**ไม่น่าเชื่อว่าแค่คำพูดคำเตือนของ "ทหารแก่" คนหนึ่งอย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่บอกว่าให้ระวังจะเกิดการปฏิวัติซ้อนขึ้นมาในปีหน้า อันมีสาเหตุมาจากหลายสาเหตุ ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แก้ปัญหายังไม่ตก โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่รุมเร้า ทั้งภายนอกและภายใน ประดังเข้ามา
กลายเป็นคำพูดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่คราวนี้กลับทำให้หลายคนต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ และพิจารณาถึงความเป็นไปได้กันอย่างพร้อมเพรียง อย่างที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นมาก่อน อาจเป็นเพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เริ่มไม่เป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ มันก็เป็นไปได้ที่อาจจะเกิดเหตุตามเสียงเตือนดังกล่าว นั่นคือ "ตอนเข้ามาได้ดอกไม้ แต่ตอนขาไปได้ก้อนอิฐ "
อย่างไรก็ดี คำพูดดังกล่าวของ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็ได้รับการตอบโต้กลับมาอย่างทันควัน จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าไม่มีทางเกิดการปฏิวัติซ้อนขึ้นมาอย่างแน่นอน และย้ำว่า หากตัวเขาไม่ทำ ก็ไม่ทางที่ใครจะทำได้ และกล่าวในทำนองว่า เป็นคำพูดของคนที่อายุมากคนหนึ่งที่ห่วงบ้านเมืองเท่านั้น
**ความหมายก็คือ "ไม่ให้ราคา" ขณะเดียวกันบรรดาคนในกองทัพต่างก็ออกมายืนยันในแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก น้องชายของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นต้น
มาถึงตอนนี้ แม้จะยังไม่อาจสรุปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเกิดการปฏิวัติซ้อน ปฏิวัติซ้ำ หรือเปล่า แต่หากพิจารณาจากความตื่นตัวถือว่าน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ได้เห็นถึงความผิดปกติภายในตลาดหุ้น ที่ไวต่อการรับรู้ข้อมูลที่อ่อนไหวมากที่สุด ปรากฏว่า หลังจากมีคำเตือนดังกล่าวออกมา ทำให้เกิดการเทขายออกมาจนดัชนีร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง สองวันตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม เว้นวันหยุดวันที่ 10 ธันวาคม จนมาถึงวันที่ 11 ธันวาคมที่เปิดทำการ ก็ยังร่วงลงมาอีก รวมแล้วสองวันเกือบ 50 จุด
แม้ว่า จะมีการอ้างว่าเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากต่างประเทศ ร่วงตามทิศทางเทขายในภูมิภาคก็ตาม แต่ล่าสุดผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเช่น สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ เกศรา มัญธุลี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็ตบเท้าเข้ารายงานเหตุการณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมหมาย ภาษี อย่างเร่งด่วน โดยยืนยันว่า ไม่น่าเป็นห่วง
อย่างไรก็ดี หากตัดเอาเรื่องที่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดการปฏิวัติซ้อน ปฏิวัติซ้ำ ออกไป แล้วมาพิจารณาจากสถานการณ์ตามความเป็นจริง ทั้งเรื่องวิกฤติรัฐธรรมนูญ ที่กำลังเข้าสู่การถกเถียงในประเด็นสำคัญ เช่น การเสนอให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีโดยตรง อาจจะสร้างความขัดแย้ง บานปลายขึ้นมาได้ หากยังเดินหน้าผลักดันกันต่อไป โดยเฉพาะมีความอ่อนไหวเรื่องการก้าวล่วงพระราชอำนาจ
แต่เรื่องดังกล่าวยังไม่น่ากลัวเท่ากับเรื่องปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ ที่หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าในปีหน้าจะยังหนักหน่วงอันเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกยังไม่คลี่คลาย มิหนำซ้ำยังมีแนวโน้มรุนแรงกว่าเดิมจากปัญหา "สงครามเย็น" ที่หวนกลับมาอีกรอบ ระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับรัสเซีย จากต้นตอวิกฤติในยูเครน และเชื่อมโยงไปถึงวิกฤติด้านพลังงานน้ำมัน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยที่ยังต้องพึ่งพาตลาดแบบนี้อยู่มาก การท่องเที่ยวที่ต้องกระทบตามไปด้วย สรุปก็คือ ปัญหาย่อมกระทบถึงไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรที่มองดูแนวโน้มแล้วในปีหน้ายังถือว่าสาหัส นั่นก็ถือว่าเป็น "ข่าวร้าย"
**ดังนั้นแม้ว่าการปฏิวัติซ้อน ปฏิวัตซ้ำ ตามรูปการณ์และโครงสร้างอำนาจในปัจจุบัน อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวค่อนข้างยากอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนยัน นั่นคือ หากเขาไม่ทำเสียอย่าง มันก็ไม่มีทางเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ต้องจับตา และเตรียมรับมือก็คือปัญหาเศรษฐกิจในปีหน้า พิจารณาจากปัจจัยรอบด้านทั้งภายในและภายนอกแล้วยังน่าเป็นห่วง วางใจไม่ได้เลย !!
กลายเป็นคำพูดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่คราวนี้กลับทำให้หลายคนต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ และพิจารณาถึงความเป็นไปได้กันอย่างพร้อมเพรียง อย่างที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นมาก่อน อาจเป็นเพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เริ่มไม่เป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ มันก็เป็นไปได้ที่อาจจะเกิดเหตุตามเสียงเตือนดังกล่าว นั่นคือ "ตอนเข้ามาได้ดอกไม้ แต่ตอนขาไปได้ก้อนอิฐ "
อย่างไรก็ดี คำพูดดังกล่าวของ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็ได้รับการตอบโต้กลับมาอย่างทันควัน จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าไม่มีทางเกิดการปฏิวัติซ้อนขึ้นมาอย่างแน่นอน และย้ำว่า หากตัวเขาไม่ทำ ก็ไม่ทางที่ใครจะทำได้ และกล่าวในทำนองว่า เป็นคำพูดของคนที่อายุมากคนหนึ่งที่ห่วงบ้านเมืองเท่านั้น
**ความหมายก็คือ "ไม่ให้ราคา" ขณะเดียวกันบรรดาคนในกองทัพต่างก็ออกมายืนยันในแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก น้องชายของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นต้น
มาถึงตอนนี้ แม้จะยังไม่อาจสรุปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเกิดการปฏิวัติซ้อน ปฏิวัติซ้ำ หรือเปล่า แต่หากพิจารณาจากความตื่นตัวถือว่าน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ได้เห็นถึงความผิดปกติภายในตลาดหุ้น ที่ไวต่อการรับรู้ข้อมูลที่อ่อนไหวมากที่สุด ปรากฏว่า หลังจากมีคำเตือนดังกล่าวออกมา ทำให้เกิดการเทขายออกมาจนดัชนีร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง สองวันตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม เว้นวันหยุดวันที่ 10 ธันวาคม จนมาถึงวันที่ 11 ธันวาคมที่เปิดทำการ ก็ยังร่วงลงมาอีก รวมแล้วสองวันเกือบ 50 จุด
แม้ว่า จะมีการอ้างว่าเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากต่างประเทศ ร่วงตามทิศทางเทขายในภูมิภาคก็ตาม แต่ล่าสุดผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเช่น สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ เกศรา มัญธุลี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็ตบเท้าเข้ารายงานเหตุการณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมหมาย ภาษี อย่างเร่งด่วน โดยยืนยันว่า ไม่น่าเป็นห่วง
อย่างไรก็ดี หากตัดเอาเรื่องที่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดการปฏิวัติซ้อน ปฏิวัติซ้ำ ออกไป แล้วมาพิจารณาจากสถานการณ์ตามความเป็นจริง ทั้งเรื่องวิกฤติรัฐธรรมนูญ ที่กำลังเข้าสู่การถกเถียงในประเด็นสำคัญ เช่น การเสนอให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีโดยตรง อาจจะสร้างความขัดแย้ง บานปลายขึ้นมาได้ หากยังเดินหน้าผลักดันกันต่อไป โดยเฉพาะมีความอ่อนไหวเรื่องการก้าวล่วงพระราชอำนาจ
แต่เรื่องดังกล่าวยังไม่น่ากลัวเท่ากับเรื่องปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ ที่หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าในปีหน้าจะยังหนักหน่วงอันเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกยังไม่คลี่คลาย มิหนำซ้ำยังมีแนวโน้มรุนแรงกว่าเดิมจากปัญหา "สงครามเย็น" ที่หวนกลับมาอีกรอบ ระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับรัสเซีย จากต้นตอวิกฤติในยูเครน และเชื่อมโยงไปถึงวิกฤติด้านพลังงานน้ำมัน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยที่ยังต้องพึ่งพาตลาดแบบนี้อยู่มาก การท่องเที่ยวที่ต้องกระทบตามไปด้วย สรุปก็คือ ปัญหาย่อมกระทบถึงไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรที่มองดูแนวโน้มแล้วในปีหน้ายังถือว่าสาหัส นั่นก็ถือว่าเป็น "ข่าวร้าย"
**ดังนั้นแม้ว่าการปฏิวัติซ้อน ปฏิวัตซ้ำ ตามรูปการณ์และโครงสร้างอำนาจในปัจจุบัน อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวค่อนข้างยากอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนยัน นั่นคือ หากเขาไม่ทำเสียอย่าง มันก็ไม่มีทางเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ต้องจับตา และเตรียมรับมือก็คือปัญหาเศรษฐกิจในปีหน้า พิจารณาจากปัจจัยรอบด้านทั้งภายในและภายนอกแล้วยังน่าเป็นห่วง วางใจไม่ได้เลย !!