ไม่กี่วันมานี้ มีข้อเขียนขนาดยาวชิ้นหนึ่ง ที่แชร์กันว่อนในโซเชียลมีเดีย ผมอ่านแล้วรู้สึกจี้จุดโดนใจและชอบมาก ข้อเขียนไม่ได้ระบุชื่อผู้เขียน แต่ก็พอจะเดาออกว่า น่าจะเป็นคุณจิตรกร บุษบา เพราะมีเขียนแพลมๆ ไว้ในตอนต้นว่า เป็นพิธีกรจัดรายการ “ฟ้ายามเย็น” ร่วมกับคนนั้นคนนี้
ซึ่งน่าจะไม่ผิดเพี้ยน เพราะสำนวนโวหารก็คลับคล้ายกับที่เคยได้ยินได้ฟังทางวิทยุและทีวี
ผมขอถือวิสาสะทึกทักว่าเป็นข้อเขียนของคุณจิตรกร บุษบา ก็แล้วกัน ซึ่งก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
คุณจิตรกรเริ่มต้นข้อเขียนด้วยความอึดอัดและค่อนข้างรับไม่ได้กับเพลง “วันพรุ่งนี้” ที่รายการทีวีบังคับฟังจาก คสช.ช่วงหลังเคารพธงชาติ 6 โมงเย็นทุกวันนำมาเปิดเคียงคู่กับเพลงคืนความสุขให้ประเทศไทย คุณจิตรกรเห็นว่า เป็นการนำเนื้อร้องจากความคิดของนายประภาส ชลศรานนท์ นักแต่งเพลงคู่ขวัญของนายปัญญา นิรันดร์กุล
ที่ใช้สื่อทีวีทำมาหากินจนร่ำรวย โดยไม่เคยมีบทบาทต่อสู้ทางการเมืองเลย ไปยัดใส่ปากเด็กให้ร้องสั่งสอนคนไทยให้รักสามัคคีกัน ด้วยความคิดตื้นเขินอย่างโง่ๆ ว่า ผู้ใหญ่ได้ฟังเพลงนี้จากเด็กๆ แล้ว จะเกิดความละอายใจเลิกทะเลาะเบาะแว้งกัน ซึ่งผมก็ออกจะเห็นด้วยว่า ช่างเป็นความคิดที่ค่อนไปทางปัญญาอ่อนจริงๆ
คุณจิตรกร ชี้ให้ คสช.เห็นว่า ปัญหาที่แท้จริงของบ้านเมือง มิใช่เกิดจากคนไทยทะเลาะกัน หากแต่การแตกแยกของคนไทยมีสาเหตุมาจาก ระบอบการเมืองอันเลวร้ายจากระบอบเผด็จการทุนสามานย์ ที่ครอบครองอำนาจรัฐติดต่อกันมาหลายปีต่างหากเล่า การทะเลาะกันของคนไทยเป็นเพียงปลายเหตุเป็นอาการของโรค แต่ต้นเหตุคือเชื้อโรคร้ายที่เกิดจากระบอบทักษิณที่ต้องเร่งบำบัดรักษาโดย เร็ว
คุณจิตรกร ได้แจกแจงรายละเอียดความเลวร้ายสามานย์ของระบอบทักษิณอย่างกระจะกระจ่าง ซึ่งรายละเอียดคงต้องไปหาอ่านเพิ่มเติมกันเอาเอง และผมขอย้ำแบบขีดเส้นใต้ว่า ฝ่ายเสธ.ของ คสช.ต้องอ่าน หากตั้งใจจะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างจริงจัง
คุณจิตรกร เตือน คสช.อย่างตรงไปตรงมาว่า การพยายามจะแต่งเพลงประเภท “มอมยา” โดยไม่พูดความจริงของปัญหาบ้านเมืองควรเลิกได้แล้ว เลยเวลาคืนความสุขแบบมอมเมาแล้ว ควรหันมาพูดความจริง จัดการปัญหาจากความเป็นจริง อย่ากวาดขยะซุกใต้พรม ไม่แก้ไข ไม่เปิดเผย หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงความจริงความเลวทรามที่เกิดต่อบ้านเมือง ซึ่งไม่ต่างจากการให้แต่ “มอร์ฟีน” ระงับปวด แล้วชวนให้คนไข้หัวเราะ คล้ายมีความสุข โดยเชื้อโรคในร่างกายไม่ได้รับยาบำบัดรักษาเลย
คสช.ควรเลิกใช้ยากล่อมประสาทได้แล้ว หันมาใช้ยารักษาโรคบำบัดรักษาเสียที ยกตัวอย่าง นักโทษที่ควรอยู่ในคุก แต่หนีไปเสวยสุขต่างประเทศ อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ควรจะต้องทำอย่างไร จะปล่อยให้ลอยนวลมีคนไปมาหาสู่อย่างสะดวกสบาย ถ่ายรูปแพร่สื่อ เลี้ยงกระแส “คนดีที่ถูกรังแก” ของคนเสื้อแดงที่ถูกมอมเมาไปอีกนานแค่ไหน
จะปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมทำงานแบบ “เช้าชามเย็นชาม” ไม่รู้ร้อนรู้หนาวไปกับบ้านเมือง จนคนเขาเลิกกลัวเกรงและหมดศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรมกันต่อไปใช่ไหม ไม่มีกลุ่มคดีใดที่ต้องเร่งรัดรวบรวมพยานหลักฐานแล้วเปิดศาลสู้คดีกัน “เพื่อตัดสิน” กันให้สิ้นสงสัย ให้เลิกทะเลาะเพราะมองความจริงกันคนละด้าน เป็นกรณีพิเศษบ้างเลยหรือ?
ในตอนท้ายของข้อเขียนคุณจิตรกร ได้ตบท้ายด้วยคำถามถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า
“เราจะไม่บอกความจริงเหล่านี้แก่เด็กๆ ที่จะเติบใหญ่ไปเป็นกำลังที่สำคัญของชาติบ้านเมืองในวันข้างหน้า แต่หลอกใช้เด็กมายืนด่าพวกเรา ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรต่อไปอย่างนี้หรือครับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครับผม”
ทั้งหมดทั้งปวงข้างต้นนั้น ผมเก็บความมาจากข้อเขียนของคุณจิตรกร บุษบา ซึ่งต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่กล้าเขียนความจริงอย่างตรงไปตรงมา แทนใจมวลมหาประชาชนได้อย่างจี้จุดตำใจที่สุด และหวังว่า คสช.จะเปิดใจรับฟัง
และผมขอปิดท้ายบทความนี้ ด้วยบทกวีในมุมมองของ ว.แหวนลงยา ในชื่อว่า “บทละครเจ้าเก่า” ดังนี้ครับ
คนเคยเป่านกหวีดยังว้าเหว่
เหมือนลอยเรือร่อนเร่ทะเลฝัน
ยังมืดมนอ้างว้างกลางหมอกควัน
ไร้แสงเดือนแสงตะวันไร้แสงไฟ
คนเคยโบกธงชาติยังหวาดหวั่น
นั่งนับคืนนับวันอย่างหวั่นไหว
ที่เคยวาดเคยหวังยังอยู่ไกล
ไม่มีอะไรในกอไผ่ ใต้ร่มธง
คนเคยสวมรองเท้าใจถึงๆ
ยังอึดอัดอ้ำอึ้งไม่ลืมหลง
ที่เคยเหนื่อยเคยยากยังทรงๆ
ต่างล้อมวงปรับทุกข์กันทุกวัน
โอ้ มวลมหาประชาชน
ครึ่งปีดั้นด้นไม่ถึงสววรค์
เขาอ้างเหตุคนไทย “ทะเลาะกัน”
จับปลายเหตุไม่คั้นหาความจริง
ปมปัญหาจึงสะดุดและหยุดอยู่
เชื้อโรคร้ายยังสมสู่พร้อมสู่สิง
ทุกปัญหาจึงตีบตันไม่ไหวติง
ละคร “ลิงหลอกเจ้า” บทเก่าแสดง
โอ้มวลมหาประชาชน
ถูกกล่อมให้สับสนด้วยสีแสง
บทละครซ้อนซับแค่ปรับแปลง
บริกรรับจัดแจง...คณะเดิม!
ว.แหวนลงยา