมว.พลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี อ้างว่าให้ทำควบคู่กันไปได้ ระหว่างนี้ก็ให้เปิดให้เอกชนมารับข้อเสนอไปพิจารณาก่อน ยังไม่ได้พิจารณาอนุมัติสัมปทาน ถ้าจำไม่ผิดบอกว่าต้องรอพิจารณาชี้ขาดในเดือนกุมภาพันธ์ถึงตอนนั้น คงมีผลสรุปจาก สปช.ออกมาแล้ว แต่เมื่อมีมติออกมา คัดค้านอย่างท่วมท้น ก็ไม่ฟัง มาวันนี้อ้างว่า"ตัวเองมีอำนาจ"สปช.แค่แสดงความเห็นเท่านั้นจะทำตามหรือไม่ก็ได้ ซึ่งมันก็ไม่ผิด แต่คำถามก็คือ ถ้ามีธงล่วงหน้าอยู่แล้ว จะเปิดทางให้มีการศึกษา เสนอความเห็นจากภายนอกทำไม หรือเป็นเพียงแค่สร้างภาพ ปาหี่ เท่านั้น !!
00 อีกเรื่องก็คือ "การนำเข้า" น้ำมันปาล์มดิบ ประมาณ 5 หมื่นตัน อ้างว่าเพื่อลดการขาดแคลนภายในประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการ "ขาดตลาด" เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเมื่อปี 56 ในยุคที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯ ด้านความมั่นคง แต่ดูแลเรื่องน้ำมันปาล์มด้วย เหมือนอย่างตอนนี้ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรองนายกฯ ด้านความมั่นคง ที่ได้อนุมัติให้นำเข้าในเดือนก.พ.ไปแล้ว และล่าสุด ครม.ก็ไฟเขียวเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่า เรื่องนี้ทำท่าจะป่วน ถ้า แจงไม่เคลียร์ หรือไม่ทบทวน เพราะกระทบกับรายได้ชาวสวนปาล์มทั่วประเทศ แม้ว่าวันนี้ปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มอาจตึงตัว แต่อีกไม่กี่วันในเดือนมี.ค. ปริมาณปาล์มก็จะทะลักออกมาจำนวนมาก ดังนั้นการทำแบบนี้ ทำให้คิดไปได้ต่างๆ นานา ว่าแท้จริงแล้วเบื้องหลังมันมาจากอะไรกันแน่ !!
00 แต่ที่น่าจับตาก็คือ ผลสรุปของคดีที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดข้าราชการและเอกชนที่ร่วมกันฉ้อฉล ด้วยการตบตาตั้งบริษัทเพื่อทำสัญญาซื้อขายกับกับจีนแบบจีทูจี ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งคนพวกนี้ล้วนเป็นเครือข่ายนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่า ดังนั้น แม้ว่าทางป.ป.ช. อย่าง วิชา มหาคุณ ย้ำว่า การชี้มูลคดีในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการลงมติถอดถอน ยิ่งลักษณ์ แต่ทำไปตามกำหนดเวลาล่วงหน้า แต่ถึงอย่างไรมันก็ย่อมมีผลต่อการตัดสินใจของ สนช. ก่อนการลงมติถอดถอนได้ไม่มากก็น้อยแหละ เพราะถ้าผิดกันเห็นๆ แต่ยังยกมือให้ผ่าน หรือยังทำซื่อบื้อไม่รู้เหนือรู้ใต้ งดออกเสียงเสียอีก มันก็สมควรไล่กลับไปอยู่บ้าน เพราะเปลืองค่าน้ำค่าไฟ ไร้ประโยชน์
00 ทำท่าจะกลายเป็นเรื่องบานปลาย และส่งผลต่อความศรัทธาที่เคยมีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งในฐานะหัวหน้า คสช. และในฐานผู้นำรัฐบาล หลังจากประกาศท่าทีไม่ยอมรับฟังมติของ สปช. โดยให้เดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 โดยอ้างผลประโยชน์ด้านการลงทุน ลดความเสี่ยงด้านพลังงานในอนาคต และยังกล่าวหาว่า ทั้ง สปช. และฝ่ายที่ต้องการให้ "หยุด" เอาไว้ก่อน เป็นพวกที่รับข้อมูลมาผิดเพี้ยน อย่างไรก็ดี นาทีนี้แม้จะยังเดาไม่ออกว่าในที่สุดแล้วจะหยุดทบทวนหรือไม่ กระแสต้านจะแรงจริงหรือไม่ แต่รับรองว่าถ้าเดินหน้า รัฐบาลและ คสช. จะเหนื่อยมากกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะความศรัทธามีแต่หดหายไม่มีมาเพิ่ม และที่สำคัญไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ตาม ต่อให้มีอำนาจมากแค่ไหน หากชาวบ้านไม่เชื่อเถือศรัทธาแล้ว ต่อให้มีอำนาจมากกว่านี้อีกร้อยเท่า พันเท่า มันก็อยู่ยาก ซึ่งเชื่อว่าน่าจะรู้ความจริงข้อนี้กันดี
00 นอกจากนี้ "สัจจะ" ก็ถือว่าสำคัญสำหรับผู้นำ จากเดิมที่เคยบอกให้คนอื่นเคารพกติกา รักษาคำพูด เคยบอกว่าจะรับฟังมติของ สปช. ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร รวมทั้งยังตัดบทให้คนอื่น พวกนี้คัดค้านให้รอฟังข้อสรุปจาก สปช. มีอะไรจะแสดงเสนอข้อมูลเหตุผลอย่างไรก็ให้เสนอผ่านไปทางนั้น อย่ามาพูดข้างนอก แต่เมื่อผลออกมา คนที่ทำให้ผิดหวัง กลับเป็นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง !!
00 ที่ผ่านมาเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นมีเสียงคัดค้านหนาหูไม่ให้กระทรวงพลังงานเปิดสัมปทานรอบ 21 รอบล่าสุด โดยให้ชะลอออกไปก่อน จนกว่าจะได้ข้อสรุปจาก สปช. ที่มีเรื่องการปฏิรูปพลังงานเป็นหนึ่งใน 11 เรื่อง แต่ก็ไม่เป็นผล ทาง รมว.พลังงาน ณรงค์ชัย อัครเศรณี อ้างว่าให้ทำควบคู่กันไปได้ ระหว่างนี้ก็ให้เปิดให้เอกชนมารับข้อเสนอไปพิจารณาก่อน ยังไม่ได้พิจารณาอนุมัติสัมปทาน ถ้าจำไม่ผิดบอกว่าต้องรอพิจารณาชี้ขาดในเดือนกุมภาพันธ์ถึงตอนนั้น คงมีผลสรุปจาก สปช.ออกมาแล้ว แต่เมื่อมีมติออกมา คัดค้านอย่างท่วมท้น ก็ไม่ฟัง มาวันนี้อ้างว่า"ตัวเองมีอำนาจ"สปช.แค่แสดงความเห็นเท่านั้นจะทำตามหรือไม่ก็ได้ ซึ่งมันก็ไม่ผิด แต่คำถามก็คือ ถ้ามีธงล่วงหน้าอยู่แล้ว จะเปิดทางให้มีการศึกษา เสนอความเห็นจากภายนอกทำไม หรือเป็นเพียงแค่สร้างภาพ ปาหี่ เท่านั้น !!
00 อีกเรื่องก็คือ "การนำเข้า" น้ำมันปาล์มดิบ ประมาณ 5 หมื่นตัน อ้างว่าเพื่อลดการขาดแคลนภายในประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการ "ขาดตลาด" เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเมื่อปี 56 ในยุคที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯ ด้านความมั่นคง แต่ดูแลเรื่องน้ำมันปาล์มด้วย เหมือนอย่างตอนนี้ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรองนายกฯ ด้านความมั่นคง ที่ได้อนุมัติให้นำเข้าในเดือนก.พ.ไปแล้ว และล่าสุด ครม.ก็ไฟเขียวเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่า เรื่องนี้ทำท่าจะป่วน ถ้า แจงไม่เคลียร์ หรือไม่ทบทวน เพราะกระทบกับรายได้ชาวสวนปาล์มทั่วประเทศ แม้ว่าวันนี้ปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มอาจตึงตัว แต่อีกไม่กี่วันในเดือนมี.ค. ปริมาณปาล์มก็จะทะลักออกมาจำนวนมาก ดังนั้นการทำแบบนี้ ทำให้คิดไปได้ต่างๆ นานา ว่าแท้จริงแล้วเบื้องหลังมันมาจากอะไรกันแน่ !!
