ASTV ผู้จัดการรายวัน – นักลงทุนผวาข่าวลือปฏิวัติซ้อน แห่ทิ้งหุ้นไทย ดัชนีร่วงหนักกว่า 22 จุด ด้านนักวิเคราะห์ยืนยันภาพรวมทั้งด้านเศรษฐกิจ และการลงทุนไม่เปลี่ยน ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมจับมือตลาดหลักทรัพย์ลาวทำ Dual listing มั่นใจส่งผลดีต่อการซื้อขายหุ้น 2 ประเทศ ให้มีความสะดวกสบายและง่ายยิ่งขึ้น
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วานนี้ (8 ธ.ค.) ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงท้ายตลาดเนื่องจากนักลงทุนแห่ขายหุ้นจากข่าวลือการปฏิวัติ โดยดัชนีแตะระดับสูงสุดที่ 1,603.89 จุด ต่ำสุดที่ 1,573.49 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,575.55 จุด ลดลง 22.21 จุด เปลี่ยนแปลง 1.39% มูลค่าการซื้อขาย 61,340.64 ล้านบาท
ทั้งนี้ สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 128.64 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,786.81 ล้านบาท ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,417.59 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 497.86 ล้านบาท
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป ระบุการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลงกว่า 10 จุดช่วงบ่ายวานนี้ สาเหตุหลักเกิดจากข่าว “ลือ” ภายใน ดังนั้นภาพรวมของดัชนี ณ สิ้นปี 2557 ต่อเนื่องถึงปี 2558 จึงไม่เปลี่ยนแปลง
“มองว่านักลงทุนขาดความมั่นใจบางประการประกอบกับมีวันหยุดกลางสัปดาห์ เมื่อดัชนีดีดตัวขึ้นในช่วงเช้าจึงมีแรงขายทำกำไรออกมา ซึ่งโดยภาพรวมของตลาดฯ ไม่มีปัจจัยกระทบที่ร้ายแรงเข้ามากระทบ เนื่องจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง และค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 10 เดือนโดยเช้าวันนี้ เงินบาทเปิดตลาดที่ 33.04-33.05 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ และทยอยอ่อนค่าลงแตะ 33.11 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ ล้วนเป็นข่าวที่ตลาดฯ ทะยอยซึมซับไปแล้ว” นางสาวธีรดา กล่าว
ดังนั้นคาดว่าพรุ่งนี้ดัชนีจะสามารถดีดกลับขึ้นมาทดสอบแนวต้าน 1,600 – 1,610 จุดได้ แต่ยังคงต้องระวังแรงขายทำกำไรระหว่างการซื้อ-ขาย โดยดัชนีมีแนวรับที่ 1,570 จุด พร้อมแนะนำทยอยสะสมหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
“โดยปกติของดัชนีเดือนสุดท้ายของปี ช่วงต้นเดือนมีบ้างที่ดัชนีจะยังไซด์เวย์ แต่สัปดาห์สุดท้ายดัชนีจะเร่งตัวขึ้นแรง โดยแรงซื้อของกองทุน และสถาบันในประเทศ ทั้งนี้บนปัจจับหลักทั้งนโยบายการเงินของเฟด ราคาน้ำมันอยู่ในขาลง และค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นจึงไม่น่าตกใจกับการเทคโพรฟิสระยะสั้น” นางสาวธีรดา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. มีรายงานข่าวจากสำนักข่าว Bloomberg ว่า “บิ๊กจิ๋ว พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ” เตือนว่าในไทยอาจเกิดการปฏิวัติซ้อน จนเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ออกมาปฎิเสธข่าว พร้อมยืนยันว่าการข่าวของกองทัพบกยังไม่เคยได้ข่าวดังกล่าว พร้อมปฏิเสธไม่ขอลงลึกในรายละเอียด เพราะเชื่อว่าเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น พร้อมกันนี้ยืนยันว่า กองทัพบกมีความเป็นเอกภาพและจะเดินหน้าทำงานตามแผนงานของกองทัพที่ได้วางไว้ของการดูแลความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศชาติ และยังคงเดินหน้าทำงานตามแผนงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช
ด้านฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนบริเวณกรอบแนวต้านที่ 1,600 จุด โดยมีแรงขายออกมาจากหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PTT PTTEP PTTGC สะท้อนการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่ม ICT และ Bank
พร้อมคาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสไต่ขึ้นไปยืนเหนือ 1,600 จุด แม้จะแกว่งเมื่อเข้าใกล้แนวต้านจิตวิทยา ดังนั้นหากดัชนีอ่อนตัวเน้นทยอยสะสมหุ้นใหญ่ (Big Cap) เป้าหมายกองทุนสถาบัน และหุ้นรับผลดีจากน้ำมันลง
ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท.เปิดเผยภายหลังงานสัมมนา “ทิศทางตลาด LSX และหุ้น IPO ในสปป.ลาว” ถึงคดีที่ลูกอดีตปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉ้อโกงหลอกขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ จนทำให้มีผู้สูญเสียเงินกว่า 281 ล้านบาท ว่า ได้ติดต่อขอข้อมูลจากโบรกเกอร์ที่มีรายชื่อของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว เพื่อตรวจสอบแล้ว โดยหากพบว่าทำผิดจริงจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย
“อยากเตือนนักลงทุนให้ตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายหุ้นนอกตลาด ที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ และเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ ทั้งกรณีหุ้นที่อยู่ระหว่างการยื่นขอข้อมูลขอจดทะเบียน และหุ้นที่รอเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถ้าหากข้อมูลไม่ครบถ้วนขอให้นักลงทุนนั้น ชะลอการตัดสินใจ และซื้อขายหุ้นผ่านโบรกเกอร์เท่านั้น” นางเกศรา กล่าว
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ลาว ตั้งเป้าหมายเพิ่มบริษัทจดทะเบียน ทะลุ 100 บริษัทใน 5 ปี มั่นใจการเปิดเออีซีทำให้ตลาดหุ้นลาวเนื้อหอม ซึ่งจะส่งผลดีต่อการค้าการลงทุน และการบริการทางการเงินเสรีมากขึ้น ประกอบกับราคาหุ้นลาวยังถูก โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ อยู่ที่ 8-9 เท่า โดยนักลงทุนไทยเป็นกลุ่มหลักที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ลาวและเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ ซึ่งการที่ลาวจะมีการทำ Dual listing จะเป็นผลดีต่อการซื้อขายหุ้น 2 ประเทศ ให้มีความสะดวกสบายและง่ายยิ่งขึ้น
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วานนี้ (8 ธ.ค.) ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงท้ายตลาดเนื่องจากนักลงทุนแห่ขายหุ้นจากข่าวลือการปฏิวัติ โดยดัชนีแตะระดับสูงสุดที่ 1,603.89 จุด ต่ำสุดที่ 1,573.49 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,575.55 จุด ลดลง 22.21 จุด เปลี่ยนแปลง 1.39% มูลค่าการซื้อขาย 61,340.64 ล้านบาท
ทั้งนี้ สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 128.64 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,786.81 ล้านบาท ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,417.59 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 497.86 ล้านบาท
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป ระบุการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลงกว่า 10 จุดช่วงบ่ายวานนี้ สาเหตุหลักเกิดจากข่าว “ลือ” ภายใน ดังนั้นภาพรวมของดัชนี ณ สิ้นปี 2557 ต่อเนื่องถึงปี 2558 จึงไม่เปลี่ยนแปลง
“มองว่านักลงทุนขาดความมั่นใจบางประการประกอบกับมีวันหยุดกลางสัปดาห์ เมื่อดัชนีดีดตัวขึ้นในช่วงเช้าจึงมีแรงขายทำกำไรออกมา ซึ่งโดยภาพรวมของตลาดฯ ไม่มีปัจจัยกระทบที่ร้ายแรงเข้ามากระทบ เนื่องจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง และค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 10 เดือนโดยเช้าวันนี้ เงินบาทเปิดตลาดที่ 33.04-33.05 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ และทยอยอ่อนค่าลงแตะ 33.11 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ ล้วนเป็นข่าวที่ตลาดฯ ทะยอยซึมซับไปแล้ว” นางสาวธีรดา กล่าว
ดังนั้นคาดว่าพรุ่งนี้ดัชนีจะสามารถดีดกลับขึ้นมาทดสอบแนวต้าน 1,600 – 1,610 จุดได้ แต่ยังคงต้องระวังแรงขายทำกำไรระหว่างการซื้อ-ขาย โดยดัชนีมีแนวรับที่ 1,570 จุด พร้อมแนะนำทยอยสะสมหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
“โดยปกติของดัชนีเดือนสุดท้ายของปี ช่วงต้นเดือนมีบ้างที่ดัชนีจะยังไซด์เวย์ แต่สัปดาห์สุดท้ายดัชนีจะเร่งตัวขึ้นแรง โดยแรงซื้อของกองทุน และสถาบันในประเทศ ทั้งนี้บนปัจจับหลักทั้งนโยบายการเงินของเฟด ราคาน้ำมันอยู่ในขาลง และค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นจึงไม่น่าตกใจกับการเทคโพรฟิสระยะสั้น” นางสาวธีรดา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. มีรายงานข่าวจากสำนักข่าว Bloomberg ว่า “บิ๊กจิ๋ว พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ” เตือนว่าในไทยอาจเกิดการปฏิวัติซ้อน จนเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ออกมาปฎิเสธข่าว พร้อมยืนยันว่าการข่าวของกองทัพบกยังไม่เคยได้ข่าวดังกล่าว พร้อมปฏิเสธไม่ขอลงลึกในรายละเอียด เพราะเชื่อว่าเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น พร้อมกันนี้ยืนยันว่า กองทัพบกมีความเป็นเอกภาพและจะเดินหน้าทำงานตามแผนงานของกองทัพที่ได้วางไว้ของการดูแลความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศชาติ และยังคงเดินหน้าทำงานตามแผนงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช
ด้านฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนบริเวณกรอบแนวต้านที่ 1,600 จุด โดยมีแรงขายออกมาจากหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PTT PTTEP PTTGC สะท้อนการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่ม ICT และ Bank
พร้อมคาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสไต่ขึ้นไปยืนเหนือ 1,600 จุด แม้จะแกว่งเมื่อเข้าใกล้แนวต้านจิตวิทยา ดังนั้นหากดัชนีอ่อนตัวเน้นทยอยสะสมหุ้นใหญ่ (Big Cap) เป้าหมายกองทุนสถาบัน และหุ้นรับผลดีจากน้ำมันลง
ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท.เปิดเผยภายหลังงานสัมมนา “ทิศทางตลาด LSX และหุ้น IPO ในสปป.ลาว” ถึงคดีที่ลูกอดีตปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉ้อโกงหลอกขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ จนทำให้มีผู้สูญเสียเงินกว่า 281 ล้านบาท ว่า ได้ติดต่อขอข้อมูลจากโบรกเกอร์ที่มีรายชื่อของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว เพื่อตรวจสอบแล้ว โดยหากพบว่าทำผิดจริงจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย
“อยากเตือนนักลงทุนให้ตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายหุ้นนอกตลาด ที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ และเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ ทั้งกรณีหุ้นที่อยู่ระหว่างการยื่นขอข้อมูลขอจดทะเบียน และหุ้นที่รอเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถ้าหากข้อมูลไม่ครบถ้วนขอให้นักลงทุนนั้น ชะลอการตัดสินใจ และซื้อขายหุ้นผ่านโบรกเกอร์เท่านั้น” นางเกศรา กล่าว
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ลาว ตั้งเป้าหมายเพิ่มบริษัทจดทะเบียน ทะลุ 100 บริษัทใน 5 ปี มั่นใจการเปิดเออีซีทำให้ตลาดหุ้นลาวเนื้อหอม ซึ่งจะส่งผลดีต่อการค้าการลงทุน และการบริการทางการเงินเสรีมากขึ้น ประกอบกับราคาหุ้นลาวยังถูก โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ อยู่ที่ 8-9 เท่า โดยนักลงทุนไทยเป็นกลุ่มหลักที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ลาวและเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ ซึ่งการที่ลาวจะมีการทำ Dual listing จะเป็นผลดีต่อการซื้อขายหุ้น 2 ประเทศ ให้มีความสะดวกสบายและง่ายยิ่งขึ้น