พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวถึงเรื่องการเสนอนิรโทษกรรม ที่เริ่มออกมาพูดถึงกันมาขึ้น กลัวว่าจะเกิดปัญหาความขัดแย้งอีกหรือไม่ว่า ไม่กลัว ไม่ได้พูด และไม่กลัวความขัดแย้ง เป็นเรื่องของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ไม่ได้กังวล
เมื่อถามว่า เรื่องวิธีการปรองดอง และนิโทษกรรม จะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปรองดองและนิรโทษกรรม คนละเรื่องกัน ถ้าทุกคนอยากจะปรองดองก็ไม่ต้องเอาเหตุผลอะไรมาพูดกัน ก็จะปรองดองด้วยกันได้ อย่าปรองดองกันด้วยสาเหตุตรงนี้ ตรงนั้น ถ้าจะปรองดอง ก็ปรองดอง แต่ถ้าจะนิรโทษ ก็นิรโทษ ไปว่ากันมา ซึ่งตนไม่ได้คิด และไม่เคยมีข้อเสนอจากทางฝ่ายรัฐบาลไปเลย ไปคิดกันเอง แต่ตนก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมาย
เมื่อถามว่า เรื่องของการเมืองบางเรื่องบางที ควรจะมีการนิรโทษกรรมหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ว่ากันไป อะไรคือ คดีการเมือง อะไรคือคดีอาญา ก็ว่ากันมา คดีอาญา หมายถึง การทำให้เสียหาย มีคนบาดเจ็บล้มตาย ส่วนคดีการเมือง เป็นเรื่องการประท้วงต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกันก็ว่ากันไป ส่วนเรื่องการลงพื้นที่ไปต่างจังหวัดนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ช่วงเดือนนี้ยังยุ่งๆอยู่ แต่จะพยายามหาเวลาไป
**"ดาวดิน"รับจ้างป่วนนายกฯแค่ข่าว
พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่กลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม หรือ กลุ่มดาวดิน ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษา ที่ไปแสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว ต่อหน้าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ จ.ขอนแก่น ทำหนังสือถึง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้านสิทธิการเมืองและสิทธิพลเมืองโดยปฏิเสธว่า ไม่ได้ถูกนักการเมืองท้องถิ่นว่าจ้างมาให้ดำเนินการชิงพื้นที่สื่อจากนายกรัฐมนตรี ว่า ตนได้หารือ และให้ข้อมูลกับ นพ.นิรันดร์ แล้วว่าข้อมูลที่ตนได้ให้กับสื่อมวลชนนั้น เป็นรายงานข้อมูลด้านการข่าวเบื้องต้น ซึ่งไม่ได้เป็นการแฉว่า นักศึกษากลุ่มดังกล่าวถูกนักการเมืองในท้องถิ่นว่าจ้างมา เป็นเพียงการรายงานข้อมูลทางด้านการข่าวเข้ามาให้รับทราบเท่านั้น เพราะยังต้องรับฟังข้อมูลจากด้านอื่นสนับสนุนและต้องมีการประมวลผลด้วย ซึ่งนพ.นิรันดร์ ก็บอกว่าเด็กกลุ่มนั้นปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินว่าจ้างและเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงออกด้านความคิดเห็นของแต่ละคน ทางเราก็ไม่อยากให้เกิดการทะเลาะกัน แต่ต้องการจะห้ามปรามเท่านั้น
ส่วนที่มีความเป็นห่วงเกรงว่าประเด็นดังกล่าวจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรง เหมือนกับเหตุการณ์ 14 ต.ค. 16 นั้น พล.ท.กัมปนาท กล่าวว่า เราพยายามพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน และไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ตนรับฟังจากทุกฝ่าย และไม่ได้ปรักปรำเด็กกลุ่มดังกล่าว ว่ารับเงินว่าจ้าง แต่เป็นเพียงการรายงานด้านการข่าวเท่านั้น ซึ่งตนยังไม่ได้บอกว่า เชื่อหรือไม่เชื่อ เราเคารพอุดมการณ์ของทุกกลุ่ม และทุกฝ่าย เพื่อรักษาบรรยากาศการปรองดองให้บ้านเมือง ส่วนตนจะต้องไปทำความเข้าใจกับเด็กกลุ่มดังกล่าวหรือไม่นั้น ในแต่ละกองทัพภาค มีทีมงานลงพื้นที่เพื่อไปพูดคุยเรียบร้อยแล้ว
**รวบแก๊งโปรยใบปลิวต่อต้านรัฐบาล
วานนี้(2ธ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. แถลงผลการจับกุม นายวชิร ทองสุข อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลทหารกรุงเทพ ที่ ก.125/2557 ลงวันที่ 26 พ.ย.57 และ นายสิทธิ์ทัศน์ เหล่าวานิชธนาภา อายุ 54 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ที่ ก.126/2557 ลงวันที่ 26 พ.ย.57 พร้อมของกลางที่เป็นอุปกรณ์การทำใบปลิว และ เสื้อยืดลายพราง สีเขียว 1 ตัว เสื้อยืดสีดำสกรีนลายเสรีชน 1 ตัว เสื้อยืดสีดำสกรีนลายภูผาขวางกั้นอธรรม 1 ตัว หมวกปีกลายทหาร 1 ใบ หมวกแก๊ปลายทหาร 1 ใบ เข็มขัดสีดำ ซองปืน กุญแจมือ 1 ชุด แผ่นโปสเตอร์พลาสติก สกรีนคำว่า "รถคันนี้สีแดง" จำนวน 1 แผ่น รถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ หมายเลขทะเบียน 1กม-200 กทม. 1 คัน และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กมร-4 นครปฐม ในข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และฝ่าฝืนประกาศคสช. ฉบับที่ 97 เรื่องให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ อันเป็นข่าวที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลข่าวสารที่ก่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร และโฆษณาปิด ทิ้ง หรือโปรย แผ่นประกาศใบปลิวในที่สาธารณะ จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับหนังสืออนุญาติจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้ง เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า มีบุคคลขับจักรยานยนต์ นำใบปลิวที่มีเนื้อหาต่อต้านรัฐบาล มาโปรยบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง และขับรถหนีไป จึงทำการสอบสวนติดตาม พบว่า มีผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุมี จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย นายสิทธิ์ทัศน์ ขับรถเบนซ์สีดำ หมายเลขทะเบียน1 กม-200 กทม. ส่วนนายวชิร ขี่จักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ทางเจ้าหน้าที่จึงขออนุมัติหมายจับ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 25 พ.ย.57 ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าจับกุม นายสิทธิ์ทัศน์ ที่บ้านเลขที่ 18 ซอยภาษีเจริญ 48 แยก16 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กทม. และทำการตรวจค้นบ้านดังกล่าว พบของกลางจำนวน 15 รายการ ต่อมาทางเจ้าหน้าที่สามารถรวบตัวนายวชิรไว้ได้ จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ไว้ที่ ป.พัน.1.รอ. และประสานมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มารับตัวผู้ต้องหาไปดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป
ด้านนายสิทธิ์ทัศน์ ให้การว่า ตนได้ร่วมกับ นายวชิร ทองสุข โปรยใบปลิวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจริง แต่ขอยืนยันว่า ไม่ได้ยุยง ปลุกปั่น เพียงแค่แสดงความคิดเห็น ซึ่งที่ผ่านมา ตนก็ไปร่วมชุมนุมในกลุ่มนปช. และกปปส. ด้วย แต่ไปในฐานะผู้ร่วมแนวทางในบางเรื่องเท่านั้น
ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้ยื่นหลักฐานขอประกันตัว วงเงิน 200,000 บาท ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจราณาของเจ้าหน้าที่
เมื่อถามว่า เรื่องวิธีการปรองดอง และนิโทษกรรม จะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปรองดองและนิรโทษกรรม คนละเรื่องกัน ถ้าทุกคนอยากจะปรองดองก็ไม่ต้องเอาเหตุผลอะไรมาพูดกัน ก็จะปรองดองด้วยกันได้ อย่าปรองดองกันด้วยสาเหตุตรงนี้ ตรงนั้น ถ้าจะปรองดอง ก็ปรองดอง แต่ถ้าจะนิรโทษ ก็นิรโทษ ไปว่ากันมา ซึ่งตนไม่ได้คิด และไม่เคยมีข้อเสนอจากทางฝ่ายรัฐบาลไปเลย ไปคิดกันเอง แต่ตนก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมาย
เมื่อถามว่า เรื่องของการเมืองบางเรื่องบางที ควรจะมีการนิรโทษกรรมหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ว่ากันไป อะไรคือ คดีการเมือง อะไรคือคดีอาญา ก็ว่ากันมา คดีอาญา หมายถึง การทำให้เสียหาย มีคนบาดเจ็บล้มตาย ส่วนคดีการเมือง เป็นเรื่องการประท้วงต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกันก็ว่ากันไป ส่วนเรื่องการลงพื้นที่ไปต่างจังหวัดนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ช่วงเดือนนี้ยังยุ่งๆอยู่ แต่จะพยายามหาเวลาไป
**"ดาวดิน"รับจ้างป่วนนายกฯแค่ข่าว
พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่กลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม หรือ กลุ่มดาวดิน ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษา ที่ไปแสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว ต่อหน้าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ จ.ขอนแก่น ทำหนังสือถึง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้านสิทธิการเมืองและสิทธิพลเมืองโดยปฏิเสธว่า ไม่ได้ถูกนักการเมืองท้องถิ่นว่าจ้างมาให้ดำเนินการชิงพื้นที่สื่อจากนายกรัฐมนตรี ว่า ตนได้หารือ และให้ข้อมูลกับ นพ.นิรันดร์ แล้วว่าข้อมูลที่ตนได้ให้กับสื่อมวลชนนั้น เป็นรายงานข้อมูลด้านการข่าวเบื้องต้น ซึ่งไม่ได้เป็นการแฉว่า นักศึกษากลุ่มดังกล่าวถูกนักการเมืองในท้องถิ่นว่าจ้างมา เป็นเพียงการรายงานข้อมูลทางด้านการข่าวเข้ามาให้รับทราบเท่านั้น เพราะยังต้องรับฟังข้อมูลจากด้านอื่นสนับสนุนและต้องมีการประมวลผลด้วย ซึ่งนพ.นิรันดร์ ก็บอกว่าเด็กกลุ่มนั้นปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินว่าจ้างและเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงออกด้านความคิดเห็นของแต่ละคน ทางเราก็ไม่อยากให้เกิดการทะเลาะกัน แต่ต้องการจะห้ามปรามเท่านั้น
ส่วนที่มีความเป็นห่วงเกรงว่าประเด็นดังกล่าวจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรง เหมือนกับเหตุการณ์ 14 ต.ค. 16 นั้น พล.ท.กัมปนาท กล่าวว่า เราพยายามพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน และไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ตนรับฟังจากทุกฝ่าย และไม่ได้ปรักปรำเด็กกลุ่มดังกล่าว ว่ารับเงินว่าจ้าง แต่เป็นเพียงการรายงานด้านการข่าวเท่านั้น ซึ่งตนยังไม่ได้บอกว่า เชื่อหรือไม่เชื่อ เราเคารพอุดมการณ์ของทุกกลุ่ม และทุกฝ่าย เพื่อรักษาบรรยากาศการปรองดองให้บ้านเมือง ส่วนตนจะต้องไปทำความเข้าใจกับเด็กกลุ่มดังกล่าวหรือไม่นั้น ในแต่ละกองทัพภาค มีทีมงานลงพื้นที่เพื่อไปพูดคุยเรียบร้อยแล้ว
**รวบแก๊งโปรยใบปลิวต่อต้านรัฐบาล
วานนี้(2ธ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. แถลงผลการจับกุม นายวชิร ทองสุข อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลทหารกรุงเทพ ที่ ก.125/2557 ลงวันที่ 26 พ.ย.57 และ นายสิทธิ์ทัศน์ เหล่าวานิชธนาภา อายุ 54 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ที่ ก.126/2557 ลงวันที่ 26 พ.ย.57 พร้อมของกลางที่เป็นอุปกรณ์การทำใบปลิว และ เสื้อยืดลายพราง สีเขียว 1 ตัว เสื้อยืดสีดำสกรีนลายเสรีชน 1 ตัว เสื้อยืดสีดำสกรีนลายภูผาขวางกั้นอธรรม 1 ตัว หมวกปีกลายทหาร 1 ใบ หมวกแก๊ปลายทหาร 1 ใบ เข็มขัดสีดำ ซองปืน กุญแจมือ 1 ชุด แผ่นโปสเตอร์พลาสติก สกรีนคำว่า "รถคันนี้สีแดง" จำนวน 1 แผ่น รถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ หมายเลขทะเบียน 1กม-200 กทม. 1 คัน และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กมร-4 นครปฐม ในข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน ด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และฝ่าฝืนประกาศคสช. ฉบับที่ 97 เรื่องให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ อันเป็นข่าวที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลข่าวสารที่ก่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร และโฆษณาปิด ทิ้ง หรือโปรย แผ่นประกาศใบปลิวในที่สาธารณะ จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับหนังสืออนุญาติจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้ง เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า มีบุคคลขับจักรยานยนต์ นำใบปลิวที่มีเนื้อหาต่อต้านรัฐบาล มาโปรยบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง และขับรถหนีไป จึงทำการสอบสวนติดตาม พบว่า มีผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุมี จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย นายสิทธิ์ทัศน์ ขับรถเบนซ์สีดำ หมายเลขทะเบียน1 กม-200 กทม. ส่วนนายวชิร ขี่จักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ทางเจ้าหน้าที่จึงขออนุมัติหมายจับ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 25 พ.ย.57 ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าจับกุม นายสิทธิ์ทัศน์ ที่บ้านเลขที่ 18 ซอยภาษีเจริญ 48 แยก16 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กทม. และทำการตรวจค้นบ้านดังกล่าว พบของกลางจำนวน 15 รายการ ต่อมาทางเจ้าหน้าที่สามารถรวบตัวนายวชิรไว้ได้ จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ไว้ที่ ป.พัน.1.รอ. และประสานมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มารับตัวผู้ต้องหาไปดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป
ด้านนายสิทธิ์ทัศน์ ให้การว่า ตนได้ร่วมกับ นายวชิร ทองสุข โปรยใบปลิวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจริง แต่ขอยืนยันว่า ไม่ได้ยุยง ปลุกปั่น เพียงแค่แสดงความคิดเห็น ซึ่งที่ผ่านมา ตนก็ไปร่วมชุมนุมในกลุ่มนปช. และกปปส. ด้วย แต่ไปในฐานะผู้ร่วมแนวทางในบางเรื่องเท่านั้น
ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้ยื่นหลักฐานขอประกันตัว วงเงิน 200,000 บาท ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจราณาของเจ้าหน้าที่
