ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
หลังจากการล้างพิษตับได้ดำเนินการมาหลายปี และมีความนิยมต่อเนื่องมาเกือบ 2 ปีแล้ว ก็ถึงเวลาอันสมควรที่เราอาจจะต้องมาทบทวนอะไรบางอย่างเพื่อทั้งพัฒนาให้ก้าวหน้า ป้องกันความเสี่ยง และเยียวยาปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ไม่ใช่ว่าผมเองจะรู้ไปเสียทุกอย่างตั้งแต่แรก แต่สำรวจความสำเร็จในการล้างพิษตับที่มีผู้ที่มีสุขภาพดีขึ้นจำนวนมากทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นใจ ส่วนการหาเหตุผลของการที่สุขภาพดีนั้นสามารถทยอยทำต่อไปได้ในภายหลังโดยไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แต่ปัญหาที่ทยอยเกิดขึ้นกับผลข้างเคียงในทางลบและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนต่างหาก ที่ทำให้เราเรียนรู้ หาคำตอบ และทำให้เราต้องหากทางป้องกันและแก้ไขเพื่อลดหรือยุติปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ต้องเอาเรื่องสุขภาพและชีวิตคนเป็นตัวตั้ง และเนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวกับ "ชีวิตคน" ดังนั้นจะพิจารณาว่าส่วนใหญ่ดี หรือมีส่วนน้อยได้ผลเสียนั้นอาจจะไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผลเสียนั้น "มีความรุนแรงหรือเรื้อรัง" จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบหาสาเหตุเพื่อป้องกันอย่างถูกวิธี หรือเพื่อลดความเสี่ยงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะถ้าคนที่ได้รับผลกระทบเป็นตัวเรา ญาติเรา ลูกเรา หรือพ่อแม่เรา ก็คงจะไม่มีใครจะมีความพึงพอใจที่จะใช้เหตุผลว่ามีคนนิดเดียวที่ได้รับผลกระทบในทางลบ หรือเรื่องนี้เป็นเรื่องของกรรมหรือความโชคร้าย หากความบกพร่องและผิดพลาดเกิดจากกระบวนการล้างพิษตับที่ขาดความรอบคอบ หรือมีข้อมูลที่ไม่รอบด้าน
การใช้สื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์เชิญชวนล้างพิษตับเพราะมีสุขภาพที่ดีอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องใช้สื่อประชาสัมพันธ์ถึงผลเสียและแนวทางการป้องกันควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างความตระหนักให้กับผู้ล้างพิษตับและศูนย์ล้างพิษตับที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่ามีศูนย์ล้างพิษตับอยู่ที่ใดบ้าง และใช้สูตรไหน พลิกแพลง หรือมีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด สะอาดปลอดภัยหรือไม่ ดังนั้นจึงถือเป็นความจำเป็นที่จะต้องเตือนเอาไว้เพื่อให้ขบวนการล้างพิษตับสามารถพัฒนาและเดินหน้าต่อไปได้
เราเห็นประโยชน์จากงานวิจัยจำนวนมากที่เราได้อดอาหารบ้างในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อการซ่อมแซม และฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ดีขึ้น นำส่วนที่สะสมส่วนเกินในร่างกายมาใช้ และยังได้สารคีโตนที่ไปฟื้นฟูและเลี้ยงสมองในระหว่างการอดอาหารด้วย
เราได้เห็นประโยชน์จากงานวิจัยว่าการขับสารพิษที่ละลายอยู่ในรูปของไขมัน สามารถขับออกมาได้ผ่านเส้นทางหลักคือทางน้ำดีมากที่สุดและลำไส้รองลงมา ในขณะที่โลหะหนักสามารถขับออกจากเส้นทางลำไส้เป็นเส้นทางหลักและทางน้ำดีรองลงมา เราจึงมีความมั่นใจว่า กระบวนการล้างพิษตับที่มีการล้างลำไส้ และขับน้ำดีออกนั้นจะมีส่วนช่วยในการลดปัญหาของสารพิษที่ละลายในไขมัน และลดโลหะหนักในร่างกายได้
เราได้เห็นผู้ที่ล้างพิษตับและเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซีจำนวนมาก มีจำนวนไวรัสลดลงไปมากหลังล้างพิษตับเป็นที่ประจักษ์ และพบในหลายกรณีเมื่อล้างพิษตับไปต่อเนื่องก็กลับหายป่วยจากโรคดังกล่าวอย่างน่าอัศจรรย์ (ทั้งๆที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาให้หายได้) ไม่ต้องพูดถึงคนที่เป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี อาการภูมิแพ้ ไขมันพอกตับ ฯลฯ ที่คนส่วนใหญ่ก็มีอาการดีขึ้นเช่นกัน
เราจึงไม่แปลกใจว่าทำไมการล้างพิษตับจึงยังคงยืนกระแสอยู่ได้แม้ผ่านไปร่วม 2 ปี เพราะความจริงคือมีคนสุขภาพดีขึ้นหลังการล้างพิษตับจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนพฤติกรรมหลังได้รับข้อมูลจากการล้างพิษตับนั้น มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความตระหนักในการเปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูสุขภาพ
และความเข้าใจในการล้างพิษตับในเวลานี้ "แมนเนเจอร์ แลป" กำลังดำเนินการตรวจสอบและรวบรวมสถิติถึง "ผลลัพธ์ทางสุขภาพผ่านการถอดรหัสพันธุกรรม" ทั้งก่อนและหลังล้างพิษตับ ซึ่งรหัสพันธุกรรมจะทำให้เรายืนยันได้อย่างชัดเจนและหมดข้อสงสัยได้ถึงผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงในรหัสพันธุกรรมผ่านการล้างพิษตับ เพราะรหัสพันธุกรรมไม่สามารถหลอกใครได้
อย่างไรก็ตามในทุกวันนี้ ศูนย์ล้างพิษตับในแต่ละแห่งต่างมีความพลิกแพลง ด้วยองค์ความรู้ ข้อมูล ความเชื่อ และภูมิปัญญาที่ไม่เท่ากัน บ้างก็มีประสิทธิภาพสูงกว่าหรือต่ำกว่า บ้างก็มีความเสี่ยงสูงกว่าหรือต่ำกว่า ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความหลากหลายที่จะนำไปสู่การพัฒนาการในอนาคตได้ ตราบใดที่ความหลากหลายนั้นไม่ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพอย่างรุนแรง เรื้อรัง หรืออันตราย ดังนั้นแม้เราจะห้ามศูนย์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยต้องคอยส่งสัญญาณในสิ่งที่ไม่มีความปลอดภัย มีความเสี่ยง หรืออันตราย อาจจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ
เพราะไม่มีใครจะรู้ครบรอบด้านทุกอย่างตั้งแต่แรก มีแต่รู้มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปจากการดำเนินการล้างพิษตับจริงมากขึ้นก็ต้องคอยพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น ดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวเอาไว้ว่า
"ไม่ต้องเสียใจ ความผิดพลาด เป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาต้องมี แต่ก็แก้ไขได้ด้วยความฉลาด ที่ความผิดพลาดมันสอนให้เราทุกครั้งที่เราทำผิดไปนั่นเอง"
นั่นหมายถึงว่าแท้ที่จริงแล้ว "ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา" นั่นเอง เพียงแต่เราต้องมีความรับผิดชอบกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ปัญหาจึงจะทยอยน้อยลง และการพัฒนาจะบังเกิดขึ้น
ในบทความนี้จึงขอรวบรวมประสบการณ์ความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่ความไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้ล้างพิษตับ ให้ตระหนักเอาไว้ดังต่อไปนี้
1.ผู้ที่ไม่มีกำลัง อ่อนแรงมาก ป่วยหนักจนขาดพลังชีวิต ไม่สามารถล้างพิษตับได้ หากฝืนดำเนินการล้างพิษตับไป จะเป็นอันตรายได้ จำเป็นต้องฟื้นฟูสภาพร่างกายให้มีความพร้อมก่อน
2.ผู้ที่มีโรคแผลกระเพาะอาหาร จำเป็นต้องรักษาโรคแผลกระเพาะอาหารให้เสร็จสิ้นเสียก่อนในการล้างพิษตับ
3.การใช้ดีเกลือไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจและโรคไต
4.การใช้เอนไซม์ล้างลำไส้ หรือยาถ่าย ไม่สามารถใช้เกินขนาดได้ เช่น เอนไซม์ผงล้างลำไส้จากไต้หวันให้ดื่มสูงสุดวันละไม่เกิน 4 ซอง มีศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งให้ผู้เข้าหลักสูตรดื่มถึง 9 ซองภายในวันเดียวโดยอ้างว่าเพื่อไม่ต้องสวนล้างลำไส้ ทำให้สูญเสียเกลือแร่เป็นจำนวนมาก และมีความเสี่ยงที่จะช็อคได้
5.การใช้ลิดท็อกซ์ นั้น จากต้องดื่มน้ำในปริมาณที่มาก เพราะในลิดท็อกซ์นั้นมีผงซิลเลียมอยู่ 50% ซึ่งองค์การอาหารและยาในสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดห้ามดื่มเกินวันละ 50 กรัม
นอกจากนี้ยังได้มีคำแนะนำด้วยว่าการรับประทานไฟเบอร์กลุ่มนี้ควรจะไต่ระดับจากการดื่มทีละน้อย เพื่อให้จุลินทรีย์ในลำไส้ปรับสมดุล หากดื่มครั้งแรกๆในปริมาณที่มากในทันทีอาจทำให้เกิดภาวะขาดจุนลินทรีย์ซึ่งจะส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารและระบบขับถ่ายที่ไม่สามารถปรับตัวและผิดปกติได้
การดื่มผลิตภัณฑ์ที่มีซิลเลียมนั้น ต้องผสมน้ำให้มากเพื่อให้อ่อนนุ่มในขณะพองตัว และหากดื่มน้ำตามน้อยอาจทำให้เกิดการอุดตันหรือกลายเป็นอุปสรรคในทางเดินอาหาร หรือทำให้หายใจไม่ออกได้ เพราะในศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งแนะนำให้ผู้ล้างพิษตับดื่มลิดท็อกซ์แล้วห้ามดื่มน้ำตามในครึ่งชั่วโมงแรก
6.การอดอาหารต่อเนื่องอัตราการเผาผลาญจะต่ำลงทุกวัน ดังนั้น ในหลายกรณีเมื่ออัตราการเผาผลาญต่ำลงอาจทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวช้าลงด้วย โดยเฉพาะเมื่ออดอาหารกากหลายๆวัน ดังนั้นจึงต้องสังเกตด้วยว่าหากมีการใช้ลิดท็อกซ์ต้องให้มั่นใจว่าลิดท็อกซ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าลิดท็อกซ์ไม่ออกมาหากฝืนดื่มน้ำมันมะกอกก็อาจทำให้สิ่งที่ออกมาจากตับไม่ถูกขับออกแต่ถูกลำไส้ดูดสิ่งที่ออกมาจากตับได้ หรือเมื่อลิดท็อกซ์ไม่ออกมาแล้วยังฝืนดื่มลิดท็อกซ์ต่อไป (ซึ่งมีศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งทำอย่างนั้น) ก็อาจมีการตกค้างในลำไส้ได้เช่นกัน
7.ผู้ที่ต้องมีความระมัดระวังในการล้างพิษตับให้มากคือผู้ที่มีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำซึ่งรับรู้จากการตรวจเลือดได้ และภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำแฝง ซึ่งไม่สามารถรับรู้จากการตรวจเลือดได้ต้องสังเกตอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 36.3 องศาเซลเซียส และอาการร่วม คนกลุ่มนี้มีภาวะตัวเย็น (บางครั้งชาปลายมือปลายเท้า) มือเท้าเย็นง่าย ท้องผูก หัวใจเต้นช้าหรือเร็วผิดปกติ ฯลฯ เพราะจะมีอัตราการเผาผลาญต่ำกว่าปกติ คนเหล่านี้จะมีลำไส้ที่เคลื่อนตัวช้ากว่าคนปกติจนถึงขั้นท้องผูกขับถ่ายยากอยู่แล้ว จึงเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังช่วงอดอาหารไม่ให้อัตราการเผาผลาญต่ำลงไปอีก ดังนั้นให้อดอาหารสั้นไม่เกิน 1 วัน และจำกัดน้ำมันมะกอกให้น้อยกว่าคนทั่วไปไม่เกิน 100 ซีซี ในการล้างพิษตับเพียงครั้งเดียว
8. ผู้ที่มีโรคสะเก็ดเงิน หรือผื่นคันอื่นที่ ใช้ครีมทา หรือ รับประทานยา ที่มีส่วนผสมของสเตรียรอยด์มาอย่างต่อเนื่อง อาจจำเป็นต้องใช้ต่อในระหว่างการอดอาหาร และหากต้องการลดยาสเตียรอยด์จำเป็นต้องลดลงอย่างเป็นขั้นบันใด และในการล้างพิษตับนั้น ให้อดอาหารสั้นไม่เกิน 1 วัน และจำกัดน้ำมันมะกอกให้น้อยกว่าคนทั่วไปไม่เกิน 100 ซีซี ในการล้างพิษตับเพียงครั้งเดียว
9.การใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนเพื่อเพิ่มพลังงานในการขับของเสียออกนั้นมีความจำเป็นในหลักสูตรนี้ เช่น ยาชำระเมือกมัน จะช่วยทำให้การขับของเสียออกนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่อดอาหารและร่างกายขาดพลังงานในการขับเคลื่อน
10.การสวนทวารล้างลำไส้นั้นมีความจำเป็นสำหรับการล้างพิษตับในแง่ความปลอดภัย และการลดความเสี่ยงจากการดูดของเสียของลำไส้ ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการข้างเคียงมาก และจำเป็นต้องทำต่อเนื่องหลังล้างพิษตับ 7 วัน
11.ศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งใช้การสวนล้างลำไส้โดยการแนะนำว่าให้นำสายสวนล้างเข้าไปในลำไส้มากเกินความจำเป็นจนอาจเกิดความเสี่ยงได้ เช่น 1 ฟุตบ้าง 1 เมตรบ้าง บ้างก็อัดน้ำเข้าไปเป็นจำนวนมากถึง 1.5 ลิตรในคราวเดียวจนเกินความสามารถที่ร่างกายจะรับได้ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการเสี่ยงและยังไม่ปลอดภัย
12.ความสะอาดเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งใช้วิธีนำสายสวนทวารล้างลำไส้ที่ใช้แล้วมาล้างรวมๆกันแล้วแจกคืนให้กับผู้ใช้ ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความเสี่ยง อีกทั้งศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งใช้โลหะเป็นกระบอกสวนล้างที่มีความไม่สะอาดมีคราบตระกรันหรือสนิม จำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอด้วย
13.มักจะมีการประชาสัมพันธ์อ้างอิงการดื่มน้ำมันมะกอก ของ อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ที่ให้คุณแม่ของ อ.แก่นฟ้า ดื่มน้ำมันมะกอกได้ถึง 4 แก้วในการล้างพิษตับ 1 ครั้ง แต่ในความเป็นจริงนั้น เป็นการทยอยดื่มน้อยๆครั้งละ 50 ซีซี เท่านั้น (ตามพละกำลังของผู้สูงวัย) ไม่ใช่การดื่มครั้งละ 100 -150 ซีซี อย่างที่ดำเนินการกันอยู่ในบางศูนย์ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
สุดท้ายแล้วการดื่มน้ำมันมะกอกกี่แก้วจึงจะดีที่สุดนั้นไม่มีใครให้คำตอบได้ เพราะร่างกายของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ตอบได้ว่าถ้าดื่มเพียง 1 แก้วต่อการล้างพิษตับ 1 ครั้ง มีความปลอดภัยกว่าดื่มหลายๆแก้วในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ผมและ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ต่างเห็นด้วยในการที่โรงเรียนผู้นำจะเป็นมาตรฐานของความปลอดภัยให้ดื่มได้เพียงไม่เกิน 1 แก้วเท่านั้น
หวังว่าการแจ้งความเสี่ยงและข้อควรระวังเหล่านี้ จะเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ขบวนการล้างพิษตับสามารถเดินหน้าต่อไปอย่างมีสติ และพัฒนา ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อย่างรอบคอบต่อไป
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
หลังจากการล้างพิษตับได้ดำเนินการมาหลายปี และมีความนิยมต่อเนื่องมาเกือบ 2 ปีแล้ว ก็ถึงเวลาอันสมควรที่เราอาจจะต้องมาทบทวนอะไรบางอย่างเพื่อทั้งพัฒนาให้ก้าวหน้า ป้องกันความเสี่ยง และเยียวยาปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ไม่ใช่ว่าผมเองจะรู้ไปเสียทุกอย่างตั้งแต่แรก แต่สำรวจความสำเร็จในการล้างพิษตับที่มีผู้ที่มีสุขภาพดีขึ้นจำนวนมากทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นใจ ส่วนการหาเหตุผลของการที่สุขภาพดีนั้นสามารถทยอยทำต่อไปได้ในภายหลังโดยไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แต่ปัญหาที่ทยอยเกิดขึ้นกับผลข้างเคียงในทางลบและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนต่างหาก ที่ทำให้เราเรียนรู้ หาคำตอบ และทำให้เราต้องหากทางป้องกันและแก้ไขเพื่อลดหรือยุติปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ต้องเอาเรื่องสุขภาพและชีวิตคนเป็นตัวตั้ง และเนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวกับ "ชีวิตคน" ดังนั้นจะพิจารณาว่าส่วนใหญ่ดี หรือมีส่วนน้อยได้ผลเสียนั้นอาจจะไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผลเสียนั้น "มีความรุนแรงหรือเรื้อรัง" จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบหาสาเหตุเพื่อป้องกันอย่างถูกวิธี หรือเพื่อลดความเสี่ยงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะถ้าคนที่ได้รับผลกระทบเป็นตัวเรา ญาติเรา ลูกเรา หรือพ่อแม่เรา ก็คงจะไม่มีใครจะมีความพึงพอใจที่จะใช้เหตุผลว่ามีคนนิดเดียวที่ได้รับผลกระทบในทางลบ หรือเรื่องนี้เป็นเรื่องของกรรมหรือความโชคร้าย หากความบกพร่องและผิดพลาดเกิดจากกระบวนการล้างพิษตับที่ขาดความรอบคอบ หรือมีข้อมูลที่ไม่รอบด้าน
การใช้สื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์เชิญชวนล้างพิษตับเพราะมีสุขภาพที่ดีอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องใช้สื่อประชาสัมพันธ์ถึงผลเสียและแนวทางการป้องกันควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างความตระหนักให้กับผู้ล้างพิษตับและศูนย์ล้างพิษตับที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่ามีศูนย์ล้างพิษตับอยู่ที่ใดบ้าง และใช้สูตรไหน พลิกแพลง หรือมีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด สะอาดปลอดภัยหรือไม่ ดังนั้นจึงถือเป็นความจำเป็นที่จะต้องเตือนเอาไว้เพื่อให้ขบวนการล้างพิษตับสามารถพัฒนาและเดินหน้าต่อไปได้
เราเห็นประโยชน์จากงานวิจัยจำนวนมากที่เราได้อดอาหารบ้างในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อการซ่อมแซม และฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ดีขึ้น นำส่วนที่สะสมส่วนเกินในร่างกายมาใช้ และยังได้สารคีโตนที่ไปฟื้นฟูและเลี้ยงสมองในระหว่างการอดอาหารด้วย
เราได้เห็นประโยชน์จากงานวิจัยว่าการขับสารพิษที่ละลายอยู่ในรูปของไขมัน สามารถขับออกมาได้ผ่านเส้นทางหลักคือทางน้ำดีมากที่สุดและลำไส้รองลงมา ในขณะที่โลหะหนักสามารถขับออกจากเส้นทางลำไส้เป็นเส้นทางหลักและทางน้ำดีรองลงมา เราจึงมีความมั่นใจว่า กระบวนการล้างพิษตับที่มีการล้างลำไส้ และขับน้ำดีออกนั้นจะมีส่วนช่วยในการลดปัญหาของสารพิษที่ละลายในไขมัน และลดโลหะหนักในร่างกายได้
เราได้เห็นผู้ที่ล้างพิษตับและเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซีจำนวนมาก มีจำนวนไวรัสลดลงไปมากหลังล้างพิษตับเป็นที่ประจักษ์ และพบในหลายกรณีเมื่อล้างพิษตับไปต่อเนื่องก็กลับหายป่วยจากโรคดังกล่าวอย่างน่าอัศจรรย์ (ทั้งๆที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาให้หายได้) ไม่ต้องพูดถึงคนที่เป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี อาการภูมิแพ้ ไขมันพอกตับ ฯลฯ ที่คนส่วนใหญ่ก็มีอาการดีขึ้นเช่นกัน
เราจึงไม่แปลกใจว่าทำไมการล้างพิษตับจึงยังคงยืนกระแสอยู่ได้แม้ผ่านไปร่วม 2 ปี เพราะความจริงคือมีคนสุขภาพดีขึ้นหลังการล้างพิษตับจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนพฤติกรรมหลังได้รับข้อมูลจากการล้างพิษตับนั้น มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความตระหนักในการเปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูสุขภาพ
และความเข้าใจในการล้างพิษตับในเวลานี้ "แมนเนเจอร์ แลป" กำลังดำเนินการตรวจสอบและรวบรวมสถิติถึง "ผลลัพธ์ทางสุขภาพผ่านการถอดรหัสพันธุกรรม" ทั้งก่อนและหลังล้างพิษตับ ซึ่งรหัสพันธุกรรมจะทำให้เรายืนยันได้อย่างชัดเจนและหมดข้อสงสัยได้ถึงผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงในรหัสพันธุกรรมผ่านการล้างพิษตับ เพราะรหัสพันธุกรรมไม่สามารถหลอกใครได้
อย่างไรก็ตามในทุกวันนี้ ศูนย์ล้างพิษตับในแต่ละแห่งต่างมีความพลิกแพลง ด้วยองค์ความรู้ ข้อมูล ความเชื่อ และภูมิปัญญาที่ไม่เท่ากัน บ้างก็มีประสิทธิภาพสูงกว่าหรือต่ำกว่า บ้างก็มีความเสี่ยงสูงกว่าหรือต่ำกว่า ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความหลากหลายที่จะนำไปสู่การพัฒนาการในอนาคตได้ ตราบใดที่ความหลากหลายนั้นไม่ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพอย่างรุนแรง เรื้อรัง หรืออันตราย ดังนั้นแม้เราจะห้ามศูนย์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยต้องคอยส่งสัญญาณในสิ่งที่ไม่มีความปลอดภัย มีความเสี่ยง หรืออันตราย อาจจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ
เพราะไม่มีใครจะรู้ครบรอบด้านทุกอย่างตั้งแต่แรก มีแต่รู้มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปจากการดำเนินการล้างพิษตับจริงมากขึ้นก็ต้องคอยพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น ดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวเอาไว้ว่า
"ไม่ต้องเสียใจ ความผิดพลาด เป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาต้องมี แต่ก็แก้ไขได้ด้วยความฉลาด ที่ความผิดพลาดมันสอนให้เราทุกครั้งที่เราทำผิดไปนั่นเอง"
นั่นหมายถึงว่าแท้ที่จริงแล้ว "ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา" นั่นเอง เพียงแต่เราต้องมีความรับผิดชอบกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ปัญหาจึงจะทยอยน้อยลง และการพัฒนาจะบังเกิดขึ้น
ในบทความนี้จึงขอรวบรวมประสบการณ์ความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่ความไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้ล้างพิษตับ ให้ตระหนักเอาไว้ดังต่อไปนี้
1.ผู้ที่ไม่มีกำลัง อ่อนแรงมาก ป่วยหนักจนขาดพลังชีวิต ไม่สามารถล้างพิษตับได้ หากฝืนดำเนินการล้างพิษตับไป จะเป็นอันตรายได้ จำเป็นต้องฟื้นฟูสภาพร่างกายให้มีความพร้อมก่อน
2.ผู้ที่มีโรคแผลกระเพาะอาหาร จำเป็นต้องรักษาโรคแผลกระเพาะอาหารให้เสร็จสิ้นเสียก่อนในการล้างพิษตับ
3.การใช้ดีเกลือไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจและโรคไต
4.การใช้เอนไซม์ล้างลำไส้ หรือยาถ่าย ไม่สามารถใช้เกินขนาดได้ เช่น เอนไซม์ผงล้างลำไส้จากไต้หวันให้ดื่มสูงสุดวันละไม่เกิน 4 ซอง มีศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งให้ผู้เข้าหลักสูตรดื่มถึง 9 ซองภายในวันเดียวโดยอ้างว่าเพื่อไม่ต้องสวนล้างลำไส้ ทำให้สูญเสียเกลือแร่เป็นจำนวนมาก และมีความเสี่ยงที่จะช็อคได้
5.การใช้ลิดท็อกซ์ นั้น จากต้องดื่มน้ำในปริมาณที่มาก เพราะในลิดท็อกซ์นั้นมีผงซิลเลียมอยู่ 50% ซึ่งองค์การอาหารและยาในสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดห้ามดื่มเกินวันละ 50 กรัม
นอกจากนี้ยังได้มีคำแนะนำด้วยว่าการรับประทานไฟเบอร์กลุ่มนี้ควรจะไต่ระดับจากการดื่มทีละน้อย เพื่อให้จุลินทรีย์ในลำไส้ปรับสมดุล หากดื่มครั้งแรกๆในปริมาณที่มากในทันทีอาจทำให้เกิดภาวะขาดจุนลินทรีย์ซึ่งจะส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารและระบบขับถ่ายที่ไม่สามารถปรับตัวและผิดปกติได้
การดื่มผลิตภัณฑ์ที่มีซิลเลียมนั้น ต้องผสมน้ำให้มากเพื่อให้อ่อนนุ่มในขณะพองตัว และหากดื่มน้ำตามน้อยอาจทำให้เกิดการอุดตันหรือกลายเป็นอุปสรรคในทางเดินอาหาร หรือทำให้หายใจไม่ออกได้ เพราะในศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งแนะนำให้ผู้ล้างพิษตับดื่มลิดท็อกซ์แล้วห้ามดื่มน้ำตามในครึ่งชั่วโมงแรก
6.การอดอาหารต่อเนื่องอัตราการเผาผลาญจะต่ำลงทุกวัน ดังนั้น ในหลายกรณีเมื่ออัตราการเผาผลาญต่ำลงอาจทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวช้าลงด้วย โดยเฉพาะเมื่ออดอาหารกากหลายๆวัน ดังนั้นจึงต้องสังเกตด้วยว่าหากมีการใช้ลิดท็อกซ์ต้องให้มั่นใจว่าลิดท็อกซ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าลิดท็อกซ์ไม่ออกมาหากฝืนดื่มน้ำมันมะกอกก็อาจทำให้สิ่งที่ออกมาจากตับไม่ถูกขับออกแต่ถูกลำไส้ดูดสิ่งที่ออกมาจากตับได้ หรือเมื่อลิดท็อกซ์ไม่ออกมาแล้วยังฝืนดื่มลิดท็อกซ์ต่อไป (ซึ่งมีศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งทำอย่างนั้น) ก็อาจมีการตกค้างในลำไส้ได้เช่นกัน
7.ผู้ที่ต้องมีความระมัดระวังในการล้างพิษตับให้มากคือผู้ที่มีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำซึ่งรับรู้จากการตรวจเลือดได้ และภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำแฝง ซึ่งไม่สามารถรับรู้จากการตรวจเลือดได้ต้องสังเกตอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 36.3 องศาเซลเซียส และอาการร่วม คนกลุ่มนี้มีภาวะตัวเย็น (บางครั้งชาปลายมือปลายเท้า) มือเท้าเย็นง่าย ท้องผูก หัวใจเต้นช้าหรือเร็วผิดปกติ ฯลฯ เพราะจะมีอัตราการเผาผลาญต่ำกว่าปกติ คนเหล่านี้จะมีลำไส้ที่เคลื่อนตัวช้ากว่าคนปกติจนถึงขั้นท้องผูกขับถ่ายยากอยู่แล้ว จึงเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังช่วงอดอาหารไม่ให้อัตราการเผาผลาญต่ำลงไปอีก ดังนั้นให้อดอาหารสั้นไม่เกิน 1 วัน และจำกัดน้ำมันมะกอกให้น้อยกว่าคนทั่วไปไม่เกิน 100 ซีซี ในการล้างพิษตับเพียงครั้งเดียว
8. ผู้ที่มีโรคสะเก็ดเงิน หรือผื่นคันอื่นที่ ใช้ครีมทา หรือ รับประทานยา ที่มีส่วนผสมของสเตรียรอยด์มาอย่างต่อเนื่อง อาจจำเป็นต้องใช้ต่อในระหว่างการอดอาหาร และหากต้องการลดยาสเตียรอยด์จำเป็นต้องลดลงอย่างเป็นขั้นบันใด และในการล้างพิษตับนั้น ให้อดอาหารสั้นไม่เกิน 1 วัน และจำกัดน้ำมันมะกอกให้น้อยกว่าคนทั่วไปไม่เกิน 100 ซีซี ในการล้างพิษตับเพียงครั้งเดียว
9.การใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนเพื่อเพิ่มพลังงานในการขับของเสียออกนั้นมีความจำเป็นในหลักสูตรนี้ เช่น ยาชำระเมือกมัน จะช่วยทำให้การขับของเสียออกนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่อดอาหารและร่างกายขาดพลังงานในการขับเคลื่อน
10.การสวนทวารล้างลำไส้นั้นมีความจำเป็นสำหรับการล้างพิษตับในแง่ความปลอดภัย และการลดความเสี่ยงจากการดูดของเสียของลำไส้ ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการข้างเคียงมาก และจำเป็นต้องทำต่อเนื่องหลังล้างพิษตับ 7 วัน
11.ศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งใช้การสวนล้างลำไส้โดยการแนะนำว่าให้นำสายสวนล้างเข้าไปในลำไส้มากเกินความจำเป็นจนอาจเกิดความเสี่ยงได้ เช่น 1 ฟุตบ้าง 1 เมตรบ้าง บ้างก็อัดน้ำเข้าไปเป็นจำนวนมากถึง 1.5 ลิตรในคราวเดียวจนเกินความสามารถที่ร่างกายจะรับได้ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการเสี่ยงและยังไม่ปลอดภัย
12.ความสะอาดเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งใช้วิธีนำสายสวนทวารล้างลำไส้ที่ใช้แล้วมาล้างรวมๆกันแล้วแจกคืนให้กับผู้ใช้ ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความเสี่ยง อีกทั้งศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งใช้โลหะเป็นกระบอกสวนล้างที่มีความไม่สะอาดมีคราบตระกรันหรือสนิม จำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอด้วย
13.มักจะมีการประชาสัมพันธ์อ้างอิงการดื่มน้ำมันมะกอก ของ อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ที่ให้คุณแม่ของ อ.แก่นฟ้า ดื่มน้ำมันมะกอกได้ถึง 4 แก้วในการล้างพิษตับ 1 ครั้ง แต่ในความเป็นจริงนั้น เป็นการทยอยดื่มน้อยๆครั้งละ 50 ซีซี เท่านั้น (ตามพละกำลังของผู้สูงวัย) ไม่ใช่การดื่มครั้งละ 100 -150 ซีซี อย่างที่ดำเนินการกันอยู่ในบางศูนย์ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
สุดท้ายแล้วการดื่มน้ำมันมะกอกกี่แก้วจึงจะดีที่สุดนั้นไม่มีใครให้คำตอบได้ เพราะร่างกายของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ตอบได้ว่าถ้าดื่มเพียง 1 แก้วต่อการล้างพิษตับ 1 ครั้ง มีความปลอดภัยกว่าดื่มหลายๆแก้วในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ผมและ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ต่างเห็นด้วยในการที่โรงเรียนผู้นำจะเป็นมาตรฐานของความปลอดภัยให้ดื่มได้เพียงไม่เกิน 1 แก้วเท่านั้น
หวังว่าการแจ้งความเสี่ยงและข้อควรระวังเหล่านี้ จะเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ขบวนการล้างพิษตับสามารถเดินหน้าต่อไปอย่างมีสติ และพัฒนา ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อย่างรอบคอบต่อไป