“วินด์ เอ็นเนอร์ยี่” ระส่ำหนัก ธนาคารสั่งงดปล่อยกู้โครงการใหม่ทั้งหมด ชี้ต้องการรอดูนโยบายผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ขณะที่มติที่ประชุมบอร์ดฯ ให้เดินหน้าเข้าตลาดหุ้นตามแผนกลางปี 58 เล็งปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ ขณะที่ศาลทหารออกหมายจับเพิ่มอีก 1 รายแก๊งทวงหนี้เรียกค่าไถ่ ก๊วน"พงศ์พัฒน์" อ้างสถาบัน ข่มขู่ทำสัมปทานธุรกิจโรงนำแข็งตลาดไท ผบช.น. ปฏิเสธจับกุมตัว"นพพร"เสี่ยหมื่นล้านในกัมพูชาแค่ข่าวลือ ตำรวจยื่นฝากขังครั้งที่ 2 “พงศ์พัฒน์” กับพวก 10 ราย
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทย ได้ระงับการปล่อยกู้บริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ในโครงการที่จะดำเนินการใหม่ หรือที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ เนื่องจากต้องการรอดูผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนโครงการเดิมที่ปล่อยกู้ไปแล้วไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากการดำเนินงานของบริษัทยังคงเป็นไปตามปกติ และบริษัทก็ยังคงชำระหนี้ตามกำหนด
นายวศิน กล่าวว่า โจกย์เราตอนนี้่ก็คือ เรื่องผู้บริหาร ซึ่งเราก็คงรอดูว่าบริษัทจะดำเนินการอย่างไร ดังนั้น หากเป็นโครงการใหม่เราก็ระงับการปล่อยกู้ไปก่อน เรามองว่าความเสี่ยงไม่ได้เป็นปัญหาสำคัญ เพราะบริษัทดังกล่าวเป็นลูกหนี้ที่ดี และยังคงชำระหนี้ได้ตามปกติ เพราะบริษัทมีสัญญาการส่งไฟฟ้าให้แก่คู่ค้าชัดเจน
ทั้งนี้ บริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง ซึ่งมี นายนพพร ศุภพิพัฒน์ เป็นประธานกรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ใช้บริการเงินกู้กับธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อไปทำโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันลมที่ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินการได้ 12 โครงการ รวมเป็นเงินเกือบ 2 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาได้ปรากฏข่าว นายนพพร ถูกออกหมายจับในคดีอาญาร้ายแรงและยังไม่สามารถติดตามตัวได้ ทำให้ธนาคารต้องระงับการปล่อยกู้ทั้งหมด
*** “วินด์ เอ็นเนอร์ยี่”เดินหน้าเข้าตลาดหุ้น
ด้าน นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ WEH เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทนัดพิเศษ มีมติให้ปรับโครงสร้างผู้บริหารที่เดิมมี นายนพพร ศภพิพัฒน์ ผู้ต้องหาคดีสำคัญเป็นประธานกรรมการบริหาร และมี Co-CEO เป็นชาวต่างชาติ รวมทั้งให้ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นโดยเร็วด้วย ซึ่งปัจจุบัน บริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอยี จำกัด (REC) ที่ถือหุ้นใหญ่โดย นายนพพร สัดส่วน 75% นั้น ถือหุ้นอยู่ใน WEH สัดส่วน 63% เท่ากับนายนพพร ถือหุ้น WEH ทางอ้อมในสัดส่วน 47%
โดยการปรับโครงสร้างครั้งนี้เพื่อผลักดันให้บริษัทเดินหน้าตามแผนธุรกิจที่วางไว้ โดยเฉพาะการที่ WEH ต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กลางปี 2558 แม้อาจจะล่าช้าจากแผนเดิมออกไปบ้าง เนื่องจากต้องจัดโครงสร้างใหม่ให้แล้วเสร็จก่อน แต่คาดว่าคณะกรรมการ และผู้บริหาร WEH จะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเร็วๆ นี้ โดยขอให้เชื่อมั่นทีมงานผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานลม รวมทั้งมีผู้บริหารระดับสูงจากสถาบันการเงิน
ทั้งนี้ เชื่อว่า WEH สามารถผลักดันธุรกิจไปได้ เนื่องจาก WEH มี Value มีโครงการพลังงานทดแทนในมือถึง 930 เมกะวัตต์ ซึ่งทำ PPA (สัญญาซื้อขายไฟฟ้า) แล้ว 660 เมกะวัตต์ เขาบอกว่าจะ Restructure โครงสร้างผู้ถือหุ้น และทีมผู้บริหารเพื่อแก้ไขปัญหาให้แผนธุรกิจเดินหน้าไปได้ และไม่เคยแจ้งว่าจะขายหุ้น WEH ที่ถืออยู่ 4% ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน
สำหรับปัจจุบัน WEH มี 8 โครงการที่จะต้องพัฒนาตามแผนงาน ขนาดกำลังผลิตรวม 660 เมกะวัตต์ ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ส่วนที่เหลืออีก 270 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างเจรจาซื้อขายไฟฟ้า โดย 2 โครงการแรก คือ ห้วยบง 2 และห้วยบง 3 นั้นได้จ่ายไฟแล้ว (COD) ขนาดกำลังการผลิตโครงการละ 90 เมกะวัตต์ รวม 180 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการ 3 และ 4 คือ โครงการเขาค้อ และโครงการวะตะแบก ขนาดกำลังการผลิตโครงการละ 60 เมกะวัตต์ รวม 120 เมกะวัต อยู่ระหว่างก่อสร้าง และคาดแล้วเสร็จและเริ่มจ่ายไฟได้ปลายปี 58
ขณะที่โครงการที่ 5, 6, 7 และ 8 มีกำลังการผลิตรวม 360 เมกะวัตต์นั้น ทาง DEMCO ไม่ได้รับงานก่อสร้าง ทั้งนี้ ตามแผน WEH จะนำเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น เพื่อนำเงินทุนไปลงทุน 4 โครงการดังกล่าว
*** ศาลออกหมายจับเพิ่มก๊วน "พงศ์พัฒน์"
วานนี้ (4ธ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. กล่าวถึงกรณีความคืบหน้ากลุ่มผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง ข่มขู่ ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายให้ลดหย่อนหนี้สินจาก 120 ล้าน เหลือ 20 ล้าน และจับตัวเรียกค่าไถ่จำนวนเงิน 30 ล้านบาท ที่ก่อเหตุในพื้นที่สน.พระโขนง และสน.วัดพระยาไกรว่า ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนสน.พระโขนง ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหา 2 ราย ประกอบด้วย นายปรีชา ดาราไตร และ นายไพเชษฐ์ เมธีอริยะพงศ์ ส่วนสน.วัดพระยาไกร ได้ขออนุมัติศาลทหารกรุงเทพออกหมายจับผู้ต้องหาตามภาพสเก็ต จำนวน 1 ราย ซึ่งจากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 สน. ยังไม่ยืนยันว่าจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมหรือไม่ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน หากพบว่ามีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ จะดำเนินการทันที
พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า ล่าสุดได้ทำการสอบสวนพยาน ให้การว่า กลุ่มผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในพื้นที่สน.วัดพระยาไกร และพื้นที่สน.พระโขนง เคยไปก่อเหตุที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี คาดว่าจะต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีกครั้ง ขณะนี้รอฟังผลจากสภ.คลองหลวง และให้พนักงานสอบสวนสภ.คลองหลวงทำสำนวนคดีขึ้นมา หากสำนวนคดีมีความเชื่อมโยงกับสำนวนคดีที่บช.น. จะนำสำนวนมารวมกัน และจะต้องขออนุมัติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)ด้วย
พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวอีกว่า สำนวนคดีทั้ง 2 คดี ในพื้นที่สน.วัดพระยาไกร สน.พระโขนง และสน.คันนายาว กรณีพบอาวุธปืนที่เคยก่อเหตุในพื้นที่ ก่อจะนำมาก่อเหตุในพื้นที่อื่นๆ คาดว่าจะสรุปสำนวนคดีทั้งหมดส่งไปให้ผบ.ตร.พิจารณาไม่เกินวันที่10ธ.ค.นี้ ส่วนนายนพพร ศุภพิพฒน์ ที่มีกระแสข่าวออกมาว่าสามารถจับกุมตัวนายนพพรได้ที่ประเทศกัมพูชานั้นไม่จริง เนื่องจากตามหลักฐานที่มีระบุว่ายังอยู่ในประเทศไทย แต่แนวทางการสืบสวนต่างๆระบุว่าไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า นายไตรสรณ์ ธีระตระกูล เสี่ยเจ้าของโรงน้ำแข็ง ตลาดไท เป็นผู้เสียหายรายที่ 3 ที่เข้ามาแจ้งความกับตำรวจว่าถูกนายชากานต์ ภาคภูมิ ผู้ต้องหาแก๊งอุ้มทวงและบังคับลดหนี้เครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มาขายตัดราคา ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2556 โดยแอบอ้างว่า เป็นธุรกิจของสถาบัน
*****อดีตเข้าของโรงน้ำแข็งตลาดไท ให้การมัด
นายไตรสรณ์ ธีระตระกูล อดีตเจ้าของสัมปทานโรงน้ำแข็งตลาดไทเดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.ภัครพงษ์ พงษ์เภตรา รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 พ.ต.อ.ชุมพล พุ่มพวง รอง ผบก.น.5 เพื่อให้ข้อมูลนำมาประกอบพฤติกรรมการกระทำความผิด ของกลุ่มผู้ต้องหาที่มีการแอบอ้างสถาบันในสำนวนคดีของ สน.พระโขนง และสน.วัดพระยาไกร ทำการข่มขู่ รีดไถ และอุ้มนักธุรกิจเครือข่ายเดียวกับนายณัฐพล สุวะดี ซึ่งก่อเหตุในพื้นที่ สน.วัดพระยาไกร และสน.พระโขนง ลักษณะเดียวกับพื้นที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยมีการข่มขู่ แอบอ้างสถาบัน บังคับไม่ให้มีการทำธุรกิจ มูลค่าความเสียหาย 24 ล้านบาท จากนั้นจึงได้เดินทางไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 (บก.น.5)
นายไตรสรณ์ เปิดเผยก่อนการเข้าให้ปากคำว่า ทาง บช.น. เชิญตัวมาสอบปากคำเพื่อขอข้อมูล โดยก่อนหน้าเจ้าของเดิม คือ นายราชเขต ณ ระนอง ได้ประมูลธุรกิจโรงน้ำแข็งมาเป็นเงิน 10 ล้านบาท ต่อมาตนได้จ่ายเงินเพื่อขอประมูลต่อค่าสัมปทานมาเป็นเงินจำนวน 24 ล้านบาทตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2556 จากนั้นทางกลุ่มผู้ต้องหาคือ นายชากานต์ ภาคภูมิ โดยมีนางเล็ก ไม่ทราบนามสกุล เจ้าของร้านน้ำแข็งได้เข้ามาเปิดร้านขายแข็งตัดราคาจากก้อนละ 40 บาท ขายตัดราคาเหลือก้อนละ 25 บาท เพื่อกดดันให้ผู้เสียหายยกเลิกกิจการดังกล่าว โดยนายชากานต์นำคนมาอีกประมาณ 4-5 คนเข้ามาคุย โดยอ้างว่า เป็นคนมาจากวังสุโขทัย จะมาทำกิจการดังกล่าว หากไม่ยกเลิกกิจการก็จะลำบาก จึงทำให้เจ้าของตลาดไทไม่กล้าว่าอะไร จนกระทั่งตนตัดสินใจยกเลิกการทำกิจการดังกล่าวไป จากนั้นทางกลุ่มของผู้ต้องหาจึงได้นำพรรคพวกมาดำเนินการเข้าทำกิจการแทน จากนั้นตนจึงได้ตัดสินใจเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.คลองหลวง เพื่อเป็นหลักฐาน..
***ฝากขังก๊วน"พงศ์พัฒน์" ค้านประกันผัด 2
ที่ศาลอาญา พ.ต.ท.สมเกียรติ ตันติกนกพร พนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 631/2557 ลงวันที่ 21 พ.ย. 2557 และที่ 644/2557 ลงวันที่ 26 พ.ย.2557 ยื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 2 พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อายุ 58 ปี อดีต บช.ก. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อายุ 59 ปี อดีตรอง ผบช.ก. ผู้ต้องหาคดีร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ เป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา อายุ 50 ปี ผู้บังคับหมู่ กก.ปพ.บก.ป. ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง อายุ 48 ปี ผู้บังคับหมู่ กก.ปพ.บก.ป. ผู้ต้องหาคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ นางปิยพรรณ ชินนะประภา อายุ 56 ปี และนายชอบ ชินนะประภา อายุ 60 ปี ผู้ต้องหาคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์
คำร้องระบุว่า ตามคำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2557 ศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 ทั้ง 6 คน มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.2557 ถึงวันที่ 5 ธ.ค.2557 ซึ่งตรงกับวันหยุดราชการนั้น บัดนี้การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องทำการสอบปากคำพยานสำคัญอีก 45 ปาก รอผลการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารที่เกี่ยวข้อง รอตรวจสอบและประเมินราคาทรัพย์ที่ตรวจยึดจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และรอผลการตรวจพิสูจน์หรือเปรียบเทียบของกลางกับผู้ต้องหาจากกองพิสูจน์หลักฐาน ด้วยเหตุและความจำเป็นดังกล่าว จึงขอศาลฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 6 คน เป็นครั้งที่ 2 มีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 6 -17 ธ.ค.2557 ทั้งนี้พนักงานสอบสวนขอคัดค้านขอปล่อยชั่วคราว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
นอกจากนี้ พ.ต.ท.สมเกียรติ ตันติกนกพร ยังยื่นคำร่องฝากขังครั้งที่ 2 พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อายุ 55 ปี อดีตผบก.รน. และพ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อายุ 46 ปี ผกก.4 บก.ปคบ. ผู้ต้องหาเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ เป็นเจ้า พนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดยคำร้องฝากขังสรุปว่า ตามที่ศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 ทั้ง 2 คน มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.2557 ถึงวันที่ 5 ธ.ค.2557 ซึ่งตรงกับวันหยุดราชการนั้น พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนปากคำพยานปากสำคัญอีก 19 ปาก รอผลการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารที่เกี่ยวข้อง รอผลตรวจสอบและประเมินราคาทรัพย์สินที่ตรวจยึดจากผู้เชียวชาญเฉพาะด้าน และรอผลการสอบสวนขยายผลถึงสถานที่เก็บซ่อนทรัพย์สินเพิ่มเติม ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าวข้างต้น จึงขอศาลอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหานี้ต่อไปอีกเป็นครั้งที่ 2 มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 6 -17 ธ.ค. นี้ ทั้งนี้หากผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้าน เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาอาจเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวนได้
ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.วีระวุฒิ บำรุงสวัสดิ์ พนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 631/2557 ลงวันที่ 21 พ.ย.2557 ยื่นคำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2 นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช อายุ 57 ปี และ นางสวงค์หรือ สวงศ์ มุ่งเที่ยง อายุ 54 ปี ผู้ต้องหาคดีร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 19 และ 47
คำร้องระบุว่าตามที่ศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 ทั้ง 2 คน มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.2557 ถึงวันที่ 5 ธ.ค.2557 ซึ่งตรงกับวันหยุดราชการนั้น พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนปากคำพยานอีก 2 ปาก รอผลการตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และรอผลการตรวจพิสูจน์ซากสัตว์ป่าคุ้มครองของกลาง จากผู้เชี่ยวชาญของกรมประมง และกรมกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชมาประกอบสำนวนการสอสวน ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขอฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไว้ระหว่างสอบสวน มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 6 -17 ธ.ค.2557
จากนั้นเวลา 14.30 น. ที่ห้องเวรชี้ศาลอาญาศาลได้สอบถามจำเลยทั้งจำนวน 10 คน ผ่านระบบวีดิโอ คอนเฟอร์เรนซ์ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพและทัณฑสถานหญิงกลาง โดยไม่ต้องคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดมาศาลอาญา ผู้ต้องหาทั้ง 10 ไม่คัดค้านศาลอนุญาตให้ฝากขังได้